กิจกรรมเมื่อวาน ๕ กันยา หน้ากระทรวงศึกษาของกลุ่มนักเรียน #หนูรู้หนูมันเลว กับเครือข่ายเยาวชนปลดแอก ๕๐ สถาบัน เป็นอีกหมุดหมายของความคืบหน้า เพื่ออนาคตของคนรุ่นใหม่ เพื่อประชาธิปไตยอันแท้จริง นักต่อสู้รุ่นลุงรุ่นป้าต่างชื่นชมกันถ้วนหน้า
บทกลอน “โอ้ความหวัง” ของเกษียร เตชะพีระ @kasiantj เปรียบเปรยว่า “ดั่งเดือนฉาย ซึ่งคืนมืดหดหู่อยู่รอบราย เปล่งประกายแสงจันทร์ปลอบขวัญคน” ขณะที่นักวิชาการสายประชาธิปไตยอีกสองคนสะท้อนให้เห็นการเป็น ‘ไอค่อน’ แห่งประวัติศาสตร์ ไว้ด้วย
Puangthong Pawakapan ผู้ลึกซึ้งข้อมูล ๖ ตุลาฯ บอกว่า “ชื่นใจกับ Free spirit ของพวกคุณมาก” เธอเอ่ยถึง “เรากำลังยืนอยู่ในยุคสมัยที่เด็กกล้าประกาศอย่างกึกก้องว่า พวกเขาไม่ต้องการเป็น ‘คนดี’ แบบที่สังคมและโรงเรียนพยายามจะครอบให้เขาเป็น”
ฉะนั้น “หากการขบถต่อกฎเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่พยายามขีดให้เขาเดินเท่ากับเป็น ‘คนเลว’ (แล้วละก็) เขาก็จะเป็น” ขณะที่ Pinkaew Laungaramsri ก็ ‘ชื่นชม’ ที่ดีเบตกับ รมว.ศึกษาฯ “แสดงให้เห็นถึง ‘ความรู้’ ที่เขามีต่อปัญหาของระบบราชการอำนาจนิยมอันล้าหลัง”
อจ.ปิ่นแก้วลงรายละเอียดถึงการดีเบตด้วยว่า “สิ่งที่คุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณทำ มีเพียงอย่างเดียวคือ การปกป้องอำนาจนิยมของครู กลไกราชการที่ไร้ประสิทธิภาพ ตลอดจนระบอบอันฟอนเฟะที่ไม่รู้จักตายของการปกครองนักเรียนภายใต้ระเบียบเสื้อผ้าหน้าผม”
โดยเฉพาะดาวอภิปรายของกลุ่ม #นักเรียนเลว คนหนึ่ง ชั้น ม.๖ จากเชียงใหม่ รู้กันในชื่อเล่น ‘น้องเมนู’ ผู้แต่งหน้าเป็น ‘หุ่นยนต์’ มีความหมายในเชิงสัญญลักษณ์ว่า พวกเราจะไม่เป็นหุ่นยนต์ให้ผู้ใหญ่ของรัฐบาลเผด็จการนี้ ‘เชิด’ อีกต่อไป
แม้กระทั่งการแต่งกาย สวมเสื้อนักเรียนหญิง นุ่งกางเกงนักเรียนชาย แสดงถึงการสนับสนุนเสรีภาพในทางเลือกแห่งเพศสภาพ ว่าเธอสนับสนุนสิทธิ ‘LGBTQ’ เป็นตัวของตัวเอง แม้นว่า รมว.จะแสดงความกล้า ออกจากกะเปาะมาโต้เถียงกับเด็ก
แต่คำพูดโต้แย้งกับนักเรียนของเขากลับเป็น “คำตอบโง่ๆ...ที่ปราศจากความคิดของเขาหลายๆ อัน ก็สะท้อนวิธีคิดของพวกสนับสนุนอำนาจเผด็จการทั้งหลาย” ยกตัวอย่างที่ณัฏฐพลพูดถึงการบังคับนักเรียนสวมเครื่องแบบ “มีไว้เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน” เอง
“มันช่วยให้แยกออกว่า ใคร นร.ใครไม่ใช่ และดูแลกันได้ชัดเจนมากขึ้น” อดีต กปปส.ที่พูดถึง ‘นกหวีด’ ว่ายังมีอยู่ที่บ้านเยอะแยะ พยายามแถแต่ไปสะดุดขาตัวแทนนักเรียนที่ตอกกลับว่า “ชุด นร.ไม่ใช่เสื้อเกราะ ไม่ได้ทำให้ นร.ปลอดภัยได้”
ไม่เท่านั้น คอมเม้นต์นอกรายการบอกว่าสมัย ๖ ตุลา พี่ๆ นักศึกษาก็สวมเครื่องแบบนักศึกษากันเต็มที่ชุมนุม ไหงยังโดนรุมยิงประดุจนกในกรงล่ะ อีกทั้งกับแนวคิดประชาธิปไตยสากลที่ว่า ถ้าผู้บริหารบ้านเมืองไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ให้ลาออกไป
ณัฏฐพลกับมองเห็น ‘เงื่อนไข’ ในข้อเรียกร้องอันนี้ของการชุมนุม #หนูรู้หนูมันเลว ว่าเป็นการ ‘คุกคาม’ ส่วนบุคคล ไปเสียฉิบ อ้าง “ผมพยายามแก้ไขปัญหา กระทรวงศึกษาฯ ทั้งกระทรวงพร้อมขับเคลื่อนให้ทันสมัย...แล้วยังคิดว่าควรไล่เราออกไปเหรอ”
ใช่สิ อยู่ในตำแหน่ง กินเงินเดือนจากภาษีที่เก็บจากประชาชน แม้คนตั้งเข้ามาจะเป็นเผด็จการ ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อไม่ยอมทำงานสนองเสียงเรียกร้องของประชาชน แล้วจะเก็บไว้ทำไร เอาแค่สามข้อที่นักเรียนเรียกร้อง
“หยุดคุกคามนักเรียน ยกเลิกกฏระเบียบล้าหลัง และปฏิรูปการศึกษา” หากทำไม่ได้ ไม่ยินดีที่จะพิจารณาตัวเอง ก็เป็นจรเข้ขวางคลองแบบเดียวกับที่คณะยึดอำนาจต้องการอยู่ต่อนานๆ ทั้งเล่นแร่แปรธาตุและตบตา อ้างมาจากการเลือกตั้ง หน้าไม่อาย
และซึ่งเป็นความสุดยอดของการชุมนุมครั้งนี้ อยู่ที่พวกนักเรียนเลวของผู้ใหญ่ชั่ว จัดการออกระเบียบ ๑๐ ประการสำหรับ ‘ผู้ใหญ่เอ๋ยผู้ใหญ่ดี’ ให้เป็นหน้าที่ต้องปฏิบัติ หลายอย่างในนั้นน่าประโคม ได้แก่ “มีวิจารณญาน วาจานั้นไม่แดกดัน...
วางใจให้เป็นกลาง ฟังผู้น้อยดูบ้าง (หาก) มีอัตตา (ก็) จงขจัด (เสีย) และ ทำตนให้น่าเอาอย่าง รู้จักขอโทษบ้าง ไม่สร้างแต่ปัญหา” อีกทั้งขาดไม่ได้แต่ละม็อบนักเรียนล้วนแต่แสดงภูมิปัญญาชนิดไม่เห็นมีใน ‘ผู้ใหญ่’ นักเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ
ก็คือ การชูหนังสือวิชาการ อันเป็นแก่นแท้ของระบอบประชาธิปไตย ที่ผ่านมามีการแนะหนังสือ ‘สามัญสำนึก’ ของธอมัส เพน ให้ตำรวจอ่าน มาวานนี้มีชูหนังสือ ‘ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่เหนือการเมือง’ ของ ธงชัย วินิจจะกูล
นักอ่านหนังสือการเมืองซีเรียสหลายคนยอมรับว่า ถ้าเด็กรุ่นนี้อ่านเล่มนี้กันละก็ “Finally, there’s a light at the end of the tunnel.” (kaewmala @Thai_Talk) ของการเมืองไทย
(https://www.facebook.com/PhattitaCheraiem/posts/1747230002103018 และ https://www.facebook.com/thestandardth/posts/2535462983413245)