
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
12 hours ago
·
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก “ต้นไผ่” 20 ปี คดี ม.112 กรณีถูกกล่าวหาโพสต์เฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์รวม 10 โพสต์ เมื่อปี 2565.
วันที่ 18 ธ.ค. 2568 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีของ พฤทธิกร สาระกุล หรือ “ต้นไผ่” อดีตพนักงานบริษัท วัย 43 ปี ซึ่งถูกฟ้องในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) กรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก “ศักดินาปรสิต” และบัญชีทวิตเตอร์ “Guillotine Activists for Democracy” โพสต์เนื้อหาพาดพิงพระมหากษัตริย์ บัญชีละ 5 ข้อความ รวมจำนวน 10 ข้อความ ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2565
.
ศาลอาญาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทั้งหมด โดยลงโทษจำคุกรวม 30 ปี ก่อนลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุกรวม 20 ปี แม้ยังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลในวันนี้ โดยศาลให้เหตุผลว่าได้อ่านคำพิพากษาให้ผู้รับมอบอำนาจจำเลยฟังแล้ว จึงถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาตามกฎหมายแล้ว
เดิมทีคดีนี้ศาลให้มีการสืบพยานลับหลังจำเลยได้ และไม่อนุญาตให้เลื่อนสืบพยานจำเลยออกไป เพราะเห็นว่าการที่จำเลยไม่มาศาลนั้นถือว่าไม่ประสงค์จะอ้างตนเองเป็นพยาน ทั้งยังตัดพยานบุคคลของจำเลยด้วย โดยให้เหตุผลว่าจำเลยไม่ได้ระบุในบัญชีพยานว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทำให้โจทก์และศาลขาดโอกาสในการตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ
.
ทบทวนเหตุการณ์การสืบพยานลับหลังจำเลย อันเป็นที่มาของการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย.
สำหรับ ‘ต้นไผ่’ ถูกแจ้งข้อกล่าวหาคดี ม.112 รวมทั้งหมด 2 คดี จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กและทวิตข้อความในทวิตเตอร์รวมทั้งหมด 20 ข้อความ แยกเป็นคดีละ 10 ข้อความ ซึ่งทั้งสองคดีมีเจ้าหน้าที่สันติบาลที่ติดตามประเด็นเรื่องสถาบันกษัตริย์เป็นผู้กล่าวหา โดยคดีแรกมี พ.ต.ท.ครรชิต สีหะรอด และคดีที่สองมี พ.ต.ท.แทน ไชยแสง เป็นผู้กล่าวหาไว้ที่ บก.ปอท.
.
สำหรับคดีที่ศาลมีคำพิพากษาออกมานี้ เป็นคดีที่มี พ.ต.ท.ครรชิต เป็นผู้กล่าวหา โดยกล่าวหาจากข้อความที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก 5 โพสต์ และในบัญชีทวิตเตอร์ 5 โพสต์ เป็นเนื้อหาเดียวกันและในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งต้นไผ่ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาไป เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2565 ก่อนอัยการจะสั่งฟ้องคดีในเวลาเกือบหนึ่งปีให้หลัง เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2566
.
ต่อมา เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2567 ในนัดสืบพยานนัดแรก จำเลยไม่มาปรากฏตัวต่อศาล ศาลเห็นว่าจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี จึงให้ออกหมายจับและเลื่อนนัดสืบพยานเป็นวันที่ 15 และ 22 ต.ค. 2567
.
ทั้งนี้ ก่อนถึงวันนัดสืบพยานในวันที่ 15 ต.ค. 2567 ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านการสืบพยานลับหลังจำเลยรวม 2 ฉบับ อย่างไรก็ดีเมื่อถึงวันนัดสืบพยานศาลยังคงยืนยันให้สืบพยานลับหลังจำเลยต่อไป โดยให้เหตุผลว่า จำเลยมาศาลในวันตรวจพยานหลักฐาน ทั้งยังแถลงแนวทางต่อสู้ต่อศาลแล้ว แต่เมื่อถึงนัดสืบพยานจำเลยไม่มาศาล ศาลได้ออกหมายจับและยังจับตัวจำเลยมาศาลไม่ได้ ถือว่าจำเลยสละสิทธิ์ที่จะเผชิญหน้ากับพยานโจทก์ และจำเลยมีทนายความซึ่งสามารถปกป้องสิทธิของจำเลยได้
.
ในวันที่ 22 ต.ค. 2567 ซึ่งเป็นวันสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยนัดสุดท้าย ทนายจำเลยได้แถลงต่อศาล ระบุว่ายังคงติดใจที่จะสืบพยาน 2 ปาก ได้แก่ จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน 1 ปาก และพยานบุคคลอีก 1 ปาก แต่เนื่องจากยังไม่สามารถจับตัวจำเลยได้ จึงขอให้เลื่อนนัดสืบพยานจำเลยออกไปก่อน อย่างไรก็ดีศาลได้พิจารณาตัดพยานทั้งสองของจำเลย ทำให้คดีเป็นอันเสร็จสิ้นการพิจารณาลงทันที
.
คดีนี้ ฝ่ายจำเลยยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาส่งคําร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ทวิ/1 ที่อนุญาตให้ศาลพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยได้ กรณีไม่มาฟังการพิจารณาและสืบพยานโดยไม่มีเหตุอันสมควร ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 29 หรือไม่ ศาลเห็นว่า คําร้องถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ จึงให้ส่งคําร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
.
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 ในนัดพร้อมคดี ศาลได้อ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งระบุว่า “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ทวิ/1 เป็นบทบัญญัติที่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ไม่ขัดต่อหลักการให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคสอง” ศาลอาญาจึงได้กำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ต่อมา
.
ศาลสั่งจำคุก ‘ต้นไผ่’ เห็นว่า พยานโจทก์มีความน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยเป็นการมุ่งใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ มิใช่การแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ.
ณ ห้องพิจารณาคดี 708 เวลา 09.30 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีนี้ลับหลังจำเลย สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า ฝั่งโจทก์มีพนักงานสอบสวนชุดจับกุมเบิกความเป็นพยานสอดคล้องต้องกันว่า ได้รับแจ้งว่ามีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย โพสต์ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จึงขอหมายค้นตรวจห้องชุด พบจำเลย จากการตรวจสอบคอมพิวเตอร์ของจำเลยพบการเข้าใช้งานบัญชีเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์มีการโพสต์ข้อความดูหมิ่นรวม 10 ครั้ง พร้อมถ่ายภาพที่จำเลยชี้ยืนยันว่าเป็นเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ดังกล่าว
.
ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อีกทั้งพยานก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน การตรวจพบการเข้าถึงบัญชีและโพสต์ข้อความตามฟ้องเป็นไปโดยไม่มีส่วนได้เสียในคดี จึงเชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามจริง การที่มีภาพถ่ายยืนยันและลงลายมือชื่อไว้ในคำสอบสวน เกิดจากความสมัครใจของจำเลย การกระทำของจำเลยหาใช่การแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการมุ่งใส่ร้ายถึงพระมหากษัตริย์ ทำให้พระมหากษัตริย์ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง อันเป็นการใส่ความอย่างร้ายแรง
.
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 3 ปี 10 กระทง รวมจำคุก 30 ปี ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี 10 กระทง รวมจำคุกจำเลย 20 ปี
.
ทั้งนี้ เนื่องจากศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จึงให้เพิกถอนหมายจับเดิมและออกหมายจับจำเลยมาปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1269278725042595&set=a.656922399611567
https://tlhr2014.com/archives/80681