วันพุธ, มีนาคม 09, 2565

ประธานศาลปกครองสูงสุดเผย เคยพยายามเสริมสร้างธรรมาภิบาล “แต่พอจะเสนอไปแล้วรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายบอกว่า ไม่ต้องเสนอมารัฐบาลไม่ทำ”

วันนี้มีการบรรยายพิเศษเกี่ยวกับ “การอำนวยความยุติธรรมทางปกครอง และการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในสังคม โดยประธานศาลปกครองสูงสุดคนปัจจุบัน มีเนื้อหาบางส่วนพิลึกพิลั่นอยู่สักหน่อย สำหรับความรู้สึกของประชาชนธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆ

นายชาญชัย แสวงศักดิ์ กล่าวบางตอนว่า ที่ผ่านมามีปัญหาในการดำเนินงานของศาลปกครอง ประการแรก “ระบบกฎหมายไทยใช้ระบบประมวลกฎหมายที่มีหลายระบบศาล แต่การศึกษาด้านกฎหมายไทยยังศึกษาระบบศาลเดี่ยว”

ในขณะที่ “ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญามากกว่ากฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมายทางปกครองมีกว่า ๘๐๐ ฉบับ และมีอนุบัญญัติกว่าแสนฉบับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน”

เลยเกิดการ “ขาดแคลนตุลาการศาลปกครองที่พึงประสงค์ ทำให้มีปัญหาความล่าช้าในการอำนวยความยุติธรรม” แล้วยังการที่มีตุลาการแขนงนี้ไม่พอ “ตุลาการศาลปกครอง ๑ คน แบกรับคดีถึง ๒๑๖ คดี” บวกกับความลักลั่นในการวินิจฉัยคดี

คดีทางปกครองที่มีลักษณะเดียวกันเหมือนกัน “แต่พิพากษาแตกต่างกัน” จึงสรุปได้ว่าการดำเนินงานศาลปกครอง ที่จะต้องสร้างธรรมาภิบาลและคงไว้ซึ่งความยุติธรรม นั้นขาดประสิทธิภาพ (ถ้าใช้คำของท่านประธานก็ว่า “ไม่สมประสงค์”)

ชวนให้หวนถึงคดีหนึ่งที่ไปสู่ศาลปกครองเมื่อ ๔ มีนาคม ๖๔ โดยผู้ถูกฟ้อง “ทำคำให้การยื่นกลับมาวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๔ ซึ่งถึอว่าช้า” ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้ยื่นฟ้องคนหนึ่ง (ร่วมกับ สฤณี อาชวานันทกุล และจอห์น วิญญู วงศ์สุรวัฒน์) โพสต์เล่าความไว้

คดีนี้ผู้ร้องยื่นฟ้องศาลปกครองขอให้กองทัพบกสั่งหยุดปฏิบัติการไอโอ “เอกสารที่เขายื่นมานั้น ไม่มีอะไรเลย ปฏิเสธลอยทุกอย่างว่าไม่ได้ทำ ไม่จริง ไม่มีอยู่ เนื้อหาวนไปวนมาอยู่แค่นี้ จริงๆ” ขณะที่ฝ่ายโจทก์ต้องเสาะหาหลักฐานเอกสารต่างๆ เป็นปึก

“แทบจะมีเอกสารจากฝ่ายผู้ฟ้องคดีฝ่ายเดียว ทั้งที่เรามีทั้งหนังสือราชการ มีคลิป มีรายงานจากผู้ให้บริการ ฝ่ายกองทัพไม่ได้หักล้างหลักฐานอะไรของเราเลยยกเว้นบอกแต่ว่า ไม่จริงๆๆ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่ศาลจะตัดสินให้หยุดปฏฺิบัติการ IO

แต่กระบวนการพิจารณาคดีที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนี้ อาจจะต้องรอทางกองทัพบกทำคำให้การเพิ่มเติมอีกครั้ง “หวังว่าเขาคงจะไม่ใช้เวลานานจนเกินไป เมื่อยื่นเข้ามาก็จะสิ้นสุดขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริง” เสียอีก แล้วศาลจึงค่อยนัดพิจารณา

อันจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว “อย่างเร็วก็ปลายปี ๒๕๖๕ อย่างช้าก็กำหนดไม่ได้ อาจจะช้าไปได้อีก ๒-๓ ปี แต่คดีนี้ไม่ซับซ้อนมาก หวังว่าจะไม่นานเกินไป” ในเมื่อฝ่ายโจทก์มีหลักฐานแจ้งชัด (“จากการที่มีผู้ปฏิบัติงานภายในนำมาให้”)

ปฏิบัติการดังกล่าวถูกจัดให้อยู่ใน “ภารกิจที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของประเทศ และไม่เปิดเผยให้เป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ” ไม่สามารถค้นหาได้โดยง่ายเหมือนข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของหน่วยงานอื่นๆ เอกสารที่ฝ่ายโจทก์ได้มาจึงยังมีตราประทับ ลับมาก

ยิ่งชีพยกตัวอย่างเอกสารชิ้นหนึ่งระบุว่า “จัดให้มีหน่วยปฏิบัติงานสารนิเทศในลักษณะศูนย์ประสานงาน ขึ้นตรงกับ ศปก.ทบ. เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของ ทบ./ศปก.ทบ. โดยให้พิจารณากำหนดขอบเขตงานที่ชัดเจน”

ย้ำด้วยข้อความ ๒.๓ ที่ว่า “ทบ.ได้จัดทำคู่มือการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) ตั้งแต่ปี ๔๗ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุง” อีกทั้งยืนยันว่า “เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างผลกระทบ หรือสร้างอิทธิพลต่อกระบวนการตกลงใจ”

ซึ่งยิ่งชีพชี้ว่า “โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนในประเทศที่มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองกับรัฐบาลปัจจุบันอยู่ตลอดเรื่อยมา” จึงไม่ต้องกังขาเลยว่าทำไมต้องมีการสร้างเสริมธรรมาภิบาลในสังคม ดังประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกร้อง

จากปาฐกถาของนายชาญชัยเผยว่า “เคยมีความพยายามทำตรงนี้” เช่น “การวิเคราะห์เหตุแห่งการฟ้องคดีปกครอง” และมีมติ ครม.ว่า “เรื่องแบบนี้ทำได้” ไม่ต้องไปตีความกันมากจนเกิดปัญหา “แต่พอจะเสนอไปแล้วรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายบอกว่า ไม่ต้องเสนอมารัฐบาลไม่ทำ”

(https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3223523 และ https://www.facebook.com/groups/studentfedth/?multi_permalinks=10166113364330123)