ข้อเขียนวันนี้ (๑๐ ธันวา) ของ วัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส. และรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
น่าสนใจมิใช่เพราะเขาเขียนถึงความไม่สบายใจของทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ของ โรจน์ งามแม้น ผู้ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอดีตนายกรัฐมนตรี พาดพิงเสียหาย
ถึงขั้นที่วัฒนาเห็นว่า “เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา ๓๒๘”
วัฒนายกเอาตัวบทกฎหมายหลายฉบับมาอ้างการกระทำผิดของ นสพ.ไทยโพสต์ ที่ “กล่าวหาว่ารัฐบาล สปป. ลาวเป็นผู้ให้แหล่งพักพิงผู้กระทำผิด ถือเป็นความเท็จและข่าวสารที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
รวมทั้งหมิ่นประมาทบุคคลอื่น ตามข้อ ๓ (๑) และ (๒) ของประกาศ คสช. ฉบับที่ ๙๗/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และประกาศ คสช. ฉบับที่ ๑๐๓/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗”
ความน่าสนใจยิ่งนักอยู่ที่ เขาบอกว่า “ผู้เขียนและหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์คือผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา กล่าวคือ
ข้อความที่พาดพิงถึงการเปลี่ยนแปลงรัชกาลและการแต่งตั้งองคมนตรีอันเป็นพระราชอำนาจ เป็นความผิดตามมาตรา ๑๑๒”
ซึ่งบทความคอลัมน์ ‘บันทึกหน้า ๔’ ดังที่วัฒนาอ้างนั้นหายไปจากเว็บไซ้ท์ของไทยโพสต์ ทั้งๆ ที่เป็นคอลัมน์ประจำวันนี้ อย่างไรก็ดีมีการเสนอข่าวเกี่ยวกับข้อเขียนวัฒนาที่หน้าหลักว่า
“แนะ ‘แม้ว’ ฟ้องไทยโพสต์หมิ่นประมาท” โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ “เรื่องที่นำท่านมาพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงนั้นเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการ ซึ่งผมเห็นเป็นโอกาสดีที่จะพิสูจน์ว่ารัฐบาลจะรักษากฎหมายและกล้าที่จะดำเนินคดีกับสื่อที่เป็นพวกตัวเองหรือไม่...”
วัฒนาปิดท้ายข้อเขียนของเขาว่า “ข้อกฎหมายและประกาศต่างๆ ผมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ถ้ามัวแต่เอาเวลาราชการไปเตะตะกร้อหรือตีแบดโชว์ไปวันๆ ก็ถือเป็นวิบากกรรมของคนไทยแล้วกัน”
อันที่จริงวิบากกรรรมนั้นเริ่มแล้ว ดังมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามรบกวนและเรียกตัวผู้ใช้เฟชบุ๊คเอาไปปรับทัศนคติแล้วไม่ต่ำกว่า ๖ ราย โทษฐานที่ติดตามอ่านข้อเขียนของ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการตัวยงด้านประวัติศาสตร์สถาบันกษัตริย์ไทย ซึ่งลี้ภัยคดี ๑๑๒ อยู่ในประเทศฝรั่งเศส
แน่ละ การก้าวก่ายคุกคามสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนในการใช้ระบบสื่อสารสังคม ด้วยการให้ตำรวจเที่ยวไปรังควาญแฟนคลับของ สศจ. เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าผู้กำอำนาจรัฐจะตีความให้เป็นเช่นไร
มิหนำซ้ำเดี่ยวนี้ล้ำเข้าไปถึงการเอาผิดกับวิธีการมอง ดังกรณีที่มีข่าวว่าอัยการในคดีจำนำข้าว ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลย บังเกิดความอึดอัดกับสายตาจ้องมองของ ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล ซึ่งไปนั่งฟังให้การในศาลเกือบทุกครั้ง
จึงได้มีการจัดตั้งองค์คณะไต่สวน ๓ นายขึ้นทำสำนวนในข้อหาแยกต่างหากจากคดีจำนำข้าว ว่า ‘หม่อมเต่านา’ ละเมิดอำนาจศาล พร้อมกับ “ผู้ถูกกล่าวหาอีกหนึ่งราย”
(http://prachatai.org/journal/2016/12/69176)
แบบนี้เป็นดังที่ Atukkit Sawangsuk กระแซะไว้ไม่มีผิด “จากกดไลค์กดแชร์มีความผิด ต่อไปนี้ แค่ใช้สายตาก็ละเมิดอำนาจศาลได้ โดยไม่ต้องพูดอะไรซักคำ ยุคแห่งการเอาผิดด้วยการตีความ”
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การพยายามลบล้างชนักปักหลังตนเองที่ยึดอำนาจเขามาแล้วไม่มีน้ำยาสารต่อ การบริหารบ้านเมืองให้อูฟูอย่างเดิมได้ เลยไล่บี้รัฐบาลที่แล้ว เอาผิดดะ สะเปะสะปะไปกันใหญ่
ดังเช่นความพยายามจะดึงจีดีพีของประเทศขึ้นมาจากเหว ด้วยการเด็ดผักชีโรยหน้า ตั้งงบประมาณกลางปี ๒๕๖๐ ไว้อีกเกือบ ๒ หมื่นล้าน หมายดันจีดีพีปีหน้าให้ขึ้นไปสูงกว่า ๓.๒ เปอร์เซ็นต์ แก้หน้าจากที่หดหู่มาสองปี
เลยโดนผู้เชี่ยวชาญธนาคารโลกตบหน้าฉาดใหญ่ เมื่อ “นายชูเดีย แชตตี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๐ จะอยู่ที่ร้อยละ ๓.๑ เท่ากับปีนี้
ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำอยู่ในอันดับรั้งท้ายของกลุ่มประเทศเอเซียตะวันออก...เป็นรองมาเลเซีย และอินโดนีเซีย”
นั่นจากการสัมมนาระหว่างธนาคารโลกและทีดีอาร์ไอ เมื่อวานนี้ (๙ ธ.ค.) “โดยเห็นว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่ำ แต่รัฐบาลไทยไม่ควรเร่งอัตราการเติบโตมากเกินไป และไม่ควรทำให้เศรษฐกิจเติบโตไม่แท้จริง เพราะมีความเสี่ยงสูง”
(http://news.voicetv.co.th/business/440400.html)
ผู้เชี่ยวชาญของเวิร์ลด์แบ๊งค์คนนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า “เครื่องจักรสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คือ การส่งออก และการบริโภคในประเทศ”
ส่วนการลงทุนของภาครัฐ ที่รัฐบาล คสช. เบิกใช้แล้วใช้อีกตลอดสองปีที่ผ่านมานั้น “จะมีส่วนช่วยได้บ้าง” แต่ว่าอย่างดีก็แค่ สัก ๕-๖ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง