อีกสองวันจะครบรอบ ๔๒ ปี ๖ ตุลา ๑๙
วันแห่งความหฤโหดทางการเมืองไทยที่ประชาชน (ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา) โดนทหาร ตำรวจ
และฝูงชนที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์อย่างสุดโต่ง (เสียจนสามารถ) เข่นฆ่าคนร่วมชาติที่พวกตนเห็นว่า
‘ไม่จงรักภักดี’ ได้
ตลอดเวลา ๔๐ ปี เบื้องหน้า เบื้องหลัง
หลักฐานความจริง ความสูญเสีย และตัวตนผู้สูญเสีย
เพิ่งได้เปิดเผยออกมาอย่างค่อนข้างพร้อมมูล (ยกเว้นผู้รับผิดชอบ และ/หรือคนสั่งการ)
เมื่อสองปีที่แล้ว
ขอบคุณคณะกรรมการค้นหาความจริง
ที่ได้ตีพิมพ์รายละเอียด ‘บันทึก ๖ ตุลา’
ไว้บนอินเตอร์เน็ตให้ผู้มีจิตกรุณาต่อผู้เสียหายได้รับทราบและเรียนรู้ความจริง
ที่นี่ https://doct6.com/
ในปีนี้ พวงทอง ภวัครพันธุ์
หนึ่งในกรรมการค้นหาความจริง ได้เขียนบันทึกอีกชิ้น โดยเน้นในประเด็นที่เป็นผลกระทบระยะยาวต่อญาติ
มิตร และครอบครัวของผู้ตาย ชื่อว่า “ความรู้สึกผิด ความหวัง
และบาดแผลในความเงียบของเหยื่อ ๖ ตุลา” เอาไว้อย่างน่าสะเทือนใจยิ่ง
เราของคัดสรรเฉพาะบางตอนในบทความ
ถ่ายทอดมาไว้ในที่นี้ เพียงเพื่อให้ได้สัมผัสในเบื้องต้นกันเท่านั้น เป็นนำร่องให้ติดตามไปค้นคว้าอย่างละเอียดต่อ
เริ่มจากนี่ https://doct6.com/archives/13471
ดังนี้
ในกรณีการสังหารหมู่ ๖ ตุลา
๒๕๑๙ เป็นที่ทราบกันดีว่าความกลัวเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตต้องทนทุกข์อยู่กับความเงียบ...
เมื่อคนทำผิดไม่ต้องรับผิด
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจึงต้องถูกลงฑัณฑ์ซ้ำสองให้ก้มหน้ากล้ำกลืนกับความอยุติธรรมต่อไป
------------
สุพล พาน เข้าร่วมการชุมนุมขับไล่ถนอมที่ธรรมศาสตร์ในเย็นวันที่
๕ ตุลาคม และอยู่ในธรรมศาสตร์จนถึงเช้าวันที่ ๖ ตุลาคม
เขาขับรถตู้ของที่บ้านช่วยพาคนบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล
แต่เมื่อเขาพยายามกลับเข้ามาในธรรมศาสตร์อีกครั้ง เขาก็ถูกยิงสามนัด...
ก่อนหน้านี้ราว ๖ เดือน
สุพลเคยเกลียดชังและต่อต้านขบวนการนักศึกษา เพราะในช่วงที่เขาเป็นทหารเกณฑ์
เขาได้รับฟังแต่เรื่องเลวร้ายของนักศึกษาจากค่ายทหาร
แต่เมื่อได้ฟังการปราศรัยของนักศึกษาไม่นาน สุพลก็หันมาสนับสนุนนักศึกษา
-------------
พ่อจินดาและแม่ลิ้ม
ทองสินธุ์ ที่ใช้เวลาถึง ๒๐ ปีติดตามค้นหาและรอคอยการกลับมาของจารุพงษ์ ทองสินธุ์
เพื่อจะรับรู้ในเวลาต่อมาว่าลูกชายคนโตของครอบครัวจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว
จากการติดต่อกับเพื่อนฝูงของเหยื่อเพื่อให้ช่วยติดต่อครอบครัวดังกล่าว
ก็ได้รับการยืนยันปฏิเสธว่าทางครอบครัวไม่ต้องการและไม่มีวันให้สัมภาษณ์อย่างแน่นอน
โดยไม่ได้อธิบายเหตุผลอะไรทั้งสิ้น...
หนึ่งในสมาชิกครอบครัวที่เป็นสะใภ้
เธอรับอาสาว่าจะลองพูดเลียบเคียงกับสามีของเธอให้
แต่สามีของเธอซึ่งเป็นมีสถานะเป็นหลานของเหยื่อ และในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาก็ยังเป็นเด็กมาก
ก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใด ๆ...
เขาบอกว่าเขาจำได้ดีถึงผลกระทบต่อครอบครัวของเขา
พ่อแม่ของเขาต้องส่งเขาไปเรียนหนังสือที่จังหวัดอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันที่เกิดขึ้น...
สภาพศพของเหยื่อแสดงให้เห็นการถูกทำทารุณอย่างเหี้ยมโหด
เขาเสียชีวิตเพราะถูกแขวนคอ หลังจากเสียชีวิตแล้ว
ร่างของเขายังถูกฝูงชนกลุ้มรุมทำร้ายต่อ ตั้งแต่เอาเก้าอี้ฟาด
ใช้ของมีคมกรีดไปตามร่างกายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ถูกรองเท้าแขวนคอและยัดปาก
ใบหน้าถูกทุบตีจนเละ จนคุณพ่อของเขาไม่สามารถจดจำใบหน้าของเขาได้
ไม่สามารถระบุร่างที่ไร้ชีวิตที่โรงพยาบาลได้
จนต้องให้เพื่อนของลูกไปดูด้วยกันอีกครั้ง
เพื่อนคนนั้นจดจำรองเท้าที่เขาสวมใส่อยู่ได้
--------------
ในบรรดาผู้ที่เสียชีวิตฝ่ายประชาชนจำนวน
๔๐ คนนี้ มีหลายคนที่เรายังไม่รู้ว่าเขาคือใคร แม้ว่าเราจะเห็นรูปถ่ายของพวกเขาจนชินตา
ได้แก่ ชายไทย ๓ คนที่อยู่ในเอกสารชันสูตรพลิกศพแต่ไม่ทราบชื่อ
ผู้ชายที่ถูกแขวนคอสองคนที่ถ่ายโดยช่างภาพของสำนักข่าวเอพีนายนีล
อูเลวิช และหนึ่งในภาพถ่ายนั้นได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี ๒๕๒๐ (คนที่ถูกแขวนคอมีทั้งหมด ๕ คน
อูเลวิชถ่ายภาพได้ ๒ คน)
ร่างที่ถูกเผาจนเหลือแต่กระดูกและระบุเพศไม่ได้
๔ คนบนถนนราชดำเนินใกล้กับรูปปั้นแม่พระธรณีบีบมวยผม เราไม่รู้ว่าพวกเขาคือใคร ครอบครัวของเขาอยู่ที่ไหน
รับรู้หรือไม่ว่าลูกหลานของตนเสียชีวิตแล้ว
หรือยังเฝ้ารอการกลับมาของพวกเขาอยู่อย่างเงียบงัน
----------------
ในบางกรณีความเจ็บแค้นต่อความอยุติธรรมก็ถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังต่อสู้ในนามของลูกและเหยื่อคนอื่น
ๆ ดังกรณีแม่เล็ก แม่ของมนู วิทยาภรณ์...
การเสียชีวิตด้วยกระสุนนัดเดียวที่ตัดขั้วหัวใจ
ดูจะเป็นการตายที่โหดเหี้ยมน้อยที่สุดแล้ว
อย่างน้อยมันก็คือสิ่งที่ปลอบประโลมผู้เป็นแม่ว่าลูกไม่ได้ทรมานมากนัก “แม่ดูศพลูก
เห็นใบหน้าลูกอมยิ้ม ก็คิดในใจว่าลูกตายอย่างภูมิใจในสิ่งที่ทำ
แม่จะได้ไม่ต้องเสียใจ...
แต่ความจริงเขาจับลูกแม่แล้วนะ
เพราะตอนที่ไปรับศพ แขนเสื้อทั้งสองข้างยังผูกอยู่กับเอว เขาจับแล้วทำไมต้องฆ่ากัน
ยิงทำไม เขาจับคนไม่ผิดอย่างนั้น ใครจะรับผิดชอบ” แม่เล็กกล่าว
การต่อสู้ของนางพะเยาว์ อัคฮาด
แม่ของกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาสมัคร หนึ่งในผู้เสียชีวิต ๖ คนที่ถูกทหารยิงในวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่
๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ และนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ พ่อของน้องเฌอ สมาพันธ์ ศรีเทพ
ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓ [5]
ก็ดูจะเป็นในทำนองเดียวกันกับแม่เล็ก สามัญชนมือเปล่าที่ไม่ยอมศิโรราบให้กับความอยุติธรรม
พวงทอง
ภวัครพันธุ์
ตุลาคม ๒๕๖๑
ตุลาคม ๒๕๖๑
[5] กมนเกด อัคฮาด และสมาพันธ์ ศรีเทพ
เสียชีวิตจากปฏิบัติการปราบปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์และกองทัพในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553