
ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง
10 hours ago
·
.
การเมืองของการทำให้ “ประชาธิปไตย” อ่อนแอ
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
.
โปรเจคการเมืองที่กลุ่มเครือข่ายชนชั้นนำวางเอาไว้หลังการรัฐประหาร ๒๕๕๗ ก็คือ การทำให้ระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยยังคงอยู่แต่ต้องทำให้พรรคการเมืองทั้งหมดอ่อนแอ เพื่อที่จะทำให้พรรคการเมืองทั้งหมดทั้งแอบอิงกับอำนาจของชนชั้นนำที่ซ่อนเร้นอยู่หลังฉาก ซึ่งทำให้อำนาจของเครือข่ายชนชั้นนำทวีมากขึ้นตามลำดับเวลา จะเห็นได้ชัดถึงการแยกกันเล่น/แยกกันปั่นกระแสของกลุ่มชนชั้นนำที่ทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคตกอยู่ในสถานการณ์คาบลูกคาบดอกกับการล่มสลายของพรรค
.
กรณีการลงโทษจริยธรรมสองนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นคุณเศรษฐา หรือคุณแพทองธารเกิดขึ้นจากการทำให้คดีการเมืองกลายเป็นคดีทางจริยธรรมซึ่งรุนแรงมากในสังคมไทย หรือการทำให้คดีเก่าเป็นชนักติดหลังพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นคดีเขากระโดง คดีฮั้ว สว. รวมไปถึงการดันคดี ๑๑๒ ให้เป็นภาระอันหนักอึ้งของพรรคการเมือง อำนาจที่มากขึ้นของเครือข่ายชนชั้นนำในการกำหนดการเมืองนี้จึงได้ทำให้เกิดการกล่าวถึงใบอนุญาติสองใบที่จะต้องได้รับถึงจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือจัดตั้งรัฐบาล (ปิยบุตร แสงกนกกุล)
.
อำนาจที่ขยายตัวมากขึ้นนี้ได้กระทบสังคมไทยรุนแรงขึ้นจนทำให้สังคมไทยโดยรวมสามารถรับรู้ถึงปฏิบัติการของพลังอำนาจที่แฝงเร้นนี้กว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิมมากดังคำกล่าวที่ปรากฏทั่วไป ของนักวิเคราะห์/ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ที่ให้เห็นถึงอำนาจนี้ด้วยการใช้คำว่า “รัฐพันลึก” (Deep State: Eugenie Merieau) เพราะได้รับรู้ถึงการใช้อำนาจของเครือข่ายชนชั้นนำที่ถูกให้ “เสมือนถูกกฎหมาย” ด้วยการตีความกฎหมายอย่างครอบคลุมทุกอย่างที่จะสามารถนำมาเล่นงานพรรคการเมืองหรือผู้คนที่แข็งข้อ การกล่าวถึงอำนาจแฝงเร้นของชนชั้นนำเปิดมากขึ้น เพราะการใช้อำนาจนั้นกระทบความรู้สึกของผู้คนจำนวนมากนั่นเอง
.
กระบวนการทางการเมืองของการทำให้ “ประชาธิปไตย” อ่อนแอเช่นนี้ เป็นความพยายามที่จะจรรโลงความเหลื่อมล้ำทุกมิติให้ดำเนินต่อไป พร้อมกับการกีดกันกลุ่มคนที่ปรารถนาจะมีบทบาทในการแก้ไขความเหลื่อมล้ำทุกมิตินี้ พรรคการเมืองที่ควรจะเป็นตัวแทนประชาชนจึงถูกทำให้ต้องสยบยอมอย่างไม่มีทางเลือก
.
กระบวนการทางการเมืองที่ดำเนินอยู่นี้ละม้ายกับการเมืองของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ที่ทำให้แปดปีของการครองอำนาจได้กดพรรคการเมืองให้เชื่องมาตลอด อันอาจเทียบได้กับแปดปีกว่าของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการสร้างรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ที่ถูกสร้างมาใช้กำกับการเมืองให้เป็นไปตามที่เครือข่ายชนชั้นนำต้องการ จึงไม่น่าแปลกใจอันใดที่เมื่อทั้งสองท่านพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ไปดำรงตำแหน่งองคมนตรีต่อ
.
กล่าวได้ว่าโปรเจคการเมืองของเครือข่ายชนชั้นนำเป็นการเมืองที่ยอมรับเปลือกของการปกครองแบบประชาธิปไตย หากแต่ใช้อำนาจนอกระบบควบคุมการเมืองเอาไว้ โดยแฝงฝังอำนาจนอกระบบนั้นไว้ในโครงสร้างทางการเมืองทั้งหมด
.
แผนผังการเมืองของชนชั้นนำจึงเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีชั้นของอำนาจเรียงกันสามชั้น ชั้นบน สุดเป็นเครือข่ายอำนาจของชนชั้นนำ ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายของชนชั้นนำ ทั้งด้านวัฒนธรรมด้าน ธุรกิจและฝ่ายความมั่นคง ชั้นที่สอง ได้แก่พรรคการเมือง ชั้นล่างสุด คือประชาชนพลเมืองความรับผิดชอบทางการเมืองทั้งหมดจะผูกพันอยู่เพียงในความสัมพันธ์ระหว่างชั้นของพรรคการเมืองกับประชาชนพลเมืองชั้นล่างสุด แต่อำนาจจากชั้นหนึ่งจะกำกับชั้นพรรคการเมืองได้อย่างกระชับ แต่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนพลเมืองโดยตรง
.
ด้วยโครงสร้างทางการเมืองเช่นนี้ พรรคการเมืองจึงไม่ได้กระทำการใดๆ เพื่อสังคมการเมือง หากแต่ทำทุกอย่างเพื่อให้กลุ่มที่อยู่เหนือพวกเขาขึ้นไปพึงพอใจ หากกลุ่มบนสุดของสามเหลี่ยมแห่งอำนาจมองเห็นว่าตนควร/ต้องทำให้กับสังคม ก็จะสั่งการมายังพรรคการเมือง ตัวอย่างของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ สามารถจัดงบประมาณลงสู่ชนบทได้อย่างจริงจังก็เพราะกลุ่มเครือข่ายชนชั้นนำเห็นด้วยและผลักดัน
.
โครงสร้างทางการเมืองที่รวมศูนย์อำนาจซึ่งเป็นอำนาจที่ตระหนักรับรู้กันทั่วไป แต่ดำรงอยู่อย่างไม่เป็นทางการเช่นนี้ สามารถบงการการเมืองไทยมาเนิ่นนานสี่สิบกว่าปีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ล้วนแล้วต้องผ่านความเห็นชอบจากอำนาจที่อยู่ชั้นบนสุดเสมอมา
.
แม้ว่าโปรเจคการเมืองของเครือข่ายชนชั้นนำจะทำงานมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมานานกว่ากว่าสี่สิบปี แต่ในวันนี้ สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างไพศาลและลึกซึ้ง การท้าทายทางการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ นับตั้งแต่การก่อตั้งพรรคของทักษิณ ชินวัตร การเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเสื้อแดง การเคลื่อนไหวของเยาวชนประชาธิปไตย และการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล พรรคประชาชน (ซึ่งตอนนี้กำลังเดินอย่างซวนเซอยู่)
.
การทายท้าระบอบอำนาจของเครือข่ายชนชั้นนำเกิดขึ้นจากความอึดอัดคับข้องใจของคนในสังคมโดยรวม พรรคการเมืองเป็นเพียงกลุ่มคนที่กลั่นกรองความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจให้ปรากฏเด่นชัด จนนำมาสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนขนาดใหญ่หลายครั้ง เครือข่ายชนชั้นนำเองก็ตระหนักถึงความอึดอัดคับข้องใจของคนในสังคมที่ทวีแรงมากขึ้น ความพยายามสร้าง “พันธมิตร” ใหม่กับกลุ่มที่ครั้งหนึ่งไม่เคยไว้ใจเพื่อให้มาลดทอนกระแสความ คับข้องใจ การใช้อำนาจผ่านทางกฎหมายในทุกรูปลักษณะไม่ว่าจะบิดเบี้ยวเพียงใด (ทำให้ “เสมือนถูกกฎหมาย”) การสร้างข่าวลือเพื่อทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นคัดง้างตน ฯลฯ
.
ความพยายามสยบ/กดทับการเคลื่อนไหวของกลุ่มทางสังคมเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจแบบเดิม ได้ส่งผลให้เกิดสภาวะชงักงันทางการเมืองเพราะความเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้นไม่ได้ ขณะเดียวกัน การจรรโลงโครงสร้างอำนาจเดิมก็ประสบกับปัญหาความชอบธรรมมากขึ้นกล่าวได้ว่าการเมืองไทยในวันนี้จะเดินไปข้างหน้าก็ไม่ได้ แต่จะถอยหลังก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
.
สภาวะเช่นนี้มีผลทำให้ทุกองคาพยพของสังคมและสถาบันต่างๆ ล้วนแล้วแต่เคลื่อนไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น เพราะไม่สามารถมีจินตนาการร่วมกันได้ว่าควรจะเดินไปทางไหนและเดินไปอย่างไร สภาวะไร้จุดมุ่งหมายของสังคมเช่นนี้จะดำเนินต่อไปอีกนานเท่าใด ไม่มีใครคาดเดาได้
.
ความคาดหวังเบื้องต้นที่จะขยับเขยื้อนสังคมการเมืองไทยให้หลุดจากสภาพชงักงันทางการเมือง ได้แก่ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเสียงของประชาชนก็ถูกทำให้คับแคบลงด้วยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ (เสมือนถูกกฎหมาย) สังคมไทยกำลัง “เสี่ยง” มากขึ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่คาดหมาย และสิ่งที่จะเกิดขึ้นอาจจะไม่ได้ทำพาสังคมให้ก้าวไปสิ่งที่สังคมปรารถนา แต่อาจจะดึงให้สังคมจมปลักในหลุมดำของปัญหานี้
.
สังคมไทยกำลังรอแสงเทียนที่ปลายอุโมงค์ที่ยังมองไม่เห็น
.
17 กันยายน 2568
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1239411214898159&set=a.472177154954906