วันจันทร์, พฤษภาคม 16, 2559

ในระบบ คสช. นี่ พวกลิ่วล้อและลูกไล่มีหน้าที่แก้ตัวให้นาย





ในระบบ คสช. นี่ พวกลิ่วล้อและลูกไล่มีหน้าที่แก้ตัวให้นาย สไตล์โฆษก ทั้งวินธัย ไก่อู วีรชน หรือศิริจันทร์ เหมือนกันหมด เวลาแถลงแก้ต่างไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ดำดุ่ย ลุยดะทั้งนั้น บ่อยครั้งเหตุผลแท้จริงคนละเรื่อง

โฆษก กรธ. ก็เลยเอามั่ง ออกมาแก้ตัวให้ประธานฯ ที่พูดว่า ร่าง รธน. เวลานี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว รอไปแก้ไขเอาภายหน้า

นายอมร วาณิชวิวัฒน์ แก้ต่างว่า ที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ พูดอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่า “ให้รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปก่อนแล้วค่อยไปแก้ไขภายหลัง”





ส่วนนายนรชิต สิงหเสนี โฆษกอีกคนแก้ว่า “ไม่ใช่คำพูดและเจตนาของท่าน ที่สำคัญไม่ใช่อุปนิสัยของนายมีชัยที่จะมาพูดอะไรแบบง่ายๆ”

(http://www.matichon.co.th/news/137170 และ http://www.matichon.co.th/news/137327)

งงไหมล่ะ ภาษาไทยแบบกรรมการร่างฯ มันต่างกับของสื่อมวลชนเยอะเลย โดยเฉพาะเวลารายงานข่าวจะต้องล่วงรู้อุปนิสัยผู้พูด เหมือนผู้พิพากษาล่วงรู้เจตนาเบื้องลึกของผู้ต้องหา ม.๑๑๒ ก่อนด้วยมั้ย

หนักพอกันก่อนหน้านี้ก็มี ‘เสขกับดอน’ ณ กต. นั่นแหละที่ตอแหลได้โล่ห์ พลอยให้บริวาร คสช. ออกมาบริภาษณ์ทูตอเมริกันจ้าละหวั่น พวกด้อกเตอร์เหล่านั้นหารู้ไม่ว่ามาตรา ๑๓๔ กฎหมายอาญาตั้งระวางโทษดูหมิ่นทูตไว้อย่างสูง คุก ๕ ปี ปรับหมื่นบาท





บัตเล่อร์ตัวจริงของ คสช. ก็เลยใช้วีธีกดดันสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว. สำนักนายกฯ ให้ยื่นประท้วงสหรัฐกรณีทูตกลิน เดวี่ส์ ศอกกลับบักดอนหน้าหงายแทน





ประเภทลูกไล่ที่อาจไม่ใช่ลิ่วล้อหรือบริวารที่ต้องแก้ต่างให้เจ้านายอีกราย ล่าสุดก็คือหัวหน้าคณะตัวแทนไทยไปชี้แจงต่อที่ประชุมสหประชาชาติ อภิปรายทบทวนภาวะสิทธิมนุษยชนที่กรุงเจนีวาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทั่นปลัดกระทรวงยุติธรรมนั่นไง

กลับมาแล้วรีบเปิดแถลงผล “การใช้สิทธิตามขั้นตอนไปเพื่อรายงานสถานการณ์สิทธิมุษยชนในประเทศไทยตามวงกรอบการรายงาน” ที่มีนานาประเทศนับเป็นสิบๆ ซักถามกันละเอียดยิบนี้

“ไม่ใช่ประเทศไทยถูกสหประชาติเรียกไปชี้แจงหรือตอบข้อซักถามแต่อย่างใด”

นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ กล่าวด้วยว่า“ไทยนำเสนอการพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนหลายด้าน ซึ่งที่ประชุมให้คำชื่นชม แต่ก็ยังมีข้อห่วงกังวลในหลายประเด็น”

(http://www.matichon.co.th/news/136645)

ทั่นปลัดฯ คุยว่า “ยูพีอาร์ได้รับรองสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทย” แต่ก็ให้ข้อเสนอแนะมาปฏิบัติ ๒๔๙ ข้อที่ไทยตอบรับทันที ๑๘๑ ข้อ ที่เหลืออีก ๖๘ ข้อขอเอากลับไปทำเป็นการบ้าน แล้วจะนำไปส่งงานในอีกสามเดือนข้างหน้า เมื่อมีการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนในเดือนกันยายน

๖๘ ข้อที่ต้องนำกลับมาเป็นการบ้าน ถามใจ คสช. ดูก่อน เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่นานาชาติซักถามกันอย่างหนักระหว่างกรอภิปรายทบทวนนั่นละ ของดีๆ ทั้งนั้น ได้แก่

“ที่เกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การจำกัดเสรีภาพที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน การยกเลิกโทษประหารชีวิต การใช้ศาลทหาร และการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์”

ยังดีที่ถึงอย่างไรทั่นปลัดฯ ไม่ละเลยข้อเท็จจริงบางอย่างข้างต้น แม้จะยังไม่วายอ้างว่าหลายๆ ประเทศก็ได้รับข้อเสนอไปปฏิบัติเป็นร้อยๆ ข้อทั้งนั้น ทั่นยกตัวอย่างสหรัฐถูกยื่นข้อเสนอ ๓๔๙ ข้อ อังกฤษ ๑๓๒ ข้อ และฝรั่งเศส ๑๖๖ ข้อ

กรณีฝรั่งเศส รับทันที ๑๓๖ ข้อ เอากลับไปบ้าน ๓ ข้อ ปฏิเสธทันที ๒๗ ข้อ ไทยก็เช่นกัน “ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรับทั้งหมด”

แหม่ ตรงนี้ขอเชียร์ทั่นปลัดฯ สุดลิ่มเลย ช่วยดัน คสช. ตีตก ตีกลับไปสัก ๑๐-๒๐ ข้อ อาทิตย์หน้าจะได้ซ้อมรบร่วมกับจีนมันๆ

ข่าวรอยเตอร์แจ้งว่ากระทรวงกลาโหมจีนแถลงว่าในวันที่ ๑๙ พฤษภาคมถึง ๑๐ มิถุนายน ไทยกับจีนจะทำการซ้อมรบร่วมกันทั้งภาคพื้นดินและทางทะเล

(http://www.reuters.com/arti…/us-china-thailand-idUSKCN0Y417U)

นี่เป็นความมุ่งหมายของไทยที่จะเข้าไปกระชับสัมพันธ์กับจีนให้มากขึ้นเพื่อทัดทานดุลยภาพทางการเมืองระหว่างประเทศ หลังจากที่สหรัฐและประเทศตะวันตกแสดงท่าทีคัดค้านการรัฐประหารของ คสช. ตลอดสองปีที่ผ่านมา

รอยเตอร์อ้างด้วยว่าจีนสร้างความปั่นป่วนในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการประกาศสิทธิอาณาเขตน่านน้ำในทะเลจีนตอนใต้ ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมกระทบกระทั่งกับเวียตนาม ฟิลิปปินส์ มาเลย์เซีย ไต้หวัน และบรูไน

แต่ไทยไม่มีปัญหาใดๆ เรื่องการรุกล้ำน่านน้ำโดยจีน มีแต่ผลพลอยได้บนผืนดินข้างทางรถไฟที่จะว่าจ้างจีนสร้าง ให้เช่าสองข้างทางกว้างเป็นกิโลๆ ตามข้อเสนอเก่าหรือเปล่าไม่รู้ ถ้ามีการรื้อฟื้นข้อตกลงกันใหม่ดังที่เป็นข่าวลือ

เห็นสภาพัฒน์ฯ แจ้งข่าวดีว่าช่วงสามเดือนถึงมีนาคม จีดีพีไทยขยายตัวตั้ง ๓.๒ เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่บลูมเบิร์กทำนายว่าจะขึ้นเพียง ๒.๘ เท่านั้น นี่เป็นผลจากการทุ่มงบประมาณ ๔๐๐ ล้านบาทกระตุ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

(http://www.bloomberg.com/…/thailand-s-economy-expands-more-…)

น่าจะเป็นจังหวะดีให้คณะ ‘ครองเมือง’ ของบิ๊กตู่ เปิดดีลอะไรต่อมิอะไรกันใหม่ให้ครื้นเครง






ทั้งที่เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบธนาคารพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” และ

“ที่สำคัญ เอ็นพีแอลจากสินเชื่อบัตรเครดิตก็เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ ช้อปช่วยชาติ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซ้อฟท์โลน) มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์”

(http://www.dailynews.co.th/economic/397410)

ไม่เป็นไรเดี๋ยวให้ทั่นจั่นตองออกมาแก้ต่างว่าโครงการเม็กกะอย่าง ‘รางคู่-เร็วกลาง’ เนี่ยอย่าเข้าใจผิดว่าจีนจะกินทั้งขึ้นล่อง ต้องรอดูอาทิตย์หน้าหลังซ้อมรบแล้วอาจมีดีลดีๆ โผล่มาใหม่จากจีนชนิดปฏิเสธไม่ลงก็ได้