วันอังคาร, ตุลาคม 10, 2560

สนช.กำลังเข็น กม.ห้ามเกษตรกรนำพันธุ์พืชไปปลูกต่อ ก็พอดี "รถถังมังกร...ถึงไทยแล้วจ้าาาาา!!"

“คุณกำลังสนับสนุนให้ซีพีขายเมล็ดพันธุ์ คุณกำลังสนับสนุนให้ซีพีขายปุ๋ย ขายยา ได้มากขึ้น”

เป็นคำพูดของผู้ประกอบการรายหนึ่งในการชี้แจงแก่ภาครัฐที่เพชรบูรณ์ ในคลิปเก่าเมื่อปลายปีที่แล้ว (พฤศจิกา ๕๙) เอามาแชร์กันใหม่ ตอนนี้ยอดผู้เข้าชมเกือบ ๖ แสนวิวแล้ว เพราะเนื้อหาเข้าได้เป๊ะกับสถานการณ์ยุคไล่ปู แต่รีดเลือดประชากรเพื่อ ประชารัฐ

“เกษตรกรซื้อเมล็ดพันธุ์กิโลละร้อยกว่าบาท บางที่แหล่งห่างไกลกิโลละสองร้อย แม่มาขายได้สองสามบาทสี่บาท ท่านคิดหรือเปล่าผลประโยชน์ตกอยู่ที่ใคร ตกอยู่ที่ใคร...” สตรีเสื้อลายผู้นั้นกล่าวฉะฉาน ขณะคนฟังได้แต่นั่งอมยิ้มกัน

“แล้วพอผลผลิตออกมาเยอะ ไม่มีคนซื้อ ถามซิ ซีพี (ซีพีเอฟ)...อาหารสัตว์นี่จะรับซื้อทุกเม็ดไหม ไปแก้ไขนโยบายนะคะ

แล้วพอเกษตรกรเรียกร้อง เอาเงินมาช่วยไร่ละพัน นาข้าวไร่ละพัน ขอโทษ ภาษีของพวกหนู พอไม่ได้ไม่มีก็มาขูดรีดกับผู้ประกอบการทั้งประเทศ เอาภาษีของหนูไปชดเชยให้เกษตรกรเพื่อตัวเองเอาหน้า...

ลุงตู่รู้หรือเปล่าเนี่ย ทีมงานทำงานกันแบบนี้”


ถ้าเป็นตอนนี้ลุงตู่บอกแล้ว “ไปไล่เอาจากหน่วยที่รับผิดชอบ ไม่ใช่ให้ตนไปนั่งสั่งทุกเรื่อง” ไม่งั้นก็โบ้ยบ้ายว่าเป็นเรื่องการเมือง เบื่อ ไม่อยากพูด

แต่ความจริงมันก็ยังอยู่ตรงนั้นละ สนช. กำลังดี๊ด๊าสร้างผลงานให้เข้าตาเจ้านาย เผื่อปี ๖๒ ได้เป็น สว. ตู่ตั้ง กำลังเข็นกฎหมายใหม่ “ห้ามเกษตรกรเก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่อ” ขั้นตอนอยู่ระหว่างฟังความคิดเห็น จนถึง ๒๐ ตุลา ไม่รู้ว่าที่เขียนที่โพสต์กันผ่านสื่อจะไปถึงหูคนฟังหรือเปล่า
 
ประเด็นก็คือ พรบ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๔๒ เดิมนั้น คสช. สั่งยกเลิกไปทั้งดุ้น แล้วให้ สนช.ร่างใหม่ นัยว่าให้สอดคล้องกับสากล (อนุสัญญา UPOV 1991) เพื่อรองรับแนวโน้มการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ออกมาแจงว่ากฎหมายเดิม “มีข้อติดขัดทั้งในด้านกระบวนการปฏิบัติงานและการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังขาดสาระสำคัญบางประการ ทำให้ไม่สามารถให้ความคุ้มครองสิทธินักปรับปรุงพันธุ์พืชได้อย่างเพียงพอ” (อันนี้คงต่างกับ พอเพียงเนอะ)

“และไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ส่งผลให้ไม่ส่งเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันการลงทุนและการวิจัยและพัฒนาของประเทศเท่าที่ควร” ตรงนี้ละ น่าจะคือประเด็นหัวใจ
 
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ยังแจ้งรายละเอียดรายล้อมอื่นๆ อีกเยอะ รวมถึงช่วย “อาชีพเกษตรกรผู้รับจ้างผลิตเมล็ดพันธุ์...มีแรงจูงใจในการลงทุนวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง”

และ “อุตสาหกรรมแปรรูป มีทางเลือกที่หลากหลาย...นักลงทุนมีความเชื่อมั่น ดึงดูดให้เข้ามาลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาในประเทศมากขึ้น”


ครั้นเมื่อนักวิชาการด้านเกษตรอ่านเอาเรื่องในทางลึกของความหมายระหว่างบรรทัด กลับได้ความว่า “เอื้ออำนวยประโยชน์ให้บรรษัทเมล็ดพันธุ์เพิ่มการผูกขาดพันธุ์พืช และเปิดช่องให้ลงโทษเกษตรกรที่เก็บรักษาพันธุ์พืชไปปลูกต่อ” 

ทั้งนี้เพราะกฎหมายใหม่ตัดเนื้อหามาตรา ๓๓ (๔) ของกฎหมายเดิมออกไปทั้งหมด ก่อผลให้ “เกษตรกรที่เก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่ออาจได้รับโทษถึงจำคุก” ก็มีคนเขานึกถึง เจียไต๋ ขึ้นมาได้ว่า “คอยเก็บเมล็ดพันธุ์ให้อยู่แล้ว เกษตรกรจะเก็บเองทำไม”
 
สำนักข่าวอิศราเผยแพร่ความเห็นของนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) เอาไว้ด้วยว่า “เป็นการทำลายวัฒนธรรมที่สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และจะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ”

เพราะว่าร่าง พรบ.ฯ ใหม่ “เปิดทางสะดวกให้โจรสลัดชีวภาพ โดยตัดการแสดงที่มาของสารพันธุกรรมออกเมื่อบริษัทประสงค์จะขอรับการคุ้มครองพันธ์พืชใหม่ 

และแก้คำนิยามของพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทไม่จำเป็นต้องแบ่งปันผลประโยชน์เมื่อนำเอาพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปไปใช้ประโยชน์ โดยเพียงแต่บริษัทนำเอาพันธุ์พืชพื้นเมืองที่ต้องการมา ‘ผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์เสียก่อนเท่านั้น”


อีกข้อคิดจาก นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย ตีพิมพ์ที่ไทยรัฐเมื่อวาน (๙ ตุลา) ชี้ว่ามีการเขียนซ่อนไว้ในร่างกฎหมายฉบับใหม่ว่า

รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืช มีอำนาจออกประกาศกำหนดพันธุ์พืชใหม่ชนิดใด เป็นพันธุ์พืชที่สามารถจำกัดปริมาณการเพาะปลูกหรือการขยายพันธุ์ทั้งหมด หรือบางส่วนของเกษตรกรได้”

เดิมนั้นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยว่าเกษตรกรสามารถเก็บรักษาพันธุ์พืชใดเพื่อไว้ปลูกต่อ เป้นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒ คน ซึ่งต้องมาจากเกษตรกรที่ทำการเสนอชื่อและคัดเลือกกันเองอย่างน้อย ๖ คน

ทว่า ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช (ฉบับที่...) พ.ศ. ...ให้ผู้ทรงคุณวุฒิอื่นและกรรมการที่เป็นตัวแทนเกษตรกรมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด


เห็นหรือยังการบริหารบ้านเมืองแบบเบ็ดเสร็จของผู้ที่ยึดอำนาจมาครอบครอง ไม่ต้องรับผิดชอบต่อเสียง (และบัตรคะแนนเลือกตั้ง) ของประชาชน ก่อนหน้านี้มีเรื่องเก็บภาษีน้ำ ที่แม้แก้ตัวอย่างไรก็ยังไม่จบเพราะไม่มีการแก้ไข จะเอาให้ได้อย่างใจทุกอย่าง

เสร็จแล้วพอโดนจี้มากเข้า ทั่นผู้นัมพ์ทำเป็นของขึ้น ให้ไปไล่เอากับหน่วยงานที่รับผิดชอบสิ นี่เห็น วาสนา นาน่วม เพิ่งประโคม “รถถังมังกร...ถึงไทยแล้วจ้าาาาา!!


รถถัง VT-4 ล็อตแรกจากจีน เดินทางด้วยเรือถึงท่าเรือทุ่งโปร่ง สัตหีบ และได้ลำเลียงขึ้นรถบรรทุกเพื่อมุ่งหน้าสู่ศูนย์การทหารมัา สระบุรี ปลายทาง กองพลทหารม้าที่ 3 (พล.ม.3) ค่ายเปรมติณสูลานนท์ น้ำพองขอนแก่น

โดย ทบ.ซื้อ ล็อตแรก 28 คัน เมื่อกลางปี 2559 งบ 4.9 พันล้านบาท” จำเริญเขาละสิ อมิตาภะ