วันเสาร์, ธันวาคม 06, 2568

ภาพถ่ายไม่กี่ใบที่เผยแพร่สู่สาธารณะหลายวันมานี้ หากแยกออกจากบริบท มันอาจเป็นเพียงภาพงานเลี้ยงธรรมดา แต่เมื่อรวมเข้ากับโครงสร้างการเมืองไทย มันกลับทำหน้าที่เสมือน “ผังเครือข่ายอำนาจ” ที่ครอบไทยมานานหลายทศวรรษ

December 3
·
ภาพถ่ายไม่กี่ใบที่เผยแพร่สู่สาธารณะวานนี้
โต๊ะไวน์หนึ่งตัว ห้องอาหารสว่างนุ่มนวล และชายหลายคนยืนเรียงกันหน้าประตูโรงแรม
หากแยกออกจากบริบท มันอาจเป็นเพียงภาพงานเลี้ยงธรรมดา
แต่เมื่อรวมเข้ากับโครงสร้างการเมืองไทย
มันกลับทำหน้าที่เสมือน “ผังเครือข่ายอำนาจ” ที่ไม่ได้เขียนด้วยเส้นสี แต่ด้วยร่างของผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้กัน
นี่คือบทละครของ การบรรจบของจตุอำนาจ ที่ครอบไทยมานานหลายทศวรรษ
1. นักการเมืองบ้านใหญ่: อำนาจจากพื้นที่ สู่การต่อรองระดับชาติ
นักการเมืองบ้านใหญ่ไม่ได้เกิดจากพรรคการเมือง
แต่เกิดจาก “พื้นที่” แห่งเครือญาติ ผู้รับเหมางานรัฐ และ ระบบเลือกตั้งที่ให้รางวัลกับการครองพื้นที่
อำนาจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นโยบาย
แต่อยู่ที่ ทรัพยากรและความจงรักภักดี
คือรูปแบบการเมืองที่ยังขับเคลื่อนด้วยเครือข่ายกำนัน อบต. และผู้รับเหมาท้องถิ่น
ไม่ใช่ระบบสถาบันแบบประชาธิปไตยสมัยใหม่
เมื่อบ้านใหญ่เข้าสู่ระดับชาติ
ผลลัพธ์คือรัฐบาลที่ยึดโยงกับการต่อรองมากกว่าการปฏิรูป
นโยบายจึงกลายเป็นพื้นที่ต่อรอง
ไม่ใช่เครื่องมือแก้ปัญหา
2. นายพล: ผู้คุมกติกา และผู้ดูแล “ความมั่นคงเชิงการเมือง”
ไทยมีนายพลมากกว่าที่มีข้าราชการพลเรือนระดับสูง
อำนาจความมั่นคงไทยไม่ได้อยู่แค่ในค่ายทหาร
แต่อยู่ใน “ระบบคิด” ที่เชื่อว่า ประเทศต้องถูกดูแลด้วยมือแข็ง
เพราะประชาชน “ไม่น่าไว้ใจ”
และนักการเมือง “ไม่น่าเชื่อถือ”
นายพลจึงทำหน้าที่ไม่ใช่แค่ป้องกันประเทศ
แต่เป็นผู้จัดระเบียบทางการเมืองเป็นระยะ
และคอยเฝ้าไม่ให้อำนาจใดเติบโตจนเกินควบคุม
พวกเขาเป็น ตัวกลาง ระหว่างทุนใหญ่ นักการเมืองบ้านใหญ่ และเครือข่ายความมั่นคงในภูมิภาค
โดยเฉพาะชายแดนไทย กัมพูชา ลาว และเมียนมา
ที่เป็นประตูเชื่อมทุนเทาข้ามชาติ
3. นายทุนผูกขาดสัมปทาน: อำนาจที่มองไม่เห็น แต่ชี้เป็นชี้ตายได้
เมื่อมองการเมืองไทยให้ทะลุโครงสร้าง
จะเห็นว่า
อำนาจที่แท้จริงจำนวนมากตั้งอยู่ใน “พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน สัมปทาน”
ข้ามผ่านรัฐบาลทุกรัฐบาล
และดำรงอยู่เหนือวัฏจักรเลือกตั้ง
ทุนผูกขาดในไทยไม่ใช่แค่ทำธุรกิจ
แต่เป็น โครงสร้างผูกขาดเชิงรัฐศาสตร์
ที่มีบทบาททั้งในนโยบาย การตั้งคนในกระทรวง และการจัดสรรวงเงินงบประมาณ
เมื่อทุนผูกขาดจับมือกับนักการเมืองบ้านใหญ่
นโยบายจึงกลายเป็นการกระจายผลประโยชน์
มากกว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจให้แข่งขันได้จริง
4. ทุนเทาข้ามชาติ: พรมแดนใหม่ของอำนาจที่รัฐไทยตอบไม่ได้
ทุนเทาสมัยใหม่ไม่ใช่พ่อค้ายา
แต่คือ FinTech ปลอม อสังหาไฮเอนด์ การบินส่วนตัว โกดังลอจิสติกส์ เกมพนันออนไลน์ และ Crypto laundering
ศูนย์กลางอยู่ในกัมพูชาและเมียนมา
ปลายทางเงินอยู่ทุกประเทศในอาเซียนรวมถึงไทย
ทุนเทาเข้ามาในไทยได้เพราะสามเงื่อนไข
ช่องโหว่ของระบบกำกับดูแล
ความสัมพันธ์เชิงสังคมกับนักการเมือง นายพลบางกลุ่ม
ความต้องการเม็ดเงินมหาศาลในการเคลื่อนเศรษฐกิจแบบอุปถัมภ์
พวกเขาต้องการ “ความเป็นมิตร” กับผู้มีอำนาจในไทย
เพื่อเคลื่อนย้ายเงิน ลงทุน ปลอมตัวเป็นธุรกิจ และป้องกันการถูกตรวจสอบ
ภาพถ่ายของคนหลายกลุ่มยืนหรือกินข้าวด้วยกัน
จึงกลายเป็นวัตถุดิบให้สังคมตั้งคำถาม
แม้ภาพจะไม่ใช่หลักฐานความผิดใด ๆ
แต่มันสะท้อนปัญหาโครงสร้างใหญ่กว่า
รัฐไทยเป็นพื้นที่ที่ทุนข้ามชาติเข้าถึงง่ายเกินไป
ขณะที่ประชาชนเข้าถึงรัฐได้ยากที่สุด
5. เมื่อสี่อำนาจมาบรรจบ: โครงสร้างการเมืองไทยจึงเดินวนอยู่ในสามเหลี่ยมมรณะ
การบรรจบของ บ้านใหญ่ นายพล ทุนผูกขาด และทุนเทา
ทำให้การเมืองไทยอยู่ในสภาพดังนี้
นโยบาย = การต่อรองผลประโยชน์ ไม่ใช่ผลประโยชน์สาธารณะ
รัฐบาล = พันธสัญญาของเครือข่าย ไม่ใช่สัญญาของประชาชน
ความมั่นคง = การควบคุมนักการเมือง ไม่ใช่การคุ้มครองประชาชน
เศรษฐกิจ = การเปิดพื้นที่ให้ทุนใหญ่ไม่ใช่การแข่งขันเสรี
เมื่อ 4 องคาพยพนี้รวมกัน
ประเทศจึงเหมือน “เครื่องจักรที่ซ่อมไม่ได้”
เพราะคนที่มีอำนาจในการซ่อม
เป็นคนเดียวกับผู้ที่ได้รับประโยชน์จากความพังนั้นเอง
6. ภาพที่เห็น = สัญลักษณ์ของรัฐไทย
ภาพไม่ได้บอกว่าใครทำผิด
แต่มันบอกว่า
“โครงสร้างอำนาจไทยเปิดพื้นที่ให้คนต่างโลกมานั่งโต๊ะเดียวกันได้โดยง่าย
ขณะที่ประชาชนต้องต่อคิว 4 ชั่วโมงเพื่อตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลรัฐ
นี่คือโครงสร้างที่กำลังถล่มเราทุกวัน
มากกว่าน้ำท่วมหรือเศรษฐกิจตกต่ำเสียอีก
บนโต๊ะอาหารหนึ่งตัว
ไวน์หนึ่งแก้วและใบหน้าที่ยิ้มหยอกกล้อง
เราไม่ได้เห็นคน
แต่เห็นโครงสร้างอำนาจทั้งสี่ปีก
ที่ห่อหุ้มประเทศไทยเหมือนกรงที่มองไม่เห็น
บ้านใหญ่ถือกุญแจในชนบท
นายพลถือกุญแจความมั่นคง
ทุนผูกขาดถือกุญแจงบประมาณ
ทุนเทาข้ามชาติถือกุญแจเงินไหลออกนอกระบบ
เมื่อกุญแจทั้งสี่ดอกมาอยู่ในมือเดียวกัน
ประชาธิปไตยก็กลายเป็นเพียงฉากหลัง
เหมือนผนังสว่างในภาพ
ที่ไม่มีใครสนใจมันอีกต่อไป

https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/1375438927371675