วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 07, 2561

ความเป็นมนุษย์ของประยุทธ์ สงสัยจะขาดสามัญสำนึก

เข้าใจละประยุทธ์เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ ‘I-Hear’ ไม่ใช่ ‘I-Tube’ แต่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่แย่งเขามา ต้องทำให้ได้ดีกว่าเขา (และเธอ) ไอ้ที่มีโมโห มีโกรธ ต้องเก็บไว้บ้าน ไม่ใช่เที่ยวบ้วนทิ้งข้างทาง (ส่วนใหญ่ก็ใส่พวกนักข่าว ที่เอาไปแพร่ต่อตามวิชาชีพ)

ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถึงไม่มีระบุไว้โจ่งแจ้งในรัฐธรรมนูญ ก็ต้องมาพร้อมกับการรับผิดชอบกับผลกระทบที่เกิดจากการทำงานในหน้าที่นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งชุ่ยและชอบ ที่ทั่วโลกเขาเรียกว่า ‘Accountability’

สี่ปีทำหน้าที่ ดีที่สุดตามมาตรฐานของตัวเองไม่พอ ต้องให้คนทั้งประเทศเห็นผลว่ามันดีที่สุดจริงๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นก็ต้องรับคำติ คำด่า และ (โดยเฉพาะ) คำผรุสวาสที่เกิดจากความสามหาว กร่าง และวางท่า ข่มเขาโคของตนเองต่อประชาชน

ที่จริงมีคนเขาไล่ เขาวอนให้ออกไปหลายหน ตั้งนานแล้ว ก็จับพวกเขาไปเข้าคุกแล้วตั้งคดีร้ายแรงเป็นชนักปักไว้ ที่พูดว่า “ไม่รู้จะทำไปทำไม” น่ะใช่เลย พูดได้แต่ไม่คิดอย่างนี้ น่าจะมีคำเรียกที่ตรงกับบุคคลิกภาพมากกว่า ‘I-Hear’ ‘I-Tube’ หละ


อย่างพวกคนอยากเลือกตั้งที่ถูกตั้งข้อหาร้ายแรง เขาเรียกร้องคาดคั้นให้มีเลือกตั้งโดยเร็วภายในปี ๖๑ ตามสัญญาที่เลื่อนมา ๕ ครั้งแล้ว พอกันที ก็จับกุมพวกเขาและฟ้องร้องเอาผิดในข้อหากระด้างกระเดื่อง ปลุกปั่นยุยง แถมด้วยความผิดฐานขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. เสียอีก

จะอ้างว่าคำสั่งคณะรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์ด้วยคำวินิจฉัยศาลไหน ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลเจ้า ศาลหรือพระภูมิ ถ้าตัดสินโดยขัดแย้งกับหลักนิติธรรม ‘Rule of Law’ และนิติรัฐ ‘Rechtstaat หรือ Rationality’ ก็ย่อมเป็นความผิดพลาด (หรือประสงค์ร้าย) ที่ต้องถูกด่าเป็นธรรมดา เพราะเขาไม่มีกำลังอำนาจบังคับให้กลับจากร้ายเป็นดีได้

มิฉะนั้นคงต้องย้อนกลับไปสู่ศตวรรษที่ ๑๖ แล้วใช้หลัก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กระนั้นหรือ

ข้อเรียกร้องของ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หนึ่งในแกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้งผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินสู่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าคำสั่ง คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘ ห้ามชุมนุมการเมือง ๕ คนขึ้นไป นั้นขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่

แต่คำร้องไปยังไม่ถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถูกผู้ตรวจการฯ ตีตกเสียก่อน อ้างว่า คสช.ได้รับการคุ้มครอง ฟ้องไม่ได้ สั่งอะไรออกมามีฐานะเป็นกฎหมายหมด จะทำอะไรผิดก็ได้ ปลอดจากการต้องรับผิดโดยสิ้นเชิง ตามนัยยะที่เขียนไว้ใน รธน. มาตรา ๒๗๙ (นิคเนม คสช.เป็นพ่อทุกสถาบัน)
วานนี้ (๖ มิถุนา) ครูโบว์จึงได้ยื่นร้องเรียนอีกครั้ง เหตุไฉนผู้ตรวจการแผ่นดินเล่นตัดตอน สกัดเรื่องขอให้วินิจฉัยประเด็น ๓/๕๘ในเมื่อหน้าที่ของผู้ตรวจฯ ก็คือตรวจคำร้องเบื้องต้นเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย มาตรา ๒๓๑ (๑) ของ รธน.๖๐

เธอยกเหตุผลมาสนับสนุนว่า “เพื่อขจัดความเคลือบแคลงในความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ซึ่งควรตั้งอยู่บนหลักการว่ากฎหมายคือเครื่องอำนวยความยุติธรรมและดำรงอยู่เพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น ผิดจากนี้จะถือเป็นกฎหมายตามหลักนิติธรรมมิได้”

นอกจากนั้นข้ออ้างอำนาจวิเศษของ คสช. มาตรา ๒๗๙ ทำให้ผู้ตรวจฯ ตีตกคำร้องครั้งแรกของเธอนั้น สมควรให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดว่า “ขัดต่อหลักนิติธรรมในการตรากฎหมาย มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และบ่อนทำลายรัฐธรรมนูญหรือไม่”

เรื่องนี้น.ส.ณัฏฐา ชี้หลักคิดอย่าง ปุถุชนว่า “โดยสามัญสำนึกของวิญญูชน การจะรับรองการกระทำใดๆ ว่าชอบธรรมล่วงหน้าโดยที่การกระทำนั้นยังไม่เกิดขึ้นย่อมเป็นไปไม่ได้” ประการหนึ่ง

“และการจะรับรองคำสั่งของบุคคลคนเดียว โดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นคำสั่งใดว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น  ย่อมหมายความว่าคำสั่งของบุคคลนั้นมีศักดิ์เหนือรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ”


ข้อต่อสู้ของครูโบว์สมเหตุสมผลตามวิถีแห่ง Rule of Law แท้จริง ที่ว่าท้ายที่สุดแล้วกฎเกณฑ์แห่งกฎหมาย จักต้องตั้งอยู่บนสามัญสำนึกของมนุษย์

พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหารและรัฐบาลจากการยึดอำนาจ อ้างความเป็นมนุษย์ของตน พร้อมๆ ไปกับอ้างกฎหมายต่างๆ นานา (ที่พวกตนเขียน) เมื่อมีข้อโต้แย้งมากมายอย่างนี้ ก็ควรที่จะรู้จักใช้สามัญสำนึกเสียบ้าง