วันอาทิตย์, มิถุนายน 26, 2565

อารมณ์ขันของ อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว - อย่างฮาที่สุดของการฟังอ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ วันนี้ที่พูดเรื่องความไร้ประสิทธิภาพของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม ที่ไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องตัวบุคคลคือ ร.6 ไม่เอาไหน


Thanapol Eawsakul shared a memory.
Yesterday
อารมณ์ขันของ อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

Thanapol Eawsakul
June 24, 2012
อย่างฮาที่สุดของการฟังอ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ วันนี้ที่พูดเรื่องความไร้ประสิทธิภาพของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม ที่ไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องตัวบุคคลคือ ร.6 ไม่เอาไหน
อ.สุธาชัย ไล่เรียงปัญหาเมื่อปลาย ร. 5 แล้วมาถึง พ.ศ. 2453
แล้วสรุปว่า ร. 5 ตัดสินใจแก้ปัญหาโดยการ
.
.
.
.
สวรรคต


ข้อสังเกตกรณี ร.ศ. 130 : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

Jan 5, 2021

PITVFANPAGE

ร.ศ. 130 นั้นจึงเกิดจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และคนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ได้มีคณะเดียว หรือพูดใหม่คือมีคนคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองเยอะ แต่เป็นสมาคมลับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนั้นมีอั้งยี่ หรือสโมสรจีนกรุงเทพฯ ซึ่งป็นสมาคมพันธมิตรของซุนยัดเซ็น และยังมีสมาคมลับอีกอย่างน้อย 1 สมาคม คือสมาคมลับ กศร. กุหลาบ มีสมาชิกราว 40 คน เหล่านี้คือสมาคมลับที่คิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

งานสัมมนา "100 ปี กบฏประชาธิปไตย ร.ศ.130 - 80 ปี ปฏิวัติประชาธิปไตย พ.ศ.2475" (SIAMESE-THAI POLITICS: FROM the 1912 COUP TO the 1932 REVOLUTION]

ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดโดยหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ร่วมกับ มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์ฯ และสมาคมจดหมายเหตุสยาม วันที่ 24 มิถุนายน 2555
.....
อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ : ข้อสังเกตกรณี ร.ศ. 130

บริบท

เรามักจะไม่ค่อยรู้สึกกัน เหมือนกับว่ารัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นบริหารประเทศไม่ค่อยมีปัญหา ราบรื่น แต่จริงๆ การบริหารประเทศในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เหมือนรัฐบาลปัจจุบัน มีปัญหามากมาย เราอาจจะไม่ค่อยทราบว่าในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มีปัญหาใหญ่คือปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากภัยธรรมชาติ โรคพืช ชาวนาเดือดร้อนอย่างหนักแต่รัฐบาลขาดแคลนเงิน แก้ปัญหาโดยการขึ้นภาษี อากรค่าน่าเพิ่มถึง 4 เท่า เพราะฉะนั้นชาวนาก็เดือดร้อนยิ่งกว่าเดิม

เมื่อชาวนาเกิดปัญหา วิกฤต รายได้ตกต่ำ ปัญหาอดอยากยากจนภัยแล้ง สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่านโยบายการเกษตร เรื่องนโยบายเป็นเรื่องเกิดหลัง 2475

เมื่อเกิดปัญหาก็แก้ด้วยการแจกข้าว ทำทำนบกั้นน้ำ หรือพิธีกรรม การแก้ปัญหาแบบนี้ส่วนหนึ่เงป็นไปตามแนวคิดแบบเดิม ว่ารัฐบาลพระมหากษัตริย์นั้นพระองค์ต้องประกอบพิธีบุญ เมื่อประชาชนมีภัยแล้ว พระมหากษัตริย์ก็ทำบุญหวังว่าจะช่วยปัดเป่าปัญหาบ้านเมือง ต้องเข้าใจว่าวิธีคิดในการแก้ปัญหานั้นมีความแตกต่างกัน

นอกจากนี้ บริบทอื่นๆ คือ พ.ศ. 2450 รัชกาลที่ 5 ประชวรหนักเสด็จไปรักษาตัวยังยุโรป พ.ศ. 2451 มีพิธีรัชมังคลาภิเษก และเรี่ยไรเงินสร้างพระบรมรูปทรงม้า เป็นประเด็นทีน่าสนใจว่า เป็นพระพุทธเจ้าหลวงโดยไม่ได้บวช ไม่ได้นิพพาน หรือตรัสรู้

เดือนมีนาคม 2541 เสียดินแดน 4 รัฐมลายูให้กับอังกฤษ ซึ่งจริงๆ เป็นการยกดินแดนสี่รัฐให้กับอังกฤษ โดยรัชกาลที่ 5 ทรงอธิบายว่าถ้าขืนเอาไว้ก็รักษาไว้ไม่ได้ ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ได้กูเงินอังกฤษมาสี่ล้านบาท แต่ได้ตัดงบกระทรวงกลาโหม เพิ่มงบกระทรวงวัง

และในปีสุดท้ายในรัชกาลของพระองค์ปี 2453 เกิดการประท้วงใหญ่ของชาวจีน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เพราะเรื่องเลิกเงินผูกปี้ และส่งผลโดยตรงต่อนโยบายต่อต้านคนจีนจากรัชกาลที่ 6

เกิดเรื่องใหญ่คดีพระยาระกา คือเจ้านายสองพระองค์เกิดมีปัญหาขัดแย้งกันเรื่องนางรำ กรมหลวงรชบุรีดิเรกฤธิ์น้อยพระทัยลาออกจากกระทรวงยุติธรรม เสนาบยดีลาออกตามอีก 28 คน

เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการคิดว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์บริหารงานราบรื่นนั้นไม่จริง

จากนั้นเมื่อสวรรคตแล้ว ขึ้นรัชกาลใหม่ ก็ขึ้นมาด้วยความคาดหวังว่าอย่างน้อยที่สุดรัฐบาลใหม่น่าจะแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง แต่ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น แม้ทรงมีการศึกษาสูงมากจบจากอังกฤษ คนทั่วไปก็คาดหวังว่าจะเป็นคนหัวใหม่ เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีการปฏิวัติในประเทศต่างๆ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ทรงมีปัญหาในด้านพระจริยวัตร แม้ทรงครองราชย์เมื่อพระชนมายุสามสิบกว่าพรรษาแล้ว แต่ก็ทรงเป็นมหาราชย์โดยที่ไม่สนพระทัยความงามของสตรี เมื่อไม่สนพระทัยความงามของสตรีก็เป็นเรื่องใหญ่ สังคมก็นินทาไปทั่ว การที่ไม่โปรดนั้นเกี่ยวจ้องกับการที่มีพระราชบริพารเป็นมหาดเล็กจำนวนมาก และคนสำคัญคือนายจ่ายง หรือเฟื้อ พึ่งบุญ อายุ 21 ปี เมื่อทรงเริ่มครองราชย์ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศอย่างรวดเร็วภายใน 10 ปี จากนายจ่ายง เป็นจมื่น และจากนั้นเป็นพระยาประสิทธิศุภการ และดำรงตำแหน่งเจ้าพระยารามราฆพ ได้เป็นพลเอกเมื่ออายุ 31 ปี ความสนิทสนมที่ทรงมอบแก่นายจ่ายงนั้นเป็นที่นินทา เมื่อเล่นโขนเล่นละครมักให้นายจ่ายงเป็นพระเอก

และบริบทสำคัญอีกประการคือกรณีการสั่งเฆี่ยนหลังทหาร ในพ.ศ. 2452 เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างทหารและมหาดเล็ก

โดยสรุป เมื่อรัชกาลที่หกขึ้นครองราชย์ความคาดหวังถึงความเป็นคนสมัยใหม่นั้นหมดไป เพราะมีปัญหาพระจริยวัตรหลายประการ แต่ต้องเข้าใจว่าถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน เวลารัฐบาลบริหารไม่ถูกก็คาดหวังได้ว่า อีกสี่ปีข้างหน้าจะเลือกได้ไหม แต่ในระบบสบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นนั้นไม่มี ฉะนั้นจึงทำให้คนหนุ่มรุ่นใหม่เห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบ เปลี่ยนระบอบการปกครอง

ร.ศ. 130 นั้นจึงเกิดจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และคนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ได้มีคณะเดียว หรือพูดใหม่คือมีคนคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองเยอะ แต่เป็นสมาคมลับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนั้นมีอั้งยี่ หรือสโมสรจีนกรุงเทพฯ ซึ่เงป็นสมาคมพันธมิตรของซุนยัดเซ็น และยังมีสมาคมลับอีกอย่างน้อย 1 สมาคม คือสมาคมลับกศร. กุหลาบ มีสมาชิกราว 40 คน เหล่านี้คือสมาคมลับที่คิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

การหาคนเข้าร่วม สมาคมลับ รศ. 130 นั้นง่ายมาก แสดงถึงกระแสความไม่พอใจของรัฐบาลรัชกาลที่ 6 และ ร.ต. เนตร ก็คิดมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 แล้ว

อิทธิพลจากญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นมีอิทธิพลมากต่อความรับรู้ของคนรุ่นใหม่มาก คือ ญี่ปุ่นชนะสงครามรัสเซีย และเมื่อเผชิญกับตะวันตกนั้น สยามในรัชกาลที่ 5 เลือกรักษาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ญี่ปุ่นเลือกให้มีรัฐธรรมนูญ ในร.ศ. 130 จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นก้าวหน้ากว่าสยามมากด้วยระบบที่มีรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้แนวคิดของ ของร.ท.ร.ท. จรูญ ณ บางช้าง อธิบายถึงแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงการปกครองว่า

“การที่ให้กษัตริย์เป็นผู้กครองโดบยมีอำนาจอยู่เหนือกกฎหมายนั้นเออ้อให้กษัตริย์ทำการชั่วร้ายอย่างหนึ่งอย่างใดก็ทำได้”

“เราชอบพูดว่า ร.ศ. 130 เป็นกบฏทหารซึ่งไม่เชิงว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะมีนายแพทย์เข้าร่วม มีนายทหารที่จบวิชากฎหมายเป็นนายทหารพระธรรมนูญ มีองค์ประกอบที่หลากหลาย”

การถูกจับกุม

กบฏ ร.ศ. 130 จบลงโดยไม่ประสบความสำเร็จเพราะ ขุนยุทธกาจกำจาย หรือ รต. แต้ม คงอยู่ มาเข้าประชุมและเสนอรายงานต่อกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทำให้คณะทั้งหมดถูกกำจัด จากนั้นรต. แต้ม คงอยู่ ได้รางวัลไปเรียนวิชาทหารที่เยอรมัน กลับมารับราชการจนเลื่อนยศเป็นกระยากำแพงรามภักดี แต่ถูกปลดหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากนั้นได้เข้าร่วมกับกบฎบวรเดช ถูกจับกุมแล้วผูกคอตายในส้วมภายในห้องขังโดยเขียนข้อความก่อนตายว่า “You shall live, I shall die but people will recall and cry”

คณะผู้ก่อนการ ร.ศ. 130 ถูกจับดำเนินคดี 91 คน ถูกถอดยศและจำคุก 23 คน และจำที่คุกมหันตโทษ

ประเด็นสุดท้ายคือ มีลักษณะอะไรบางอย่างที่น่าสนใจว่า เสนาบดีต่างประเทศของสยามได้แถลงถึงกรณี ร.ศ. 130 ว่า สาเหตุที่รัฐบาลจับกุมกลุ่มทหารไม่ใช่เพราะความคิดที่เรียกร้อง คอนสติติวชั่นเพราะรัชกาลที่ 6 มีน้ำพระทัยกว้าง และเข้าพระทัยเรื่องเดโมเครซี แต่ที่จับกุมเพราะทหารจะใช้วิธีรุนแรงและทำร้ายพระมหากษัตริย์

“การแถลงแบบนี้ทำให้เห็นว่าการใส่ร้ายป้ายสีมีมาแต่สมยนั้น” ผศ. สุธาชัยกล่าว และตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า คือกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถบอกว่ารัชกาลที่ 6 นิยมระบบเดโมเครซี แต่สยามไม่พร้อม สรุปว่าเมื่อร.ศ. 130 ชนชั้นนำ ก็บอกว่าสยามไม่พร้อม ซึ่งก็ใช้เป็นข้ออ้างว่าประชาชนไม่พร้อมมาตลอด แต่แต่ 2475เป็นต้นมาเป็นหนึ่งในคำอธิบายที่ยืนยงคงคู่ประวัติศาสตร์ 80 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

หมายเหตุ

ส่วนหนึ่งของการเสวนา

อภิปราย “100 ปี กบฏประชาธิปไตย ร.ศ. 130” ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ-สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ- ณัฐพล ใจจริง-เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์-ฉลอง สุนทราวาณิชย์ จัดโดยหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ร่วมกับ มูลนิธิโครงกาตำราสังคมศาสตร์ฯ และสมาคมจดหมายเหตุสยาม