วันอังคาร, พฤศจิกายน 22, 2559

วิธีคิดแบบสลิ่มไทย





ขออนุญาตพูดเรื่องของเจนกับทาร์ซานอีกวัน ‘โหน’ กันหนักจนมันชักจะวุ่น ขนาดสลิ่มบางคนถึงกับบ่นว่า “ประเทศนี้เห็นทีจะอยู่ยากซะแล้ว”

ไม่รู้หล่อนอยากจะย้ายไปอยู่ไหน อยู่กับทรั้มพ์ กับคิม หรือว่าดูเตอร์เต้ดีล่ะ นี่แหละนะวิธีคิดแบบสลิ่มไทย ถ้าไม่ไล่เขาออกนอกประเทศก็คิดแต่จะเปิดก้นหนีเสียเอง ไม่ค่อยคิดเรื่องทฤษฎี สมุฏฐาน และมรรคผล ที่มาที่ไป ต้นสายและปลายเหตุ กันเท่าไรนัก





พอดีมีคนขุดเอาข้อเขียนของ ‘กาแฟดำ’ ขวัญใจสลิ่ม สุทธิชัย หยุ่น ตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน ๕๙ เอามาแชร์กันใหม่ ให้ช่วยกันหาทางป้องกันไม่ให้ความกลัวเกิดเป็นจริง

ความกลัวที่ว่าอีก ๒๐ ปีข้างหน้า คนไทยจะ ‘โง่ลง’ จนต้องกลายเป็นลูกจ้างของเขมร พม่า แขก จีน ฝรั่งที่เข้ามายึดอาชีพคนไทยไป

กาแฟดำเอ่ยถึงความกลัวว่าไทยจะ ‘โง่’ ในเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกันได้ที่ http://www.kratisod.com/mainnews/2736 แต่ถ้าอยากรู้เรื่องความอ่อนรู้และอวดรู้ ต้องดูจากนี้

บังเอิญอาจารย์ยิ้ม สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เขียนบนเฟชบุ๊ค กรณีบทบาทดังโด่ของ เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ไล่ล่า สุดารัตน์ บุตรพรม หรือ ‘ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน’ ฐานที่ดาวตลกหญิงเป็นอีกคนที่ออกมาเล่นงาน ‘เบสท์’ อรพิมพ์ รักษาผล จากการที่มีคลิปหลุดหยามหมิ่นให้ร้ายคนอีสาน

“ปรากฏการณ์ทั้งเบสท์และเทอดศักดิ์ สะท้อนว่าสังคมไทยเป็นสังคมอ่อนวิชาความรู้ ทำให้คนที่ไม่อ่านหนังสือ และมีความรู้อันกลวงว่างเปล่า กลายเป็นคนดัง

ยอดไลค์และความนิยมชมชื่นในคนเหล่านี้ สะท้อนถึงความ ‘ไร้สาระรวมหมู่’ ไม่ต้องพูดกันเลยเรื่องความคิดว่าจะไปในทิศทางไหน เอาแค่เรื่องข้อมูลพื้นฐาน ก็ไปไม่รอดแล้วทั้งสองคน”

นั่นเป็นคอมเม้นต์สนองรับกับโพสต์ของ Somsak Jeamteerasakul ที่ยกเอาคำของอันโตนิโอ กรัมซี่ นักทฤษฎีปฏิวัติม้าร์กซิสต์ชาวอิตาลี มาอธิบายว่า “มันเป็นวิกฤติอันประกอบด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าของเก่าก็ตายไป ของใหม่ไม่อาจเกิดได้ ในภาวะแห่งการเปลี่ยนผ่านที่ปรากฏอาการเน่าเฟะ*สารพัด”

“คุณเทอดศักดิ์นี่ ‘มั่ว’ มากๆในแง่ที่เป็นข้อมูลหรือ facts พื้นๆ เลย” สศจ. ระบุ “อ้างตัวเองเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญยุทธศาสตร์การเมือง’ นี่ พูดข้อมูลพื้นๆ ผิดประจำ...เห็นได้ชัดว่าคุณเทอดศักดิ์ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์การเมือง ไม่ว่าไทยหรือต่างประเทศ อ่อนมากๆ จึงพูดผิดแล้วผิดอีก”

“ยกตัวอย่าง (ผมเขียนแบบสรุปๆ นะครับ ไม่ใช่การโค้ตแบบคำต่อคำ แต่เช็คได้ทุกอันครับที่สรุปมานี้)”

“คณะราษฎรรบกันเองกลางกรุงเทพ กรณีกบฏบวรเดช”

“คาร์ล มาร์กซ สร้างทฤษฎีชนชั้น เพื่อพยายามทำการปฏิวัติอุตสาหกรรม”

“ความคิดของมาร์กซ ถูกนำไปใช้ประสบความสำเร็จในเยอรมัน (โดย) เลนิน ผู้ตั้งตำรวจลับที่เรียกว่า เกสตาโป”

“ผมไปดูที่เกิดเหตุ (กรณีสวรรคต) พระที่นั่งอนันตสมาคม”

“คดีสวรรคต ไม่ถูกดำเนินคดี จนกระทั่งสฤษดิ์ปฏิวัติ (ทั้งพูดและเขียนหลายครั้งประเด็นนี้)”

“วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ถูกตำรวจลับจีนลอบสังหาร (พูดและเขียนมากกว่าหนึ่งครั้ง)”

“กรณีสวรรคต ผมไปดูในหนังสือของบิดาของสุรชัย แซ่ด่าน" (เขาคงหมายถึงหนังสือของสุพจน์ ด่านตระกูล ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกับสุรชัยเลย)”




กับในการมั่วของเทอดศักดิ์เรื่อง “ความเป็นมาของธงชาติไทย ไตรรงค์-สามสี ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน goo.gl/VUgo1r

จากคลิปวิดีโอ “(นาทีที่ 3:58) ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตั้งอะไร ธงชาติไทยใหม่ ยกเลิกธงชาติไทย จากธงแดง มีรูปช้างอยู่ตรงกลาง เป็นธงสามสีนี่ แดง ขาว น้ำเงิน...

โห นี่ถ้าผมเป็นคนรักเจ้า ผมต้องเดือดปุดๆ แล้วนี่ คุณเทอดศักดิ์มาลบล้างพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่พระราชทานธงชาติไทย (รวมทั้งไอเดียกำหนดคำขวัญ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" ที่ทรงยืมมาจากอังกฤษ) ของรัชกาลที่ ๖ ไปได้ยังไง (วะ) ฮ่าๆๆ”

สศจ. สรุปว่า “การที่คนที่ ‘อ่อน’ มากๆขนาดนี้ กลายเป็นคน ‘ดัง’ ได้ มันสะท้อน morbid symptoms* หรืออาการป่วยของสังคมไทยในหลายปีที่ผ่านมาน่ะ”

เถียงไม่ขึ้นนะนี่ เพราะนอกจากเทอดศักดิ์ความรู้ไม่แน่น หรือไม่รู้จริงแล้วยังมีเบื้องหลังเละเทะเสียอีก เมื่อกลางปี ๒๕๕๑ เขามีมลทินพัวพันกับคดีพรากผู้เยาว์ เมื่อพี่สาวผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม

“แฉน้องชายถูกประธานสมาพันธ์พิทักษ์สิทธิเด็กและสตรี ซึ่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแฟนน้องชายกลั่นแกล้ง”

(http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx…)

สรุปเรื่องยาวให้สั้นได้ว่า ประธานสมาพันธ์พิทักษ์สิทธิเด็กและสตรีที่ชื่อ เทอดศักดิ์ หรือโต้ง “แอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง” กับเด็กผู้หญิงอายุ ๑๔ ปีคนหนึ่ง โดยไม่มีใครรู้จนกระทั่งอีกสองปีต่อมา เมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นคู่รักกับผู้ต้องหาในคดีพรากผู้เยาว์จากเชียงใหม่

พี่สาวผู้ต้องหาร้องเรียนว่าน้องชายไม่ได้พราก แต่รักใคร่อย่างจริงจังกับสาววัย ๑๖ ที่เขาปลุกปั้นเป็นดาวเต้นบน ‘แคมฟร้อก’ แต่ถูกประธานสมาพันธ์ฯ กลั่นแกล้งด้วยความหึงหวง

ไม่เพียงเท่านั้น มีคนไปคุ้ยพฤติกรรมของนายเทอดศักดิ์เมื่อปลายปี ๒๕๕๑ ที่บุกเข้าไปในรัฐสภา จะไปชกหน้าหมอสันต์ (หัตถีรัตน์) หมอเหวง (โตจิราการ) และ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ล้วนเป็นนักการเมืองพรรคพลังประชาชน ที่ร่วมกันเรียกร้องให้ต่อต้านรัฐประหาร

“นายเทอดศักดิ์ระบุว่าตนไม้ได้เป็นพันธมิตรฯ แต่เป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มทหารเสือพระราชา ต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

แต่ที่ผ่านมาถูกกระทำด้วยความรุนแรง และโดนทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธหลายชนิด ๑๕ ครั้ง จนครั้งสุดท้ายพ่อของตนคือนายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา ถูกรุมทำร้ายด้วยอาวุธมีดจนเสียชีวิตเมื่อคืนวันที่ ๒๕ พ.ย.”

(http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=357538)

เหตุการณ์ตอนนั้นก็คือเสื้อเหลืองปะทะเสื้อแดงถึงเลือดตกยางออก โดยพ่อของนายเทอดศักดิ์เป็นหนึ่งใจจำนวนเสื้อเหลืองไม่กี่คนที่เสียชีวิต ทำให้เขามีความคั่งแค้นและจงเกลียดจงชังเสื้อแดงจนกระทั่ง กระทำทุกอย่างเพื่อกวาดล้าง และใส่ร้ายทั้งที่ไม่มีความรู้ในข้อเท็จจริงเพียงพอ

เป็นสภาพสังคมที่ประชาชนสองฝ่ายห้ำหั่นกันให้ฉิบหายกันไปข้าง โดยไม่คำนึงว่าผลร้ายจะเกิดแก่ทั้งสองฝ่ายในฐานที่ร่วมสังคมแห่งรัฐชาติเดียวกัน ที่คงจะใช้ทฤษฎีของ Grumsci มาวิเคราะห์อธิบายได้เหมาะเจาะ เช่นเดียวกับสภาพเน่าเฟะที่นำมาสู่ชัยชนะของทรั้มพ์

(*หมายเหตุ ทฤษฎีเกี่ยวกับ ‘Morbid Symptoms’ ปัจจุบันมีการนำไปอธิบายในทางวิชาการถึงปรากฏการณ์สองอย่าง คือเรื่องอาการกลับไปย่ำแย่ทรุดลงอีกครั้งของอาหรับสปริง ในหนังสือของ Gilbert Achcar, May 25, 2016 กับความพยายามอธิบายปรากฏการณ์แห่งชัยชนะดอแนลด์ ทรั้มพ์ ในบทวิเคราะห์หลายตอนของ ‘Unity and Struggle’, Nov 15, 2016 http://unityandstruggle.org/…/morbid-symptoms-the-rise-of-…/)