ปาฐกถา 'วรเจตน์ ภาคีรัตน์' กว่า 20 ปี บทบาทศาลรัฐธรรมนูญไทย
Prachatai
Premiered Dec 2, 2025
ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ บรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘ศาลรัฐธรรมนูญไทยกับปัญหาการเป็นผู้ชี้ขาดข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญและการเมืองร่วมสมัย’ ซึ่งจัดโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การบรรยายแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก เริ่มด้วยการปูพื้นฐานลักษณะทั่วไปของศาลรัฐธรรมนูญ ตามด้วยวิเคราะห์ศาลรัฐธรรมนูญของไทยตั้งแต่เริ่มจัดตั้งขึ้นว่ามีบทบาทชี้ขาดปัญหาทางรัฐธรรมนูญและการเมืองอย่างไรบ้าง และสุดท้ายเป็นเรื่องบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือการตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมและการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังดำเนินอยู่
https://www.youtube.com/watch?v=7QMu-oonG1w

ประชาไท Prachatai.com
20 hours ago
·
ประชาไทสรุปโดยละเอียด การบรรยายพิเศษโดย ‘ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์’ หัวข้อ ‘ศาลรัฐธรรมนูญไทยกับปัญหาการเป็นผู้ชี้ขาดข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญและการเมืองร่วมสมัย’
.
การบรรยายแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก :
1. ปูพื้นฐานลักษณะทั่วไปของศาลรัฐธรรมนูญ
2. วิเคราะห์ศาลรัฐธรรมนูญของไทยตั้งแต่เริ่มจัดตั้งขึ้นว่ามีบทบาทชี้ขาดปัญหาทางรัฐธรรมนูญและการเมืองอย่างไรบ้าง
3. บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือการตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมและการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังดำเนินอยู่
.
ตัวอย่างบางส่วนของการบรรยาย :
.
“รัฐธรรมนูญบรรจุไว้ซึ่งคุณค่าหรือการประเมินคุณค่าทางการเมือง ฉะนั้น ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากเพราะเป็นคนตีความ ให้ความหมายของตัวบทบัญญัติทางกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ซึ่งในบางคราวเขาทิ้งปัญหาคุณค่าไว้หลายประการแล้วมันขัดแย้งกัน ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีโอกาสเลือกที่จะให้ความหมายของรัฐธรรมนูญในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้
.
เราอาจไม่ตระหนักกันตอนจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมา แต่ผ่านไป 20 กว่าปี ปัญหานี้เห็นกระจ่างชัดอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป การยื้อยุดฉุดกระชากความหมายของประชาธิปไตย ความหมายของนิติธรรม นิติรัฐ ความหมายของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจริงๆ เป็นปัญหาตกค้างมาตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยังดำเนินอยู่ต่อไป และศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีบทบาทอย่างยิ่งในการให้ความหมายของสิ่งเหล่านี้ โดยที่มันเป็นที่สุดในทางกฎหมาย ไม่มีผู้ใดจะโต้แย้งได้ ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทในทางการเมืองสูง”
.
“ผมว่าในระบบกฎหมาย ถ้าคาร์ล ชมิทท์ ฟื้นขึ้นมา แล้วหันมามองดูบทบาท 20 กว่าปีของศาลรัฐธรรมนูญไทย ผมคิดว่าเขาจะยกศาลรัฐธรรมนูญไทยเป็นตัวอย่างสำคัญอย่างยิ่งที่บอกว่า แท้ที่จริงแล้วศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้เล่นทางการเมือง มากกว่าเป็นองค์กรในทางตุลาการ อันนี้ผมเข้าไปในใจของคาร์ล ชมิทท์ และดูว่าคาร์ล ชมิทท์ จะกลับมามองศาลรัฐธรรมนูญของไทยแบบไหน”
.
“จริงๆ ต้องยอมรับว่าโวหารของศาลในหลายคดีนั้นดี ผมเวลาอ่านนะ เคลิ้ม ศาลรัฐธรรมนูญหลายคดี อะไรนะ เป็นเพลิงเล็กๆ แล้วจะขยายเป็นเพลิงใหญ่ เผาไหม้อะไรต่อไป ในหลายคดีจะมีโวหารพวกนี้อ่านแล้วเคลิ้มเลย…แต่โวหารเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายอะไร ถ้ามันเป็นโวหารที่ว่างเปล่า และไม่สามารถทนทานต่อการพิสูจน์และการตรวจสอบตามหลักเหตุผล มันเป็นแต่เพียงเครื่องประดับและเครื่องตกแต่งเท่านั้น แต่มันไม่ทำให้เหตุผลนั้นมันเกิดขึ้นจริง มันไม่ได้ทำให้เป็นสากล แต่ถ้าจะวินิจฉัยแบบนี้แล้วใส่คำว่า ‘แบบไทย’ ลงไป ผมก็จะไม่เถียงแล้ว เช่น หลักนิติธรรมแบบไทย หรือว่าประชาธิปไตยแบบไทย เป็นลักษณะเฉพาะของบ้านเราเอง”
.
“ความจริงเรื่องคุณธรรมเป็นปัญหาใหญ่อันหนึ่ง แล้วเราเป็นเมืองพุทธ เรามักอ้างศีลธรรมแบบพุทธเข้ามา แต่ศาสนาพุทธ เป้าหมายของพระพุทธเจ้ามุ่งให้หลุดพ้นเป็นการเฉพาะตัว เป็นเรื่องปัจเจก การจะเอาคำสอนศาสนาพุทธมาใช้ในเชิงโครงสร้างของสังคมหรือของรัฐพึงระมัดระวัง เพราะมันสุ่มเสี่ยงกับการทำโดยอำเภอใจ ในนามของความดีงาม ซึ่งมันเป็นปัญหาใหญ่อันหนึ่งที่เราประสบอยู่แล้วจะกระทบต่อวัฒนธรรมทางกฎหมายของบ้านเรา”
.
“ตอนนี้เราจะทำรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมา รัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นมาใหม่ แม้ไม่ต้องพูดถึงข้อจำกัดต่างๆ แต่ในทางอุดมการณ์ก็ยังถือเป็นลูกหลานสืบต่อมาจากรัฐประหารปี 2557 อยู่วันยันค่ำ เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็เป็นลูกหลานของ รสช.ปี 2534 อยู่ดี ถึงแม้เราเรียกว่า รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนก็ตาม เพราะมันเกิดต่อเนื่องมา ไม่ได้เกิดสุญญากาศแล้วทำใหม่โดยแท้จริง
.
“แต่ผมก็รู้ว่าโลกความเป็นจริงและกับโลกอุดมคติมันแตกต่างกัน ถ้าจะทำมันก็ทำโดยมีข้อจำกัดแบบนี้ ปัญหาคือ จะจำกัดขนาดไหน ตอนนี้เราจำกัดเยอะ หนึ่ง จำกัดเรื่องประชามติ ทำประชามติหลายๆ รอบ ในทางความเป็นจริงมันลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจประชาชนลง คุณต้องถามซ้ำแล้วซ้ำอีก ประชาชนควรเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ ถ้ามีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญแล้วจบ ไม่ควรซ้ำซาก ทีคุณ (คณะรัฐประหาร) ยังทำประชามติถามทีเดียวเลย ทำไมเวลาที่รัฐธรรมนูญที่ทำมาจากรัฐประหารมันง่าย เวลาผ่านกลไกสภามันยาก มันน่าแปลกใจมากเลย
.
“ถ้ามันถูกจำกัดตอนนี้ ผมคิดว่าอันหนึ่งที่ควรพยายามทำ ไม่แน่ใจอาจทำไปแล้วก็ได้ คือ การทำรัฐธรรมนุญใหม่แบบนี้ จริงๆ โดยทั่วไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากการแก้รายมาตราเท่าไรนัก ถ้าแก้ตามกลไกรัฐธรรมนูญนี้ในหลายเรื่องก็ต้องทำประชามติ สมมติว่าเราจะเลิกศาลรัฐธรรมนูญเปลี่ยนสถานะให้เป็นองค์กรแบบอื่น ลดอำนาจลง จำกัดสิทธิคนร้อง ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีแดนในทางการเมืองหรือข้องเกี่ยวในทางการเมืองน้อยลง เปิดอำนาจที่เขาเคยมีให้องค์กรอื่นตัดสิน เช่นบางอย่างให้สภาตัดสิน ถ้าเราทำแบบนั้นก็สามารถทำได้ผ่านกลไกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ถ้าจะยุบศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องส่งให้ศาลวินิจฉัยว่า ผมจะยุบคุณคุณเห็นด้วยไหมที่ผมจะยุบคุณ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาอีกอยู่ดี แต่ว่าเรื่องอื่นๆ เราทำได้ในกลไกแก้ไขรัฐธรรมนูญปกติเลย ทำเป็นเรื่องๆ เป็นหมวดๆ ทำได้หลายรอบด้วย เราอาจต้องจัดส่วนที่ต้องผ่านประชามติเป็นกลุ่มหนึ่ง ไม่ต้องผ่านประชามติก็เป็นกลุ่มหนึ่งก็ได้ เพียงแต่การแก้เป็นส่วนๆ แบบนี้ตามกลไกรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องมีเสียง สว. มีเสียงของฝ่ายค้านตามหลักเกณฑ์ แล้วมันไม่ประกันว่าจะไม่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาข้องเกี่ยว
.
“ส่วนการทำรัฐธรรมนูญ ’ใหม่’ แบบที่กำลังผลักดันกันอยู่นี้มีข้อดีคือ หากผ่านประชามติแล้ว แล้วมีคณะกรรมการยกร่างหรือ สสร.อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นองค์กรร่างรัฐธรรมนูญ เราจะสามารถตัดศาลรัฐธรรมนูญออกไปไม่ให้เข้ามายุ่งได้ การร่างไม่ว่าจะเปลี่ยนอำนาจของเขาอย่างไรก็ตามถือว่าได้อาณัติจากประชาชนแล้ว แต่มันก็อาจมีประเด็นอยู่ดี สมมติมีคนสงสัยว่า ร่างที่กรรมการยกร่างทำขึ้นขัดกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ คำนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่ามหาสมุทรทุกแห่งรวมกัน แล้วมันเปิดโอกาสให้ตีความได้ ดังนั้นมันอาจจะติดประเด็นแบบนี้และศาลรัฐธรรมนูญอาจจะใช้โอกาสนี้เข้ามาเกี่ยวข้องอีก มันมี barrier (สิ่งกีดขวาง) เยอะมากเลย จะต้องเหนื่อยากลำบาก เหนื่อยอ่อนไปอีกนาน ในหมู่ของคนรุ่นถัดไปจากผม รุ่นผมก็ด้วย แต่คนรุ่นผมนับวันแต่จะชราไปและจะกลายเป็นคนแก่จำนวนมากในสังคมนี้ … น่าสนใจว่าจะสามารถผลักรัฐธรรมนูญนี้สำเร็จได้ไหม แต่อันหนึ่งที่เราแน่ใจได้เลยคือ เราไม่สามารถเล็งผลเลิศได้แล้ว ภายใต้ระบบแบบนี้ เราเพียงแต่จะพอใจแค่ไหนอย่างไรเท่านั้น”
ฯลฯ
ประชาไทสรุปโดยละเอียด การบรรยายพิเศษโดย ‘ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์’ หัวข้อ ‘ศาลรัฐธรรมนูญไทยกับปัญหาการเป็นผู้ชี้ขาดข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญและการเมืองร่วมสมัย’
.
การบรรยายแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก :
1. ปูพื้นฐานลักษณะทั่วไปของศาลรัฐธรรมนูญ
2. วิเคราะห์ศาลรัฐธรรมนูญของไทยตั้งแต่เริ่มจัดตั้งขึ้นว่ามีบทบาทชี้ขาดปัญหาทางรัฐธรรมนูญและการเมืองอย่างไรบ้าง
3. บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือการตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมและการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังดำเนินอยู่
.
ตัวอย่างบางส่วนของการบรรยาย :
.
“รัฐธรรมนูญบรรจุไว้ซึ่งคุณค่าหรือการประเมินคุณค่าทางการเมือง ฉะนั้น ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากเพราะเป็นคนตีความ ให้ความหมายของตัวบทบัญญัติทางกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ซึ่งในบางคราวเขาทิ้งปัญหาคุณค่าไว้หลายประการแล้วมันขัดแย้งกัน ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีโอกาสเลือกที่จะให้ความหมายของรัฐธรรมนูญในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้
.
เราอาจไม่ตระหนักกันตอนจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมา แต่ผ่านไป 20 กว่าปี ปัญหานี้เห็นกระจ่างชัดอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป การยื้อยุดฉุดกระชากความหมายของประชาธิปไตย ความหมายของนิติธรรม นิติรัฐ ความหมายของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจริงๆ เป็นปัญหาตกค้างมาตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยังดำเนินอยู่ต่อไป และศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีบทบาทอย่างยิ่งในการให้ความหมายของสิ่งเหล่านี้ โดยที่มันเป็นที่สุดในทางกฎหมาย ไม่มีผู้ใดจะโต้แย้งได้ ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทในทางการเมืองสูง”
.
“ผมว่าในระบบกฎหมาย ถ้าคาร์ล ชมิทท์ ฟื้นขึ้นมา แล้วหันมามองดูบทบาท 20 กว่าปีของศาลรัฐธรรมนูญไทย ผมคิดว่าเขาจะยกศาลรัฐธรรมนูญไทยเป็นตัวอย่างสำคัญอย่างยิ่งที่บอกว่า แท้ที่จริงแล้วศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้เล่นทางการเมือง มากกว่าเป็นองค์กรในทางตุลาการ อันนี้ผมเข้าไปในใจของคาร์ล ชมิทท์ และดูว่าคาร์ล ชมิทท์ จะกลับมามองศาลรัฐธรรมนูญของไทยแบบไหน”
.
“จริงๆ ต้องยอมรับว่าโวหารของศาลในหลายคดีนั้นดี ผมเวลาอ่านนะ เคลิ้ม ศาลรัฐธรรมนูญหลายคดี อะไรนะ เป็นเพลิงเล็กๆ แล้วจะขยายเป็นเพลิงใหญ่ เผาไหม้อะไรต่อไป ในหลายคดีจะมีโวหารพวกนี้อ่านแล้วเคลิ้มเลย…แต่โวหารเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายอะไร ถ้ามันเป็นโวหารที่ว่างเปล่า และไม่สามารถทนทานต่อการพิสูจน์และการตรวจสอบตามหลักเหตุผล มันเป็นแต่เพียงเครื่องประดับและเครื่องตกแต่งเท่านั้น แต่มันไม่ทำให้เหตุผลนั้นมันเกิดขึ้นจริง มันไม่ได้ทำให้เป็นสากล แต่ถ้าจะวินิจฉัยแบบนี้แล้วใส่คำว่า ‘แบบไทย’ ลงไป ผมก็จะไม่เถียงแล้ว เช่น หลักนิติธรรมแบบไทย หรือว่าประชาธิปไตยแบบไทย เป็นลักษณะเฉพาะของบ้านเราเอง”
.
“ความจริงเรื่องคุณธรรมเป็นปัญหาใหญ่อันหนึ่ง แล้วเราเป็นเมืองพุทธ เรามักอ้างศีลธรรมแบบพุทธเข้ามา แต่ศาสนาพุทธ เป้าหมายของพระพุทธเจ้ามุ่งให้หลุดพ้นเป็นการเฉพาะตัว เป็นเรื่องปัจเจก การจะเอาคำสอนศาสนาพุทธมาใช้ในเชิงโครงสร้างของสังคมหรือของรัฐพึงระมัดระวัง เพราะมันสุ่มเสี่ยงกับการทำโดยอำเภอใจ ในนามของความดีงาม ซึ่งมันเป็นปัญหาใหญ่อันหนึ่งที่เราประสบอยู่แล้วจะกระทบต่อวัฒนธรรมทางกฎหมายของบ้านเรา”
.
“ตอนนี้เราจะทำรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมา รัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นมาใหม่ แม้ไม่ต้องพูดถึงข้อจำกัดต่างๆ แต่ในทางอุดมการณ์ก็ยังถือเป็นลูกหลานสืบต่อมาจากรัฐประหารปี 2557 อยู่วันยันค่ำ เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็เป็นลูกหลานของ รสช.ปี 2534 อยู่ดี ถึงแม้เราเรียกว่า รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนก็ตาม เพราะมันเกิดต่อเนื่องมา ไม่ได้เกิดสุญญากาศแล้วทำใหม่โดยแท้จริง
.
“แต่ผมก็รู้ว่าโลกความเป็นจริงและกับโลกอุดมคติมันแตกต่างกัน ถ้าจะทำมันก็ทำโดยมีข้อจำกัดแบบนี้ ปัญหาคือ จะจำกัดขนาดไหน ตอนนี้เราจำกัดเยอะ หนึ่ง จำกัดเรื่องประชามติ ทำประชามติหลายๆ รอบ ในทางความเป็นจริงมันลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจประชาชนลง คุณต้องถามซ้ำแล้วซ้ำอีก ประชาชนควรเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ ถ้ามีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญแล้วจบ ไม่ควรซ้ำซาก ทีคุณ (คณะรัฐประหาร) ยังทำประชามติถามทีเดียวเลย ทำไมเวลาที่รัฐธรรมนูญที่ทำมาจากรัฐประหารมันง่าย เวลาผ่านกลไกสภามันยาก มันน่าแปลกใจมากเลย
.
“ถ้ามันถูกจำกัดตอนนี้ ผมคิดว่าอันหนึ่งที่ควรพยายามทำ ไม่แน่ใจอาจทำไปแล้วก็ได้ คือ การทำรัฐธรรมนุญใหม่แบบนี้ จริงๆ โดยทั่วไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากการแก้รายมาตราเท่าไรนัก ถ้าแก้ตามกลไกรัฐธรรมนูญนี้ในหลายเรื่องก็ต้องทำประชามติ สมมติว่าเราจะเลิกศาลรัฐธรรมนูญเปลี่ยนสถานะให้เป็นองค์กรแบบอื่น ลดอำนาจลง จำกัดสิทธิคนร้อง ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีแดนในทางการเมืองหรือข้องเกี่ยวในทางการเมืองน้อยลง เปิดอำนาจที่เขาเคยมีให้องค์กรอื่นตัดสิน เช่นบางอย่างให้สภาตัดสิน ถ้าเราทำแบบนั้นก็สามารถทำได้ผ่านกลไกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ถ้าจะยุบศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องส่งให้ศาลวินิจฉัยว่า ผมจะยุบคุณคุณเห็นด้วยไหมที่ผมจะยุบคุณ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาอีกอยู่ดี แต่ว่าเรื่องอื่นๆ เราทำได้ในกลไกแก้ไขรัฐธรรมนูญปกติเลย ทำเป็นเรื่องๆ เป็นหมวดๆ ทำได้หลายรอบด้วย เราอาจต้องจัดส่วนที่ต้องผ่านประชามติเป็นกลุ่มหนึ่ง ไม่ต้องผ่านประชามติก็เป็นกลุ่มหนึ่งก็ได้ เพียงแต่การแก้เป็นส่วนๆ แบบนี้ตามกลไกรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องมีเสียง สว. มีเสียงของฝ่ายค้านตามหลักเกณฑ์ แล้วมันไม่ประกันว่าจะไม่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาข้องเกี่ยว
.
“ส่วนการทำรัฐธรรมนูญ ’ใหม่’ แบบที่กำลังผลักดันกันอยู่นี้มีข้อดีคือ หากผ่านประชามติแล้ว แล้วมีคณะกรรมการยกร่างหรือ สสร.อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นองค์กรร่างรัฐธรรมนูญ เราจะสามารถตัดศาลรัฐธรรมนูญออกไปไม่ให้เข้ามายุ่งได้ การร่างไม่ว่าจะเปลี่ยนอำนาจของเขาอย่างไรก็ตามถือว่าได้อาณัติจากประชาชนแล้ว แต่มันก็อาจมีประเด็นอยู่ดี สมมติมีคนสงสัยว่า ร่างที่กรรมการยกร่างทำขึ้นขัดกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ คำนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่ามหาสมุทรทุกแห่งรวมกัน แล้วมันเปิดโอกาสให้ตีความได้ ดังนั้นมันอาจจะติดประเด็นแบบนี้และศาลรัฐธรรมนูญอาจจะใช้โอกาสนี้เข้ามาเกี่ยวข้องอีก มันมี barrier (สิ่งกีดขวาง) เยอะมากเลย จะต้องเหนื่อยากลำบาก เหนื่อยอ่อนไปอีกนาน ในหมู่ของคนรุ่นถัดไปจากผม รุ่นผมก็ด้วย แต่คนรุ่นผมนับวันแต่จะชราไปและจะกลายเป็นคนแก่จำนวนมากในสังคมนี้ … น่าสนใจว่าจะสามารถผลักรัฐธรรมนูญนี้สำเร็จได้ไหม แต่อันหนึ่งที่เราแน่ใจได้เลยคือ เราไม่สามารถเล็งผลเลิศได้แล้ว ภายใต้ระบบแบบนี้ เราเพียงแต่จะพอใจแค่ไหนอย่างไรเท่านั้น”
ฯลฯ
อ่านต่อ
https://prachatai.com/journal/2025/12/115766
https://www.youtube.com/watch?v=7QMu-oonG1w