วันเสาร์, กันยายน 27, 2568

โฉมหน้า Deep State โลก โฉมหน้า Deep State ไทย ไทย “แก้ยากกว่าประเทศอื่น” เพราะต้องรื้อหลายชั้นพร้อมกัน


ภาพจาก Thai Publica
August 20
·
5 โฉมหน้า Deep State โลก : ไทยติดกับดักลึกหลายชั้น
เมื่อพูดถึง “รัฐพันลึก” (Deep State) หลายคนอาจนึกถึงเครือข่ายลึกลับที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล แต่ในความเป็นจริง Deep State ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว หากจัดหมวดหมู่ จะพบว่าโครงสร้างเหล่านี้มีอยู่ 5 โฉมหน้าหลัก ซึ่งแตกต่างกันไปตามฐานอำนาจและความสัมพันธ์กับ “รัฐปกติ”
เปิด 5 โฉมหน้า Deep State โลก
1. รัฐทหาร–ความมั่นคง (Military–Security Complex)
• จุดเด่น: กองทัพ–ข่าวกรองคุมการเมือง ใช้ภัยคุกคามเป็นเหตุผลสืบอำนาจ
• ตัวอย่าง: อียิปต์, ปากีสถาน, เมียนมา, ไทย
• ความเสี่ยง: รัฐประหารซ้ำ งบกลาโหมบวม
• ทางออก: Grand Bargain + การปฏิรูประบบความมั่นคง
2. รัฐทุนผูกขาด–พวกพ้อง (Crony–Oligarchic State)
• จุดเด่น: ทุนใหญ่–ตระกูลการเมืองผูกขาด ใช้รัฐเอื้อประโยชน์
• ตัวอย่าง: รัสเซีย, อินโดนีเซียยุคซูฮาร์โต, ไทย
• ความเสี่ยง: SMEs โตไม่ได้ ติดกับดักรายได้ปานกลาง
• ทางออก: เปิดแข่งขันจริง + ทะเบียนผู้ถือผลประโยชน์ที่แท้จริง (Beneficial Ownership Registry)
3. รัฐศาสนา–อุดมการณ์ (Theocratic–Ideological State)
• จุดเด่น: ศาสนา/อุดมการณ์ครองรัฐ ใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ต้านการตรวจสอบ
• ตัวอย่าง: อิหร่าน, อัฟกานิสถาน
• ความเสี่ยง: การเมืองนิ่งแต่เศรษฐกิจพัง สมองไหล
• ทางออก: เปลี่ยนกระแสความคิด + ปรับกฎหมาย + แยกรัฐออกจากศาสนา
4. รัฐข้าราชการ–เทคโนแครต (Bureaucratic–Technocrat State)
• จุดเด่น: ข้าราชการรวมศูนย์ เน้นเสถียรภาพมากกว่านวัตกรรม
• ตัวอย่าง: ญี่ปุ่นยุค 50s–70s, เวียดนาม, ไทย
• ความเสี่ยง: ปฏิรูปติดหล่ม ปรับตัวไม่ทันโลก
• ทางออก: รัฐบาลดิจิทัล + ลดดุลยพินิจด้วยข้อมูล
5. รัฐถูกครอบงำโดยต่างชาติ (Foreign-Influenced State)
• จุดเด่น: นโยบายถูกกำหนดโดยมหาอำนาจหรือทุนต่างชาติ
• ตัวอย่าง: กัมพูชา, ลาว, รัฐแอฟริกาหลายแห่ง
• ความเสี่ยง: อธิปไตยเสื่อม เศรษฐกิจเปราะบาง
• ทางออก: กระจายพันธมิตร + การถ่วงดุลผ่านอาเซียน (ASEAN Hedging)
กรณีไทย: Hybrid/Networked Deep State
ประเทศไทยไม่ได้เผชิญ Deep State แบบใดแบบหนึ่ง แต่เป็น Deep State แบบผสมและเชื่อมโยงหลายชั้น (Hybrid/Networked) ที่ประกอบด้วย
• กองทัพ (Military–Security)
• ทุนใหญ่ (Crony–Oligarchic)
• ข้าราชการรวมศูนย์ (Bureaucratic–Technocrat)
จึงทำให้ไทย “แก้ยากกว่าประเทศอื่น” เพราะต้องรื้อหลายชั้นพร้อมกัน
ความแตกต่างหลักของไทย
• ศูนย์อำนาจ: จากแกนเดียว → หลายแกนคู่ขนาน
• ความซับซ้อน: จากโครงสร้างเดียว → หลายชั้นพัวพันทั้งสภา ศาล ราชการ ทุน
• จังหวะเปลี่ยน: จาก “เล่นเกมสั้น ปิดเกมเร็ว” → ต้องวางแผนยาว 5–10 ปี
• เรื่องเล่า: จาก “โค่น X” → กลายเป็นเรื่องเล่าซับซ้อน ทำให้สังคมสับสนง่าย
ความเสี่ยงเฉพาะของไทย
1. ฝ่ายต้านกระจัดกระจาย รวมตัวได้แค่เฉพาะกิจ (Fragmented Resistance)
2. รื้อด้านหนึ่ง แต่อีกด้านปรับตัวโต้กลับ (Reform Whiplash)
3. สังคมเบื่อหน่าย เพราะเห็นผลล่าช้า (Public Fatigue)
4. กลุ่มอำนาจสลับข้าง ขวางการปฏิรูป (Elite Re-alignment)
บทเรียนจากต่างประเทศ
ประเทศที่เคยรื้อ Hybrid/Networked Deep State สำเร็จ ได้แก่ สเปน, ชิลี, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย, ไต้หวัน, โคลอมเบีย
สิ่งที่เหมือนกันคือ
• มีผู้นำเชื่อมกลาง ที่ทั้งฝ่ายเก่า–ใหม่ไว้ใจ
• มี “เส้นถอย” ชัดเจน ให้ Deep State ลดแรงต้าน
• สถาบันเดิม (ศาล, สื่อ, กลไกตรวจสอบ) ถูกทำให้เข้มแข็ง
• มหาชน + นานาชาติ กดดันไม่ให้ถอยหลัง
• เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ ไม่สะดุด
Playbook ไทย: การเปลี่ยนผ่านแบบค่อยเป็นชั้น
ไม่รื้อทุกชั้นพร้อมกัน แต่ทำทีละชั้น พร้อมสร้าง “กันชนป้องกันการถอยหลัง”
1. โครงสร้างพื้นฐานความโปร่งใส → e-Procurement, การเงินการเมืองโปร่งใส
2. ปฏิรูประบบความมั่นคง → ปฏิรูปกองทัพ–ข่าวกรอง ลดงบลับ
3. กระจายอำนาจ → กระจายอำนาจและงบประมาณสู่ท้องถิ่น
4. ล็อกอินระดับนานาชาติ → ใช้มาตรฐานสากลเป็น “ตัวล็อก” กันการย้อนกลับ
5. เปลี่ยนเรื่องเล่าและตัวชี้วัด → จาก “รัฐครอบงำ” → “รัฐยึดหลักการ” ใช้ KPI ที่สะท้อนชีวิตจริง
Roadmap ไทย 5–7 ปี
• ระยะที่ 1 – เสถียรภาพ & ข้อตกลงใหญ่
เจรจา “เส้นถอย” ให้กองทัพ–ทุนลดบทบาท พร้อมผู้นำกลางเชื่อม
• ระยะที่ 2 – ปฏิรูประบบสถาบัน
กระจายอำนาจการปกครอง แยกกองทัพออกจากการเมือง
• ระยะที่ 3 – ปฏิรูปเศรษฐกิจ
ลดอำนาจผูกขาด เปิดทะเบียนผู้ถือผลประโยชน์ที่แท้จริง
• ระยะที่ 4 – เปลี่ยนเรื่องเล่า
ใช้ตัวชี้วัดที่ประชาชนสัมผัสได้ เช่น การศึกษา รายได้ สุขภาวะ
• ระยะที่ 5 – ยึดโยงภูมิภาค
ใช้มาตรฐานสากล–อาเซียน เป็น “ตัวล็อก” ป้องกันการถอยหลัง
สรุปเชิงกลยุทธ์
• ไทยแก้ยากกว่า เพราะมี Deep State หลายขั้วอำนาจซ้อนกัน
• ต้องใช้ทั้ง Grand Bargain (สร้างแรงถอย) + Hard Constraint (ล็อกด้วยมาตรฐานสากล–ดิจิทัล)
• ถ้าไม่จัดลำดับ อาจเกิด Reform Overstretch — เหมือนยกของหนักหลายชั้นพร้อมกัน จนหมดแรงกลางทาง

https://www.facebook.com/drsuvitpage/posts/1327287115420444?ref=embed_post
.....

ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ Dr. Suvit Maesincee 
August 18
·
หาก Deep State คือ Power Without Principle, Principled State คือ Power After Principle
“รัฐพันลึก” หรือ Deep State เป็นคำที่สะท้อนการดำรงอยู่ของโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นทางการ แต่สามารถกำกับ ทิศทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบหรือความยินยอมจากประชาชน ในหลายประเทศ Deep State ถูกอธิบายว่าเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” หรือ “กลไกเงา” ที่ทำงานคู่ขนานไปกับรัฐทางการ
ในทางตรงข้าม “รัฐคุณธรรม” หรือ Principled State หมายถึงรัฐที่ใช้อำนาจบนฐานของหลักการ (Principle) มากกว่าเครือข่ายผลประโยชน์ โดยยึด Rule of Law ความโปร่งใส (Transparency) ความรับผิดชอบ (Accountability) และคุณธรรม (Integrity) เป็นหลักการนำทาง
สำหรับประเทศไทย การติดกับในโครงสร้างแบบ Deep State ทำให้เกิดภาวะ “รัฐครอบงำ” ที่กัดกร่อนความสามารถของประเทศในการแข่งขัน ฟื้นตัว และปรับตัวต่อโลกป่วน การเปรียบเทียบ Deep State vs Principled State จึงไม่ใช่เพียงการอธิบายเชิงทฤษฎี แต่เป็นการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดและอนาคตของชาติ
~ Deep State และ Principled State ต่างกันอย่างไร
เราสามารถทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Deep State และ Principled State ผ่าน 4 ระดับหลักคือ:
1. Ethos (หลักคิด) – ความคิดความเชื่อที่กำกับการใช้อำนาจ
2. Structure (โครงสร้าง) – การจัดการและการกระจายอำนาจ
3. Performance (สมรรถนะ) – ความสามารถในการกำหนดและขับเคลื่อนนโยบาย
4. Outcomes (ผลลัพธ์) – สิ่งที่ประชาชนและประเทศได้รับ
การเปรียบเทียบเชิงโครงสร้าง ผลลัพธ์ และนัยยะเชิงยุทธศาสตร์
(A) หลักคิดและโครงสร้างอำนาจ
1) Ethos
• Deep State: ใช้ความกลัว ความมั่นคง และผลประโยชน์เป็นหลักคิด
• Principled State: ใช้คุณค่า ความเสมอภาค และผลประโยชน์สาธารณะ
2) โครงสร้างอำนาจ
• Deep State: อำนาจกระจุกอยู่ในเครือข่ายไม่เป็นทางการ เช่น ทหาร ข้าราชการ ศาล ผู้มีอิทธิพล
• Principled State: อำนาจกระจายผ่าน Rule of Law, Checks and Balances, สถาบันอิสระ
3) ระบบคน (Civil Service & Meritocracy)
• Deep State: การแต่งตั้งตามอุปถัมภ์และสายสัมพันธ์
• Principled State: การคัดเลือกตามความรู้ความสามารถ (Merit)
(B) เศรษฐกิจการเมืองและนโยบาย
4) เศรษฐกิจการเมือง
• Deep State: เศรษฐกิจผูกขาด พึ่งพา Rent-Seeking
• Principled State: เศรษฐกิจเปิด โปร่งใส เน้นนวัตกรรมและการแข่งขัน
5) นโยบายสาธารณะ
• Deep State: เน้น Deal-driven, Project-based, Short-term Gain
• Principled State: Policy-driven, Evidence-based, Long-term Gain
6) งบประมาณและการคลัง
• Deep State: ใช้งบเพื่อสร้างเครือข่ายและซื้อความจงรักภักดี
• Principled State: งบเป็นเครื่องมือจัดสรรทรัพยากรเพื่อ Common Good
(C) สมรรถนะรัฐ–สังคม–ดิจิทัล
7) สมรรถนะรัฐ (State Capacity)
• Deep State: อ่อนแอในการส่งมอบบริการสาธารณะ ขึ้นอยู่กับ Crisis Management แบบเฉพาะกิจ
• Principled State: มี Delivery Capacity และ Policy Coherence
ทุนทางสังคมและความไว้วางใจ
• Deep State: ความไม่ไว้วางใจสูง ระดับทุนสังคมต่ำ
• Principled State: เป็น High Trust Society สร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ–เอกชน–ประชาชน
9) ดิจิทัลและข้อมูล
• Deep State: ข้อมูลเป็นอาวุธ กักเก็บ ปกปิด
• Principled State: ข้อมูลเป็นทุน เปิดเผย เชื่อมโยง เพิ่มมูลค่า
(D) ผลลัพธ์เชิงยุทธศาสตร์
10) Global/Geo-strategic Position
• Deep State: สูญเสียเครดิต ความน่าเชื่อถือต่ำบนเวทีโลก
• Principled State: ได้รับการยอมรับ เป็นหุ้นส่วนที่ไว้วางใจ
11) Resilience/Vulnerability
• Deep State: เปราะบางต่อวิกฤต เศรษฐกิจและสังคมล้มได้ง่าย
• Principled State: มีความยืดหยุ่น รับมือวิกฤตได้
12) Competitiveness
• Deep State: ติดกับดักรายได้ปานกลาง นวัตกรรมต่ำ
• Principled State: ดึงดูดทุนมนุษย์และการลงทุนคุณภาพ
13) Equality
• Deep State: ความเหลื่อมล้ำสูง สังคมแบ่งขั้ว
• Principled State: Mobility สูง ความเท่าเทียมของโอกาส
14) Total Wellbeing
• Deep State: ประชาชนรู้สึกไร้พลัง ไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
• Principled State: ประชาชนมี Sense of Agency, Wellbeing, Security
~ กรณีศึกษา
• ปากีสถาน: Deep State โดยทหาร ครอบงำนโยบายการเมือง ทำให้ประเทศเปราะบางต่อวิกฤตเศรษฐกิจ
• อียิปต์: Deep State ควบคุมเศรษฐกิจ 60% ผ่านกองทัพ กดทับภาคเอกชน
• เอสโตเนีย: จากรัฐอ่อนแอหลังโซเวียต สร้าง Digital Principled State ผ่าน e-Government, Open Data, Trust by Design
• สิงคโปร์: ใช้ Meritocracy, Anti-Corruption, Long-term Planning จนพัฒนาเป็น Global Hub
• เกาหลีใต้: จาก Authoritarian State ปฏิรูปสถาบัน ก่อให้เกิด High-Tech Democracy
~ Metrics และดัชนีชี้วัด
• Governance Indicators (WB, Transparency International): Rule of Law, Control of Corruption
• Competitiveness (WEF, IMD): Innovation, Productivity, Infrastructure
• Equality (OECD, World Bank): Gini, Social Mobility Index
• Digital Governance (UN e-Gov Index, Open Data Index)
• Resilience (Global Preparedness Monitoring Board, IMF)
~ Implications สำหรับประเทศไทย
ทำไมไทยยังติดกับใน Deep State ?
• ระบบอุปถัมภ์ฝังรากลึก
• ขาด Meritocracy ในระบบคน
• การเมืองขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
• ความกลัวมากกว่าความไว้ใจ
ทำไมต้องเปลี่ยนผ่านสู่ Principled State ?
• เพื่อหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง กับดักความเหลื่อมล้ำ กับดักความขัดแย้ง
• เพื่อสร้าง Resilience ภายใต้โลกป่วน
• เพื่อสร้างเครดิตในประชาคมโลก (Trusted Partner)
เส้นทางการเปลี่ยนผ่าน (Pathway)
1) Reset Power Structure: ปฏิรูปกองทัพ ตุลาการ ราชการ
2) Rebuild Trust Infrastructure: เปิดข้อมูล จัดตั้งสถาบันอิสระจริง
3) Revive Human Capital: การศึกษา–นวัตกรรม
4) Reimagine National Strategy: เศรษฐกิจเขียว–ดิจิทัล
5) Reconnect to World: ASEAN Hedging + Middle Power Diplomacy
~ บทสรุป
Deep State คือเส้นทางสู่ “รัฐเปราะบาง–ชาติถดถอย” Principled State คือเส้นทางสู่ “รัฐมั่นคง–ชาติรุ่งเรือง”
การเปลี่ยนผ่านไม่ใช่ “ความหรูหรา” แต่เป็นเงื่อนไขเพื่อ “ความอยู่รอด” และการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว หากประเทศไทยยังติดอยู่ในเงามืดของ Deep State ความเสี่ยงคือ Failed Nation หากสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ Principled State โอกาสคือ Flourishing Nation ที่ยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีบนเวทีโลก

https://www.facebook.com/drsuvitpage/posts/1326030522212770?ref=embed_post