วันพุธ, ธันวาคม 10, 2568

แฟนตาซีชาตินิยมไทยในความขัดแย้งกับกัมพูชา



แฟนตาซีชาตินิยมไทยในความขัดแย้งกับกัมพูชา

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี 
9 Dec 2025
101 World

“ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 นอกจากเราจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวแล้ว ต้องเป็นการทวงคืนดินแดนที่เราได้สูญเสียไปในอดีตโดยปราศจากความชอบธรรมให้กลับคืนมาด้วย”

ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์

กลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาเรียกร้องให้กองทัพไทยใช้โอกาสที่มีความขัดแย้งกันตามแนวชายแดนเมื่อกลางปี 2025 เพื่อยึดคืนเมืองพระตะบอง เสียมเรียบ (เสียมราฐ) และศรีโสภณ ให้กลับคืนสู่ความครอบครองของไทยอีกครั้ง โดยอ้างความชอบธรรมจากความบกพร่องของขั้นตอนในการให้สัตยาบันความตกลงวอชิงตัน ปี 1946 ทำให้การยกเลิกอนุสัญญากรุงโตกิโอ (กรุงโตเกียว) ฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ที่ไทยทำกับฝรั่งเศสเพื่อโอนดินแดนบางส่วนของกัมพูชาให้ไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองเป็นโมฆะ

“ด้วยเหตุนี้ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ จึงยังคงเป็นดินแดนของประเทศไทย ที่เราสามารถสงวนสิทธิ์ในการยึดคืนกลับมาได้โดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ หรืออย่างน้อยประเทศไทยมีความชอบธรรมที่จะต่อสู้ในเวทีสากลระหว่างประเทศในการเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว” ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เขียนเอาไว้ใน Facebook ของเขาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ซึ่งเป็นวันที่กองทัพไทยเริ่มต้นปะทะกับกัมพูชาด้วยอาวุธหนัก

คนทั่วไปที่แม้ว่าจะเกิดไม่ทันสมัยสงครามโลกแต่หากได้เรียนรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ครั้งนั้นและเข้าใจหลักกฎหมายระหว่างประเทศตามสมควรก็อาจจะมองว่าข้อเรียกร้องทำนองนี้เป็นสิ่งที่เพ้อฝันหรือพลอยคิดไปว่าคนระดับศาสตราจารย์เกียรติคุณทางด้านรัฐศาสตร์ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองถึงระดับรัฐมนตรีจะนำเสนอเรื่องราวที่เพ้อเจ้อขนาดนี้ได้อย่างไรกัน

เป็นความจริงที่ว่า ‘อนุสัญญาโตเกียว’ ที่พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ลงนามร่วมกับ ชาลส์ อาร์แซน-อังรี (Charles Aesene-Henry) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำญี่ปุ่น เพื่อทำการโอนดินแดนในอินโดจีนของฝรั่งเศสจำนวนมาก คือ มณฑลบูรพาหรือเมืองพระตะบอง เสียมเรียบและศรีโสภณในกัมพูชา และนครจำปาสัก-ไซยะบุลี ในลาว ให้มาเป็นของไทย[1] และดินแดนหรือเมืองเหล่านี้อยู่ในความครอบครองของประเทศไทยนาน 5 ปี (1941-1946) อันเป็นระยะเวลาระหว่างสงครามโลกซึ่งฝรั่งเศสในอินโดจีนอ่อนแอมากไม่อาจจะสู้รบต่อไปได้ จึงเปิดโอกาสให้ไทยซึ่งเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่นที่กำลังบุกตะลุยทั่วเอเชียสามารถเข้าครอบครองดินแดนเหล่านั้นไว้ได้

รัฐบาลจอมพล ป. ในสมัยนั้นได้ปลุกกระแสลัทธิชาตินิยมอย่างขนานใหญ่ เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย เรียกร้องดินแดนที่เชื่อว่าเสียไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ให้มาอยู่ในความครอบครองของประเทศไทย เมืองเสียมเรียบถูกเปลี่ยนชื่อเป็น จังหวัดพิบูลสงคราม ตามนามสกุลของจอมพล ป. และให้ความรู้สึกว่า ‘เป็นไทย’ ขึ้นมาอย่างมาก

ต่อมาเมื่อประเทศไทยตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามตามญี่ปุ่น ไทยกับฝรั่งเศสก็ต้องทำความตกลงกันใหม่ ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ในเดือนพฤศจิกายน 1946 ซึ่งข้อ 1 ในความตกลงนั้นเขียนเอาไว้ชัดเจนว่าให้ยกเลิกอนุสัญญากรุงโตกิโอไปเสียและให้สถานภาพก่อนอนุสัญญาฉบับนั้นกลับฟื้นคืนขึ้นมา ฉะนั้น อาณาเขตอินโดจีนที่บัญญัติเอาไว้ในอนุสัญญาดังกล่าวก็ต้องโอนกลับไปให้ฝ่ายฝรั่งเศสและเมื่อกัมพูชาได้รับเอกราชก็สืบสิทธิในการครอบครองเมืองและดินแดนเหล่านั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

โดยสามัญสำนึกทั่วไปแล้วข้อเรียกร้องให้ดินแดนเหล่านี้กลับมาอยู่ในความครอบครองของไทยไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงในศตวรรษที่ 21 เพราะในแง่ของกฎหมายระหว่างประเทศแล้วคงไม่มีประเทศใดสามารถอ้างความบกพร่องของกระบวนการหรือกฎหมายภายในประเทศมาเปลี่ยนแปลงความตกลงระหว่างประเทศได้ ประการต่อมาในแง่ของความเป็นจริง ประเทศไทยในยุคปัจจุบันแม้ว่าจะมีความเหนือกว่ากัมพูชาในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นขนาดพื้นที่ จำนวนประชากร ขนาดเศรษฐกิจ และศักย์สงครามของกองทัพ แต่ก็มองไม่เห็นทางเลยว่า รัฐบาลและกองทัพไทยในยุคนี้จะมีขีดความสามารถในการก่อสงครามเบ็ดเสร็จเต็มรูปแบบเพื่อบุกยึดดินแดนในกัมพูชาได้เหมือนอย่างกองทัพรัสเซียบุกยึดยูเครน

ในที่นี้ต้องการจะหาคำอธิบายว่า คนระดับศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์ผู้มีประสบการในการบริหารงานราชการบ้านเมือง จะไม่สามารถวิเคราะห์ได้เชียวหรือว่าข้อเรียกร้องของเขาไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าเช่นนั้นแล้วเขายกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม เพื่อปลุกระแสชาตินิยมอย่างนั้นหรือ? และจะมีคนไทยที่ต่อให้นิยมชมชอบชาติของตัวเองขนาดไหนจะเชื่อถือคล้อยตามข้อเรียกร้องแบบแฟนตาซีอย่างนี้ไปทำไมกัน? เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องเพ้อฝันหรือออกจะเหลวไหลเกินกว่าจะมีผู้นำทางการเมืองคนใดหยิบเอามาทำเป็นนโยบายของรัฐบาลของตนได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วเรื่องราวอันเหลือเชื่ออันนี้ทำหน้าที่ในเชิงจิตวิทยาและอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร

ก่อนอื่นต้องขออธิบายคำว่า ‘แฟนตาซี’ (fantasy) เสียก่อนสักเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วเมื่อพูดคำว่าแฟนตาซีหรือเรียกอะไรว่าเป็นแฟนตาซีคนมักจะคิดถึงเรื่องความฝันลมๆ แล้งๆ ที่สดสวยโสภาแต่เป็นไปไม่ได้ในโลกของความเป็นจริง แต่แฟนตาซีในที่นี้จะหมายถึงแฟนตาซีที่เป็นอุดมการณ์ (ideological fantasy)[2] เป็นโครงสร้างของจิตวิทยาการเมืองประเภทหนึ่งเพื่อใช้กำกับ ‘ความปรารถนา’ และ ‘ความเจ็บปวดรวมหมู่’ ของสังคม เพื่อใช้กลบเกลื่อนความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้ (inconvenient truth) ผ่านเรื่องเล่าที่มอบความหมาย ความชอบธรรม และตัวตนของชาติให้แก่เรา แม้เราจะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่เป็นจริงก็ตาม

ในบริบทของความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในสถานการณ์แห่งความขัดแย้งตอนนี้ fantasy ทำหน้าที่แปลงความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์และความบกพร่อง ความไม่สมเหตุสมผลของอัตลักษณ์แห่งความเป็นไทยให้กลายเป็นภาพลวงตา (illusion) ของดินแดนที่สมควรถูกทวงคืน ยิ่งเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้มากเท่าใด ยิ่งทำให้ความรู้สึกเป็นชาติและความชอบธรรมทางศีลธรรมของผู้เรียกร้องมีพลังมากขึ้นเท่านั้น

เสาหลักแฟนตาซีชาตินิยมไทย

แฟนตาซีชาตินิยมไทยยุคปัจจุบันไม่ได้เกิดจากความเข้าใจผิดหรือไม่รู้ข้อเท็จจริง หากแต่เกิดจากโครงสร้างเชิงอารมณ์-ความรู้สึกและประวัติศาสตร์ 6 ประการที่ทำงานร่วมกันในการจัดระเบียบความปรารถนา ความเจ็บปวด และความกลัวของสังคมไทย ซึ่งทำให้ข้อเรียกร้องที่เป็นไปไม่ได้ เช่น การทวงคืนดินแดน หรือการใช้กำลังกับกัมพูชา ดูน่าชื่นชม หลงใหลและมีความสูงส่งทางศีลธรรมในสายตาผู้คน

ประการแรก ประวัติศาสตร์บาดแผลของสังคมไทยเกิดจากการเลือกหยิบเหตุการณ์ในยุคล่าอาณานิคมมาเป็นเรื่องเล่าเพื่อสร้างความเจ็บปวดรวมหมู่อันเกิดจากการถูกจักรวรรดินิยม (เฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศส) รุกราน มาแย่งชิงเอาดินแดนที่เคยเป็นประเทศราชของสยามไป ในเวลาต่อมาแม้ว่าบางยุคบางสมัยผู้นำของไทยจะไปยึดดินแดนเหล่านั้นมาได้ แต่ผลแห่งความพ่ายแพ้สงครามทำให้จำต้องปล่อยให้ดินแดนเหล่านั้นกลับคืนสู่สถานะเดิม แม้ว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาจะมีขนาดเล็กกว่า มีศักยภาพทางการทหารต่ำกว่าไทยหลายเท่าแต่ถึงกระนั้นบรรดาปัญญาชนสายชาตินิยมและนักเล่าเรื่องกระแสหลักก็จะพากันสร้างเรื่องเล่าว่า เพื่อนบ้านนั้นใช้ “มรดก” ของอาณานิคม เช่น สนธิสัญญา แผนที่ ประกอบกับการประจบประแจงเพื่อให้ประเทศใหญ่ทางตะวันตกใช้อำนาจและอิทธิพลมาแย่งชิงเอาดินแดนเหล่านั้นไปจากประเทศไทยอีกจนได้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ก็ไม่ได้สถิตไว้ซึ่งความยุติธรรมเหมือนชื่อเลยแม้แต่น้อย หากแต่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศตะวันตก (ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ) ใช้หลักกฎหมายปิดปาก Estopple อะไรก็ไม่รู้มายัดเยียดให้ไทยยอมรับแผนที่ 1:200,000 (ในสายตานักประวัติศาสตร์สายชาตินิยมบางคนเห็นเป็นแผนที่เก๊ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นฝ่ายเดียว) ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาไปเสียเฉยๆ อย่างนั้น

แม้เหตุการณ์ในอดีตหลายเรื่องจะมีความซับซ้อนกว่าที่ประชาชนทั่วไปรับรู้ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ยกกันขึ้นมาก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเสียทั้งหมด แต่ความรู้สึกว่าชาติถูกกระทำย่ำยีได้กลายเป็นแก่นสารของสำนึกความเป็นไทย เรื่องความพ่ายแพ้กรณีปราสาทพระวิหารที่ไทยต้องคืนให้กัมพูชา เพราะคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 1962 และการตีความใหม่ในปี 2013 นั้นนับเป็นความอับอายขายหน้าแห่งชาติที่จะถูกนำมาตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เจ็บจำฝังลึกในจิตสำนึกไทยยุคปัจจุบัน

ประการที่สอง หลายคนอาจจะเห็นว่าอุดมการณ์ราชาชาตินิยมไม่ได้ถูกขับให้โดดเด่นมากนักในความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในยุคนี้ แต่ก็อาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งนี้ไม่ได้หายไปจากสำนึกแห่งความเป็นไทยแต่อย่างใดเลย กองทัพในฐานะผู้สร้าง narrative หลักของชาติได้ผูกบทบาทสถาบันกษัตริย์เอาไว้กับความเป็นชาติไทยอย่างแน่นหนา นายทหารทุกคนจะต้องยึดมั่นในเรื่องเล่าหลักของกองทัพไทยที่ว่ากษัตริย์คือผู้นำกองทัพในการปกป้องผืนแผ่นดินนี้สืบต่อกันเรื่อยมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ดังปรากฏในคำบรรยายที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของ บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้โด่งดังจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งว่า

“…. พี่ทหารฝากมาว่า หากพี่น้องคนไทยสู้ ลูกหลานเราสู้ พี่ๆ ทหารก็สู้ พี่ๆ ทหารฝากบอกว่า ไม่ต้องห่วงพวกผมขอเพียงกำลังใจจากคนไทยเท่านั้น นี่คือทหารไทย เมื่อถึงเวลามีจิตวิญญาณของพระนเรศวร พวกเราไม่ต้องหวังว่าสถานการณ์ทหารไทยจะสู้หรือไม่ ชัดเจนอยู่แล้ว เพื่อแผ่นดินนี้ ที่บรรพบุรุษได้รักษาไว้เราจะต้องปกป้อง ใครรุกล้ำดินแดนของเรา ต้องผลักดันออกไป ยืนยันว่าเราไม่ได้รุกล้ำประเทศอื่น เรารบในประเทศไทยทั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยอยู่ตลอดเวลา ท่านได้สอบถามสถานการณ์ไปที่แม่ทัพทุกวัน โดยกองงานของพระองค์ ได้สอบถามสถานการณ์จากแม่ทัพ และได้รายงานทุกวัน สิ่งเหล่านี้คือจอมทัพไทย และตั้งแต่ประวัติศาสตร์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์นำกองทัพ และปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นเดิม ดังนั้นทหารทุกคนพร้อมสละชีพ เพื่อชาติทุกคน และปัจจุบันเรายังอยู่ที่หน้าแนว แม้สถานการณ์จะเป็นอย่างไร เราก็พร้อม ไม่ว่าจะยุติก็ได้ หรือจะรบต่อเราก็พร้อม”[3]

ดังนั้นเมื่อนายทหารระดับสูงหรือนักวิชาการชนชั้นนำอ้างว่า “ในรัชสมัยปัจจุบันเราต้องไม่เสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” วาทกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อเรียกร้องเชิงนโยบายในเรื่องดินแดนเท่านั้น แต่เป็นการสร้างรากฐานทางศีลธรรมอันสูงส่งที่ผู้สนับสนุนจะได้รู้สึกว่าตนได้รักษาชาติผ่านการแสดงความจงรักภักดีไปพร้อมกัน

ประการที่สาม ชาตินิยมแบบใดก็ล้วนแล้วแต่ต้องการศัตรูด้วยกันทั้งนั้น ชาตินิยมไทย มักจะเลือกประเทศเพื่อนบ้านเป็นเป้าหมายเสมอ ในกรณีกัมพูชานับเป็นศัตรูของชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุดเพราะมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานในฐานะประเทศราชที่ทรยศ เนรคุณ เลี้ยงไม่เชื่องและชอบลอบกัดไทยเสมอๆ ในเวลาที่สยามหรือไทยอ่อนแอ ตำนานเรื่องพระยาละแวกถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าถูกกษัตริย์อยุธยาตัดหัวเอาเลือดมาล้างเท้า แม้นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายจะโต้แย้งและแสดงหลักฐานให้เห็นว่ามันไม่มีมูลความจริงอยู่เลยก็ตาม แต่คนที่ชอบเล่าเรื่องแบบนี้ก็จะหลับหูหลับตาเล่าอยู่อย่างนั้นตลอดไป

กองทัพและสื่อมวลชนกระแสหลักพากันสร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในยุคปัจจุบัน ว่าเกิดจากผู้นำกัมพูชาต้องการใช้แนวทาง ‘ชาตินิยมกัมพูชา’ พิพาทกับไทยเพื่อหวังสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้ตนเองและลูกชาย เบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนผู้ทุกข์ยากเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำให้หันมาโทษไทย บางครั้งก็ว่าผู้นำกัมพูชาต้องการ ‘ฮุบ’ ดินแดนของไทย เฉพาะอย่างยิ่งปราสาทหินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มปราสาทตาเมือนและตาควาย พลันที่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้น กองทัพไทยไม่รีรอเลยที่จะชักชวนให้สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปพากันติด hashtag #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire ยัดเหยียดความเป็นอริราชศัตรูให้กับเพื่อนบ้านอย่างฉับพลันทันที

ในหลายกรณี วาทกรรมเหล่านี้หมายรวมถึงคนกัมพูชาโดยรวมไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือประชาชนธรรมดาสามัญทั่วไปว่ามีนิสัยประจำชาติเหมือนกันหมด บรรดาสื่อมวลชนกระแสหลักและสื่อสังคมออนไลน์ที่ผลิตจากข้อมูลและเรื่องเล่าจากกองทัพจะรายงานเหมือนกันหมดว่า ชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ที่ชุมชนจ๊อกเจย (ติดพื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว) ว่าเป็นพวกเนรคุณแผ่นดินไทย

ความตอนหนึ่งใน Facebook SMART Soldiers Strong ARMY ความว่า “หนองจานจึงไม่ได้เป็นเพียง ‘ค่ายผู้ลี้ภัย’ แต่คือ ‘สะพานชีวิต’ (Land Bridge) ที่ยื่นมือจากไทยไปสู่มนุษยธรรมโลก และครั้งหนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังได้เสด็จฯ มาทรงเยี่ยมผู้ลี้ภัยด้วยพระองค์เอง ‘หนองจาน’ คือสัญลักษณ์ของการให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไทยแบ่งปันข้าวปลา อาหาร และที่พักพิง เพื่อให้เพื่อนบ้านที่หนีตายได้มีชีวิตรอด จากที่พึ่งชีวิตสู่วิกฤตอ้างสิทธิ์ดินแดน เมื่อสงครามสงบชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งกลับไม่ยอมกลับประเทศ เลือกตั้งถิ่นฐานถาวรในเขตฝั่งไทยและต่อมากลับอ้างสิทธิ์ว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา”

แม้ว่าจะมีข้อมูลเผยแพร่ทั่วไปว่าประเทศไทยและกองทัพไทยไม่ได้ใจดีขนาดนั้น ผู้อพยพในค่ายหนองจานในยุคแรกๆ ไม่ได้รับการปฏิบัติด้วยความเอื้ออารีอย่างที่กองทัพไทยกล่าวอ้าง[4] แม้ว่าเรื่องนี้จะได้รับการเผยแพร่ทั่วไป แต่เชื่อว่าสื่อมวลชนและคนไทยจำนวนน้อยนิดจะได้ดูสารคดีสะเทือนอารมณ์เรื่อง Ghost Mountain: The Second Killing Fields of Cambodia in Thailand – Preah Vihear Temple[5] ที่ผลิตโดย Preah Vihear Foundation อันเป็นเรื่องราวของผู้อพยพกัมพูชาจำนวนมากถึง 45,000 คนถูกผลักดันให้กลับไปพบกับหายนะแห่งชีวิตที่เขาพระวิหาร เพราะคนไทยและสื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่เลือกที่จะจดจำว่า กัมพูชาเป็นศัตรู คนเขมรเป็นพวกเนรคุณ ส่วนคนไทยนั้นใจดีเป็นเหยื่อแห่งความเจ้าเล่ห์เพทุบายและการทรยศตลอดกาล

ประการที่สี่ อัตลักษณ์แห่งความเป็นไทยและความภาคภูมิใจในความเป็นชาติที่ยึดถือกันมานานกำลังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากความถดถอยทางการเมืองและเศรษฐกิจโดยรวม ปัญหาทางการเมืองนับแต่ต้นศตวรรษที่ 21 การรัฐประหารสองครั้งติดกันในรอบไม่ถึง 10 ปี (2006, 2014) ทำให้ความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มลายหายไปจนสิ้น ความแตกแยกทางการเมืองในระยะที่ผ่านมาและกำลังดำเนินอยู่ต่อไปในขณะนี้ ทำให้คุณค่าแห่งสังคมที่สามัคคีกลมเกลียวเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว สถาบันหลักของชาติและอัตลักษณ์ความเป็นไทยถูกท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ชนชั้นสูงของไทยและฝ่ายอนุรักษนิยมรู้สึกหวั่นไหวและไม่มั่นคงในจิตใจอย่างมาก

เหตุการณ์ความรุนแรงในภาคใต้และใจกลางกรุงเทพมหานคร คือรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดของวิกฤตด้านอัตลักษณ์ของสังคมไทย เรื่องเล่าทำนองที่ว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความสงบสุขร่มเย็นคลายมนต์ขลังลงไปอย่างมากเมื่อปรากฎว่ามีชาวมุสลิมมาลายูลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้เพื่อยืนยันอัตลักษณ์ของตัวเอง และปฏิเสธความเป็นไทยที่ถูกยัดเยียดมาเป็นเวลากว่า 2 ศตวรรษ บางส่วนแสดงความปรารถนาจะแยกตัวออกจากประเทศไทยด้วยซ้ำไป วาทกรรมการต่อสู้ระหว่างไพร่-อำมาตย์ที่คนเสื้อแดงสร้างขึ้นหลังการรัฐประหารปี 2006 และล่าสุดการลุกฮือขึ้นของขบวนการเยาวชนเมื่อปี 2020 คือสิ่งที่ท้าทายคุณค่าและสถาบันทางจารีตประเพณีอย่างรุนแรงและเป็นรูปธรรมที่สุดเท่าที่คนไทยร่วมสมัยเคยเห็น

ผลจากความถดถอยทางการเมืองทำให้ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจโดยรวมของไทยพลอยตกต่ำลงไปด้วย ไทยสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างรวดเร็ว อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในรอบทศวรรษที่ผ่านมาเฉลี่ยเพียง 1.8 % ในขณะที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยของกลุ่มอาเซียนโดยรวมโตมากกว่า 3.7 % การสำรวจของ World Competitiveness Center ของสถาบัน International Institute for Management Development (IMD) ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยถดถอยลงในหลายด้าน เริ่มจากการตกลงของอันดับโดยรวม ปี 2025 ไทยร่วงจากอันดับ 25 เมื่อปีที่แล้วมาอยู่ที่ 30 จาก 69 เศรษฐกิจทั่วโลก ความสามารถในการแข่งขันทั้งในมิติของภาครัฐ (government efficiency), ภาคธุรกิจ (business efficiency) และโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ต่างได้รับผลกระทบ บางหมวดมีอันดับลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Efficiency) เป็นหมวดที่ตกลงมากที่สุด บ่งชี้ปัญหาในเรื่องนโยบาย ความมั่นคงของกฎหมาย การบริหารราชการ และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อรัฐบาล เมื่อภาครัฐถูกมองว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพก็กลายเป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดการลงทุนและลดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของเศรษฐกิจของไทยโดยรวม

ประการที่ห้า การที่กลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาอ้างว่าสิ่งที่พวกเขานำเสนอเป็น “ความจริงหนึ่งเดียว” ในการเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจฉบับปี 2000 (MOU 43 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก) และ 2001 (MOU 44 ว่าด้วยการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน) หรือประณามผู้ที่เห็นต่างว่าขายชาติ ด่าทอนักสิทธิมนุษยชนที่ยกปัญหาการคุกคามชาวกัมพูชาอย่างสาดเสียเทเสียว่าเป็นคนไทยใจเขมรบ้าง แม่พระของชาวเขมรบ้าง เป็นการสร้างมาตรฐานทางศีลธรรมอันสูงส่งให้ผู้พูดหรือสร้างวาทกรรมนี้ ในทำนองเดียวกันก็เป็นการกีดกันผู้ที่โต้แย้งด้วยเหตุผล หลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หรือข้อกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ ให้ออกจากพื้นที่แห่งความรักชาติที่พวกเขาจงใจจะผูกขาดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

ในทำนองเดียวกัน หากมองในระดับชาติ การที่กองทัพไทยชักชวนประชาชนติด hashtag #TruthFromThai เพื่อทำสงครามข่าวสารโต้ตอบกัมพูชา หรือกรณีที่ใช้การตรวจสอบฝ่ายเดียวเพื่อกล่าวหาและกล่าวโทษฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเพื่อทำร้ายทหารไทยที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนถึง 7 ครั้งในห้วงระยะเวลาที่มีเหตุการณ์ตึงเครียดและการปะทะที่ชายแดนโดยไม่ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอิสระหรือผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่ไหนเข้าไปยืนยัน ก็จัดได้ว่าเป็นความพยายามของกองทัพไทยที่จะยกระดับทางศีลธรรมของฝ่ายตนให้ดูสูงส่งกว่ากัมพูชา ชี้ให้เห็นว่าแม้กัมพูชาและไทยจะเป็นภาคี Ottawa Convention เหมือนกัน ทั้งสองประเทศถูกห้ามใช้และมีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเหมือนกัน แต่ก็จะมีแต่ฝ่ายกัมพูชาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ละเมิดสนธิสัญญานี้

เช่นเดียวกันกับปัญหาสแกมเมอร์หรือคอลเซ็นเตอร์ แน่นอนว่ากัมพูชาถูกระบุเอาไว้ในรายงานของสหประชาชาติว่าเป็นแหล่งที่มีการปฏิบัติการของแก๊งหลอกลวงและอาชญากรรมออนไลน์ที่ใหญ่แห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ต่างจากพม่าเท่าใดนัก แต่ทางการไทยไม่พลาดที่จะนำเรื่องนี้มาใส่ลงในบริบทของความขัดแย้งทางชายแดน สร้างเป็นเงื่อนไขเรียกร้องให้รัฐบาลพนมเปญปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้โดยมีเรื่องการปิด-เปิดด่านชายแดนเป็นเครื่องต่อรอง แต่โชคร้ายตรงที่อาชญากรเหล่านี้ได้แฝงตัวเข้ามาอยู่ในโครงสร้างของชนชั้นนำไทยมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงทำให้ผู้นำไทยไม่สามารถยกมาตรฐานทางศีลธรรมของพวกเขาให้สูงส่งไปกว่าผู้นำกัมพูชาได้ถนัดถนี่นัก แต่หากมองในมุมของการสร้างแฟนตาซีอาจจะนำเรื่องนี้ไปผสมปนเปไปกับเรื่องอื่น ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งพลอยเชื่อหรือทึกทักไปได้ว่า สแกมเมอร์ในกัมพูชาเกิดขึ้นภายใต้อุปถัมภ์ของผู้มีอำนาจในประเทศนั้นอย่างเดียว บรรดานักวิเคราะห์ชาวไทยจำนวนมากพากันแต่งเติมเรื่องไปในทำนองที่ว่า กองทัพกัมพูชาใช้เงินจากธุรกิจผิดกฎหมายหรือเสื่อมศีลธรรมเหล่านี้ปีละหลายแสนล้านบาทเพื่อไปซื้ออาวุธและเลี้ยงกำลังทหาร โดยเฉพาะในหน่วยที่เป็นกองกำลังส่วนตัวของผู้นำกัมพูชาที่รู้จักกันดีในชื่อ Bodyguard Headquarters (BHQ) เพื่อให้มาทำสงครามรุกรานไทย

ประการที่หก สิ่งที่ถือว่าเป็นสุดยอดของแฟนตาซีของอุดมการณ์ชาตินิยมไทยคือ ความรื่นรมย์อันเกิดจากความเพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า คนที่เสนอให้ไทยเรียกร้องดินแดนบางส่วนของกัมพูชา เช่น เมืองพระตะบอง เสียมเรียบ (เสียมราฐ) ศรีโสภณ และปราสาทพระวิหาร ให้กลับคืนสู่ความครอบครองของไทยอีกครั้งนั้นเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติเพราะกองทัพไทยในยุคสมัยปัจจุบันไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น ฐานะทางเศรษฐกิจของไทยไม่เอื้ออำนวยให้รัฐบาลจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์และส่งกำลังบำรุงเพื่อการทำสงครามเบ็ดเสร็จเพื่อยึดพื้นที่จำนวนมากขนาดนั้น แต่พวกเขาก็จะเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าและพยายามจะทำให้ ‘ความฝัน’ เช่นนั้นให้ดูมีความหวังขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง

ในทำนองเดียวกัน อดีตแม่ทัพบุญสินพูดเรื่องการทวงคืนปราสาทพระวิหารก็เป็นเพียงการให้ความหวังในเชิงแฟนตาซีที่ทำให้ผู้ฟังของเขารู้สึกดีเท่านั้นเอง เขาพูดว่า “ส่วนประสาทพระวิหารเราแพ้คดีไปแล้วได้คุยนักกฎหมายมี 2 วิธีได้คืนมา 1. ยื่นต่อศาลโลกใหม่ว่าคำตัดสินนั้นไม่ชอบธรรมต่อฝ่ายไทย ให้ศาลโลกได้ทบทวนเนื่องจากมีปัจจัยเอื้อต่อไทยทั้งทางกายภาพเป็นของไทยฝั่งเขาเป็นหน้าผา แต่ต้องดูข้อกฎหมาย เพราะทั่วโลกยอมรับหมดแล้วว่าเป็นของกัมพูชา กับอีกแนวทางหนึ่งใช้กำลังเข้ายึด แต่ทั่วโลกตำหนิ ปัจจุบันกัมพูชาปิดตายปราสาทพระวิหาร แม้ทางขึ้นอยู่ฝั่งไทยแต่เขาไม่ให้ขึ้นและเขาทำทางขึ้นฝั่งเขาแต่คืบหน้าไม่มาก”[6]

ทั้งบุญสินและบรรดาผู้นำทางความคิดชาตินิยมทั้งหลายรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชาไปตั้งแต่ปี 1962 และเวลาในการอุทธรณ์ (ในกรณีที่พบหลักฐานใหม่) ก็หมดไปนานแล้ว อีกทั้งการตีความคำพิพากษาในปี 2013 ก็ได้ยืนยันสิ่งเดิมว่า พื้นที่ซึ่งเรียกว่า ‘เขาพระวิหาร’ นั้นก็หมายถึงภูเขานั้นทั้งลูก ขอบเขตของมันก็ให้เป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ระวางดงรัก วาทกรรมที่ว่าตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาแผ่นดินรองรับตัวปราสาทเป็นของไทยถูกทำลายป่นปี้ไม่มีชิ้นดีไปแล้ว ประเทศไทยไม่มีสิทธิอะไรอีกแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีการพูดถึงคดีปราสาทพระวิหาร ทหารไทยและผู้นำทางความคิดแนวชาตินิยมบางส่วนก็จะย้ำคิดย้ำทำอยู่อย่างนั้นว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศลำเอียง ไทยไม่เคยรับแผนที่ 1: 200,000 ประเทศไทยมีสิทธิทวงคืนปราสาทพระวิหารแน่นอนเพราะรัฐมนตรีต่างประเทศในเวลานั้นได้ไปแถลงสงวนสิทธิเอาไว้แล้วที่สหประชาชาติและสิทธิเช่นว่านั้นจะอยู่ชั่วกัลปาวสาน

ความสูญเสียอันชวนฝัน

แฟนตาซีของอุดมการณ์ชาตินิยมไทยยุคปัจจุบันทำหน้าที่ชวนฝันและกลบเกลื่อนความจริงอันแสนขมขื่น จนสามารถทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยมองข้ามความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของทหารชั้นประทวนและประชาชนพลเรือนตามแนวชายแดนระหว่างที่เกิดเหตุปะทะกันไปได้ง่ายๆ ชีวิตทหารชั้นผู้น้อย 17 คน พลเรือนอีก 14 คน ผู้ที่บาดเจ็บทั้งทหารและพลเรือนรวมกันอีกกว่า 300 คน รวมตลอดถึงประชาชนคนไทยอีกกว่า 180,000 คนที่ต้องอพยพหนีตาย เป็นเรื่องโศกนาฏกรรมที่สลดหดหู่ชวนแก่ความทุกขเวทนาที่ถูกนำมาปลุกเร้าให้แฟนตาซีแห่งชาตินิยมไทยลุกลามติดเชื้อไปในวงกว้าง

ขาของทหารที่ขาดไปทั้ง 7 ขาไม่ได้เป็นบทเรียนให้กองทัพได้ปรับปรุงยุทธวิธีเพื่อความปลอดภัยของกำลังพลแต่อย่างใดเลย แต่มันกลับถูกใช้เป็นความชอบธรรมให้กองทัพไทย ‘เปิดรอบสอง’ เพื่อเอาคืนให้ได้ ปัญญาชนชาตินิยมเรียกร้องให้กองทัพไทยใช้มันเป็นความชอบธรรมในการรุกชิงพื้นที่ปราสาทตาควายที่ไทยอยากได้มานานเสียที ไม่เคยมีใครฉุกคิดเลยว่าความพยายามที่จะเอาขาทหารคืนให้ได้หลังจากการเหยียบกับระเบิดก่อนการปะทะใหญ่วันที่ 24 กรกฎาคมนั้นทำให้มีทหารและพลเรือนอีกมากมายต้องเอาชีวิตไปเซ่นสังเวย กลับมีแต่การแสดงออกถึงความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะ ‘ปิดเกม’ให้มันจบๆ กันไป โดยที่ไม่ได้ยั้งคิดเลยว่าเมื่อฝ่ายไทยยิงไปฝ่ายกัมพูชาก็ต้องยิงสวนกลับมา แล้วมันจะจบกันได้อย่างไร แต่แฟนตาซีนี้ก็ทำให้คนจำนวนมากเคลิ้มไปว่ามีแต่กองทัพไทยเท่านั้นที่มีปืนใหญ่ จรวด และเครื่องบินรบ ที่จะถล่มกัมพูชาให้ราบคาบไปอย่างไรก็ได้

แฟนตาซีนี้นี่เองที่ทำให้กลุ่มนักชาตินิยมไทยและคนไทยจำนวนหนึ่งไม่แยแสต่อความเสียหายและการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย การศึกษาของหลายสำนักเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าความขัดแย้งตามแนวชายแดนส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ความเสียหายโดยตรงอยู่ที่กว่า 16,000 ล้านบาทต่อเดือน มาจากการหยุดชะงักของการค้าชายแดน การลดลงของผลผลิตอันเกิดจากการขาดแคลนแรงงานเพราะพวกเขาเดินทางกลับบ้านกันเป็นจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายของกองทัพในการปฏิบัติการทางทหารและของภาครัฐในการบรรเทาทุกข์ การเยียวยาผลกระทบอีกกว่า 10,000 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากภาคท่องเที่ยวและการเดินทางที่หดตัวต่อเนื่องที่ยังคำนวณได้ไม่ชัดเจน

ผลกระทบทางอ้อมและผลกระทบต่อเนื่องเพิ่มอีกกว่า 7,000 ล้านบาทต่อเดือน เกิดจากการติดขัดขาดตอนของห่วงโซ่อุปทาน การหดตัวของธุรกิจท้องถิ่นที่อยู่ในอำเภอชายแดน การสะดุดของการลงทุนจากต่างประเทศ และพฤติกรรมตลาดที่เปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากการต่อต้านสินค้าไทยในกัมพูชา ซึ่งทั้งหมดสร้างแรงกระเพื่อมลึกสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

ภายใต้สภาพปัจจุบัน ความสูญเสียสะสม 3 เดือนคาดว่าจะสูงถึง 56,973 ล้านบาท และหากความขัดแย้งยืดเยื้อ หนึ่งปีเต็ม ความสูญเสียจะเพิ่มเป็นเกือบ 200,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสำคัญคือการสูญเสียโอกาสจากผลคูณเศรษฐกิจและการเปลี่ยนเส้นทางการค้า-ท่องเที่ยวไปยังปลายทางใหม่แทนประเทศไทย

แต่ก็อีกนั่นแหละ ความเสียหายทางเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่เคยเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลมีความพยายามปรับทุกอย่างให้คืนสภาพปกติเลย ทั้งๆ ที่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนหลายพื้นที่ก็ลดลงอย่างมาก ประชาชนที่เรียกร้องให้เปิดด่านเพื่อค้าขายและข้ามแดนเป็นปกติเสียทีกลับถูกด่าประนามว่าเห็นแก่ตัวบ้าง ขายชาติบ้าง เห็นแก่เขมรบ้าง อีกทั้งมีผู้เรียกร้องให้รัฐบาลคงปิดด่านต่อไปเพื่อกดดันให้กัมพูชา ‘ยอมจำนน’ เลิกท้าทาย เลิกทำตัวเป็นภัยคุกคามและหยุดกระด้างกระเดื่องต่อประเทศไทยเสียที

บทสรุป

แฟนตาซีชาตินิยมไทยในความขัดแย้งกับกัมพูชาไม่ใช่เพียงความเพ้อฝันที่สวยงามไร้พิษภัย หากแต่เป็น ‘เครื่องจักรทางอุดมการณ์’ ที่ส่งเสริมให้เกิดการผลิตซ้ำความรุนแรงอย่างเป็นระบบ มันทำหน้าที่แปลงความล้มเหลวของรัฐให้กลายเป็นความชอบธรรมของสงคราม แปลงศพของทหารชั้นผู้น้อยให้กลายเป็นสัญลักษณ์เกียรติยศ และแปลงความพิการให้กลายเป็นเหรียญตราทางศีลธรรม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่คนซึ่งไม่เคยยืนอยู่หน้าแนว ไม่เคยเสียเลือดเนื้อ ไม่เคยสูญเสียลูกหลานบ้านช่องเรือนชาน ไม่เคยต้องตื่นตระหนกกับเสียงปืนเสียงระเบิด แต่กลับเป็นผู้ผูกขาดการนิยามคำว่ารักชาติไว้อย่างเบ็ดเสร็จ

แฟนตาซีชาตินิยมยังทำหน้าที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่ง คือการช่วยให้สังคมไทยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่าความถดถอยของประเทศไม่ได้เกิดจากกัมพูชา ไม่ได้เกิดจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และไม่ได้เกิดจากแผนที่ยุคอาณานิคม หากแต่เกิดจากโครงสร้างอำนาจที่ฉ้อฉล การเมืองที่เหลวแหลก และการผูกขาดศีลธรรมและความถูกต้องดีงามทั้งมวลของชนชั้นนำไทยเอง แต่เพราะความจริงเช่นนี้เจ็บปวดเกินไป จึงต้องมีศัตรูภายนอกไว้รองรับความคับแค้นทั้งหมด

สิ่งที่น่าวิตกไม่ใช่เพียงการที่แฟนตาซีชาตินิยมถูกใช้เพื่อปลุกเร้าสงคราม หากแต่คือการที่มันสามารถทำให้ความตายดูทรงเกียรติ ความสูญเสียดูเหมาะสม และความพังพินาศทางเศรษฐกิจกลายเป็นราคาที่ควรจ่าย ภายใต้กรอบความคิดเช่นนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดนจึงไม่ต่างจากทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เพื่อหล่อเลี้ยงศักดิ์ศรีทางการเมืองของคนบางกลุ่ม

ในท้ายที่สุด แฟนตาซีชาตินิยมไม่ได้พาประเทศไทยกลับไปสู่อดีตอันรุ่งโรจน์อย่างที่กลุ่มชาตินิยมกำลังขายฝัน ไม่มีวันและไม่มีทางที่ไทยจะได้ปราสาทพระวิหารหรือดินแดนในกัมพูชากลับคืนมา หากแต่มันกำลังหลอกล่อพาประเทศถอยหลังเข้าคลองและหมดอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม ถอยหลังด้วยศพของทหารและพลเรือน ถอยหลังเพราะด่านการค้าที่ปิดสนิท และถดถอยเพราะความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่สูญสลายไปลงอย่างรวดเร็ว

คำถามที่สังคมไทยควรถามจึงไม่ใช่ว่าเราจะทวงคืนดินแดนจากกัมพูชาได้หรือไม่ หากแต่คือเราจะปล่อยให้แฟนตาซีของชนชั้นนำเดินข้ามร่างของทหารชั้นผู้น้อยและคนธรรมดาที่ชายแดนไปได้อีกกี่ครั้ง ก่อนที่มันจะสร้างความสูญเสียจนไม่เหลืออะไรให้ภาคภูมิใจ นอกจากซากแห่งความฝันที่พังทะลายลงต่อหน้าต่อตา

[1] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประมวลสนธิสัญญา (กรุงเทพฯ:มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2554) หน้า 156

[2] สำหรับผู้ที่สนใจงานเชิงทฤษฎีเป็นพิเศษ แนะนำ Slavoj Zizek The Sublime Object of Ideology (London, New York, Verso, 1989)

[3] “แม่ทัพภาค2” เผยถวาย รายงาน“ในหลวง”ทุกวันทรงเป็น“องค์จอมทัพไทย”ทรงห่วงใยกองทัพสู้ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา” NBC Connext 14 สิงหาคม 2568 [https://thainews.prd.go.th/thainews/news/view/1348345/?bid=1]

[4] “Thai-Cambodian conflict revives tensions in sensitive border village” Thai PBS World August 29, 2025 [https://world.thaipbs.or.th/detail/thaicambodian-conflict-revives-tensions-in-sensitive-border-village/58705?fbclid=IwdGRzaAMgoIdjbGNrAyCghGV4dG4DYWVtAjExAAEeas7zl_JFgsV2eiuah-T-37aRVp6_E9pao9Vumq6NnDzo1SOFFrUcYQTqD_o_aem_sfwGfG_d61IjQj_JSHHA3g]

[5] YouTube: https://youtu.be/Vl-XbsKIfAQ?si=EnpfD0JK0OMeb2Wd

[6] “แม่ทัพกุ้ง” ย้ำล้อมลวดหนาม “ตาเมือนธม” ชั่วกัลปาวสาน เขมรอยากมาดูต้องขอวีซ่า-เผย 2 แนวทางทวงคืนปราสาทพระวิหาร” MGR Online 2 กันยายน 2568 [https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000083965]


https://www.the101.world/thai-nationalism-fantasy/