Noppakow Kongsuwan
8h
สิ่งที่ "ตกผลึก" ได้สั้นๆ หลังการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. รอบนี้
- ผู้คนต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็อำนาจรัฐ
- แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นแนวทาง Aggressive ผู้คนยังต้องการแนวทางแบบ "ค่อยเป็นค่อยไป" และสามารถ "พูดคุยกันได้" อยู่ ดูให้ชัดจากคะแนน "แลนด์สไลด์" ในทุกเขตของ "ผู้ว่าฯ ชัชชาติ"
- อยากชนะเพื่อมีอำนาจเข้าไปแก้ปัญหา ปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคม จะเอาแค่ "มิตรสหาย" อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องสั่งสม "พันธมิตร" ให้ได้มากที่สุด มากจนเป็น "ฉันทามติ" (ยอมกลืนเลือดบ้างทั้งสองฝ่าย) การตราหน้า "สู้กว่าใคร-แล้วใครไม่สู้กว่า" หรือใช้บท "ความเราดี-เธอสิเลว" หรือแบบ "ไม่เลือกเราเขามาแน่" ไม่ช่วยให้ได้ชัยชนะ แต่ยิ่งผลักลงหลุมสู่ความแพ้พ่าย
- การมีท่าที่ "พูดคุยกันได้" และรูปแบบทางการเมืองที่ไม่ Toxic แต่มีแนวทาง หลักการ และ นโยบายที่ชัดและดูจับต้องได้ ได้เปรียบกว่าท่าทีแบบ "พุ่งชน" (อาจจะไม่เสมอไป แต่รอบนี้คือชัดว่าใช่)
- พูดถึงตรงนี้ เลยอาจจะพอพูดได้ว่าแม้ว่าคนจะตื่นรู้ทางการเมืองอย่างมาก ตั้งแต่ปี 2563 แต่บริบททางการเมืองต่างจากปี 2563 ปีนี้คนจำนวนมากจะไม่กลับไปแนวทางของการลงถนน แต่จะรอวันที่ได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งอีกครั้ง และการเลือกตั้งครั้งถัดไป คนจะออกมาเลือกอย่างถล่มทลาย จากทุกฝ่าย จะเป็นการเลือกตั้งที่คึกคักอีกครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์
- การเมืองในกรุงเทพเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนเดิม (อย่างน้อยก็ในรอบนี้) พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ "ผีทักษิณ-พวกเผาเมือง" ที่น่ากลัว แต่คือพรรรคที่ได้คะแนนอันดับ 1 ในกรุงเทพมหานคร พรรคที่ก้าวไกล ก็ไม่ใช่ "ปีศาจธนาธร-ปิยบุตรล้มเจ้า" ที่ถูกรังเกียจ แต่คือพรรคที่ได้คะแนนอันดับ 2 ในเมืองหลวง "ผีการเมือง" ในกรุงเทพฯ ปลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป
- ฝ่ายประชาธิปไตย อาจะมีสิทธิไปถึงแลนด์สไลด์ ถ้ารวมเสียงกันได้ โดยเฉพาะเพื่อไทยที่เป็นพรรคลำดับ 1 ของฟากนี้ ค่อนข้างเป็นกอบเป็นกำในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น (กติกาเอื้อ+ถูกจริตรากหญ้าฐานใหญ่+รักษาฐานในเมืองไว้ได้)
- ผู้คนยังเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย โดยเฉพาะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ต้องออกมาฆ่ากัน และไม่เหนื่อยมากสำหรับคนไทย จึงพากันออกมาเทคะแนนจนเป็น "คำสั่งประชาชน" ให้ผู้แทนของเขาเข้าไปมีอำนาจนำเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม และ แก้ไขปัญหาปากท้อง
คนโง่อย่างฉัน
ตกผลึกสั้นๆได้ประมาณนี้
ฮ่า....