วันพุธ, กันยายน 24, 2568

⭕“ถ้าคนข้างนอกร้องไห้ ผมก็คงร้องไห้เหมือนกัน” : ชวนรู้จัก “ภาณุภัทร์” ผู้ต้องขังคดี ม.110 ที่แผนชีวิตพังทลายหลังไม่ได้ประกันชั้นฎีกา


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
10 hours ago
·
“ถ้าคนข้างนอกร้องไห้ ผมก็คงร้องไห้เหมือนกัน” : ชวนรู้จัก “ภาณุภัทร์” ผู้ต้องขังคดี ม.110 ที่แผนชีวิตพังทลายหลังไม่ได้ประกันชั้นฎีกา
.
.
วันที่ 17 ก.ย. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “ภาณุภัทร์” หรือ “ขวัญ” (สงวนนามสกุล) ประชาชนจากจังหวัดนครราชสีมาวัย 36 ปี หนึ่งในห้าผู้ต้องขังคดีข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 กรณีถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินีและเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563
.
หลังจากเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นจากยกฟ้อง เป็นเห็นว่าผิด ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี ยกเว้น เอกชัย หงส์กังวาน ที่ถูกเพิ่มโทษจำคุกเป็นรวม 21 ปี 4 เดือน ทั้งหมดถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนถูกนำตัวย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรมเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2568 แม้จะมีการยื่นขอประกันตัวหลังจากมีคำพิพากษา หรือหลังจากการถูกคุมขังไปแล้ว รวม 2 ครั้ง แต่ศาลฎีกายังไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องขังทั้ง 5 ราย
.
กรณีของจำเลยที่ 4 และ 5 ซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป ในคดีมีทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย หลังจากถูกคุมขัง ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้พูดคุยกับทาง สกสส. เพื่อเข้าร่วมกันติดตามสถานการณ์การคุมขังและการประกันตัว
.
ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ทนายเดินทางไปถึง 09.00 น. แต่กว่าภาณุภัทร์จะเดินมาที่ห้องเยี่ยมใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง ครั้งนี้เป็นการเข้าเยี่ยมครั้งที่สอง แต่นับเป็นครั้งแรกที่พบเจอในรูปแบบไม่ใช่พูดคุยผ่านจอภาพ จากสังเกต ภาณุภัทร์ดูกังวลน้อยลง ไม่มีอาการเครียดแบบครั้งก่อนที่กัดเล็บตลอดเวลาที่พูดคุยกัน แต่ถึงอย่างนั้นตลอดการบทสนทนายังแฝงไปด้วยความรู้สึกและอารมณ์ที่ให้สัมผัสได้ว่ามีภาวะความเครียดแฝงอยู่
.
หลังกล่าวทักทายสอบถามความเป็นไป ภาณุภัทร์ตอบว่าขณะนี้พอจะปรับตัวได้แล้ว และมี “ไพฑูรย์” ผู้ต้องขังทางการเมืองในคดีเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทะลุแก๊สซึ่งถูกคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรมมาก่อนหน้านี้ คอยให้ความช่วยเหลือหลาย ๆ อย่าง ก่อนแจ้งว่าขณะนี้เพื่อนร่วมคดีนี้ทั้ง 5 คน ถูกส่งตัวมาที่แดน 6 แล้ว ทุกคนถูกจับแยกไปนอนกันคนละห้อง ภาณุภัทร์ถูกจัดให้นอนที่ห้อง 49 ซึ่งมีผู้ต้องขังอยู่รวมกันราว 25 คน
.
ระหว่างที่พูดคุยสังเกตเห็นว่าภาณุภัทร์มีอาการเหมือนสูดจมูก คัดจมูกเป็นพัก ๆ หลังสอบถาม ได้รับคำตอบเพียงว่าเป็นตั้งแต่ที่มาอยู่ที่นี่ อาจเพราะฝุ่น เลยทำให้มีอาการนี้ ยังไม่ได้ทานยา ไม่ได้กังวลว่าจะต้องได้รับยาหรือไม่ “ผมปล่อยให้อาการหายไปตามธรรมชาติดีกว่าครับ”
.
การพบกันครั้งนี้ ภาณุภัทร์ได้เล่าเรื่องราวเส้นทางชีวิต ตั้งแต่วัยเยาว์ การทำงานบนเรือ การออกมาทำงานในบริษัทที่เริ่มตั้งหลักในชีวิตได้ จนมาถึงการพัวพันกับคดีจากการไปร่วมชุมนุมทางการเมือง ซึ่งทำให้แผนชีวิตของเขาพังทลายครั้งใหญ่
.

“ไม่ต่างกับการอยู่ในเรือนจำ” อดีตชีวิตกลางทะเลคล้ายวันเวลาเช่นนี้

“โดยบุคลิกผมเป็นคนที่ร่าเริงสดใสมาก พยายามที่จะสร้างรอยยิ้มให้ทุก ๆ คนเสมอ ผมเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของคุณแม่ ส่วนคุณพ่อนั้น ผมไม่ได้มีความทรงจำถึงเท่าไร เนื่องจากทั้งสองคนแยกทางกันตั้งแต่ผมอยู่ชั้นมัธยมต้น” ภานุภัทร์เล่าถึงชีวิตตัวเอง
.
ขณะที่ความสนใจทางการเมืองภายในครอบครัว เขาเปรยว่าเป็นลักษณะติดตามข่าวสารอยู่บ้าง แต่ก็จะเฉย ๆ เป็นหลัก
.
หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร “เป็นสาขาที่เกี่ยวกับแผนที่ ที่ดิน ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนว่าทำไมไปเรียนสาขานี้” ประมาณปี 2553 มีเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนพาณิชย์นาวีมาชักชวนให้ไปทำงานเรือขนส่งด้วยกัน
.
“ตอนนั้นผมค่อนข้างสนใจงานนี้ จึงตัดสินใจไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง แถว ๆ ศรีนครินทร์ ใช้เวลาเรียนประมาณ 4 เดือน จากนั้นก็ได้ออกเรือเลยครับ”
.
ภาณุภัทร์เริ่มลงเรือตั้งแต่อายุ 21 ปี ครั้งแรกทำงานบนเรือขนส่งถ่านหิน ต่อมามาลงเรือขนส่งน้ำมัน “สภาพความเป็นอยู่ตลอดการทำงานอยู่บนเรือนั้น ก็ไม่ต่างกับการอยู่ในเรือนจำเลยครับ เพราะว่าตอนที่ผมอยู่บนเรือก็ไม่สามารถติดต่อใครได้ ใช้ชีวิตกลางทะเล และคนบนเรือก็มีประมาณ 25-28 คน พวกเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดเวลา”
.
การตกบันไดเรือจนขาหัก หลังใช้ชีวิตในท้องทะเลเป็นหลักไปแล้วประมาณ 5 ปี กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตห้วงนั้น “การตกบันไดเรือครั้งนั้นทำให้ขาของผมหัก และเรือก็ไม่ได้เข้าฝั่งหลายวันมาก เวลานั้นผมคิดทบทวนหลาย ๆ อย่าง ยังไม่ได้ดูแลคุณแม่เลย ผมที่อยู่กลางทะเล และบาดเจ็บขนาดนี้อีก ทุกคนจะเป็นห่วงขนาดไหน ด้วยเหตุนี้ผมจึงออกจากงานและกลับบ้าน”
.
เมื่อกลับบ้านได้สักพัก จึงตัดสินใจบวช “ผมไปบวชที่กาญจนบุรี เป็นวัดที่ไม่มีน้ำ ไฟฟ้า และห้ามใช้โทรศัพท์ ใช้ชีวิตด้วยการจุดตะเกียงไฟ คนที่บวชพร้อมกันหลายคนนั้นก็ได้ทยอยสึกไป ผมรับรู้มาจากหลายคนที่บวชว่าบวชแล้วทำให้ดีขึ้น ผมตอนแรกมีแพลนจะสึกแล้วเกิดความสงสัยในเรื่องนี้ จึงตัดสินใจที่จะค้นหาต่อ จนกระทั่งผมบวชไปกว่า 2 ปี มาได้สึกตอนช่วงอายุ 28 ปี”
.
จนช่วงปี 2561 เมื่ออายุ 29 ปี อดีตคนทำงานบนเรือเริ่มกลับมาสมัครงานประจำอีกครั้ง “บริษัทที่เรียกให้ผมเข้าไปสัมภาษณ์เป็นบริษัทแห่งหนึ่งในนครราชสีมา คือตำแหน่ง Supervisor มีหน้าที่ควบคุม Store และเมื่อฝ่ายใดต้องการอุปกรณ์ใด หน้าที่ของผมก็จะเป็นการส่งอุปกรณ์นั้น ๆ เข้าสายการผลิต” เขายังทำงานที่บริษัทนี้เรื่อยมา จนกระทั่งก่อนถูกคุมขัง…
.

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากแค่ยืนดูเฉย ๆ” วันที่ 14 ตุลา เปลี่ยนชีวิต
.
“ผมเริ่มมาให้ความสนใจการเมืองแบบจริงจัง และเริ่มตั้งคำถามต่าง ๆ ถึงความอภิสิทธิ์ชน น่าจะช่วงปีเดียวกับการเกิดขึ้นของกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง (ช่วงกลางปี 2563) และเริ่มค้นหา ศึกษาเพิ่มเติมผ่านช่องทางอื่น ๆ”
.
ภาณุภัทร์อธิบายว่าตัวเขาพอทราบข่าวการเมืองบ้าง และไม่ชอบการที่ประเทศไทยถูกรัฐประหารซ้ำ ๆ “แม้ผมจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอย่างจริงจัง แต่ย้อนไปในช่วงที่มีม็อบเสื้อเหลือง และเสื้อแดง ผมก็เทียวไปดูสถานการณ์แบบห่าง ๆ ครับ เพราะอยากรู้ว่าเป็นยังไง”
.
จนกระทั่งปลายปี 2563 เมื่อกระแสการชุมนุมของคนรุ่นใหม่เข้มข้นขึ้น ภาณุภัทร์ตัดสินใจเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ต.ค. 2563 เป็นครั้งแรก “การเข้าร่วมครั้งนี้ผมไปกับน้องที่รู้จักคนหนึ่ง ผมไม่รู้จักจำเลยคนอื่น ๆ ในคดีนี้เป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย ระหว่างที่ผมอยู่ในการชุมนุม ครอบครัวติดต่อแจ้งให้รีบกลับบ้าน หวั่นว่าวันนี้อาจจะมีการปราบการชุมนุม ให้ระวังตัวไว้ด้วย จนกระทั่งอยู่ ๆ ก็มีรถพระที่นั่งขับผ่านไป ผมไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากแค่ยืนดูเฉย ๆ และไม่นานผมก็กลับบ้าน”
.
ต่อจากนั้นอีกไม่กี่วัน เขาทราบว่ามีผู้ถูกดำเนินคดีจากการเหตุการณ์ครั้งนี้ “ตอนนั้นผมไม่ได้คิดว่าผมจะถูกดำเนินคดีใดเลย ผมไม่ใช่นักกิจกรรมแบบคนอื่น ๆ ที่ถูกหมายจับไป ผมก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ”
.
จนกระทั่งทางบ้านแจ้งว่าเขาได้รับหมายเรียกจากคดีหนึ่ง ตอนนั้นด้วยไม่รู้จักศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ภาณุภัทร์จึงเลื่อนเฟซบุ๊กไปเรื่อย ๆ ก่อนได้ขอความเหลือไปยังทนายวิญญัติ ชาติมนตรี
.
การถูกดำเนินคดีครั้งนี้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างมาก “คุณพ่อที่ผมรู้สึกเคยห่างเหินก่อนหน้านี้ ตอนนี้มาคอยให้กำลังใจ ส่วนคุณแม่เมื่อได้รับทราบข้อมูล คุณแม่ตกใจมาก พยายามสวดมนต์ ไหว้พระ ภาวนาให้ผมรอดจากคดีนี้ ส่วนพี่สาวไม่ได้พูดอะไร แต่จะคอยช่วยเหลือแทนมากกว่า”
.
ผลกระทบทางจิตใจอย่างหนักหนาตามมา “หากผมเห็นรถตำรวจ รถเรือนจำ ได้ยินเสียงไซเรน หรือแม้แต่การดูหนัง ข่าว คลิปที่มีรถตำรวจ ทุกครั้งที่ผมดู หรือเห็นจะมีอาการใจสั่น ไม่อยากเห็น ไม่อยากดู และคาดว่าน่าจะมีภาวะซึมเศร้าด้วย แต่ยังไม่เคยตรวจกับแพทย์ ก่อนหน้านี้ ผมพยายามไม่คิดถึงเรื่องคดี”
.
แม้จะเชื่อว่าตัวเองไม่ได้กระทำความผิดใด แต่คดีประเภทนี้ หลายคนก็รู้ว่าคาดเดาผลลัพธ์ได้ยาก อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ ความคำนึงเช่นนี้ทำให้การใช้ชีวิตของภาณุภัทร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงหลายปีหลัง “ผมไม่มีแพลนชีวิตใด ๆ เลยครับ เงินเดือนจากการทำงานทั้งหมด เดือนละ 5-6 หมื่นบาท ผมใช้หมดทุกเดือน ใช้ชีวิตแบบใช้เงินชนเดือน ไม่มีเงินเก็บสักบาท ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเก็บเงินไปทำไม เพราะหากโดนดำเนินคดีจริง ๆ แล้วต้องเข้าเรือนจำ ผมก็ไม่ได้ใช้เงินเอง”
.
ในช่วงนั้นเองที่เขาพบกับแฟนคนปัจจุบัน “ผมจำช่วงเวลาได้ไม่แน่นอนว่าตัวเองคบกับแฟนเมื่อใด แต่น่าจะรู้จักกันช่วงก่อนอัยการสั่งฟ้องคดี เขาช่วยดึงผมมาได้เยอะเลยครับ เข้าใจในเรื่องคดี ให้กำลังใจ และให้การช่วยเหลือตลอด”
.
แม้จะบอกว่าตอนนี้ตนเองยังมีคดี ทำให้ไม่อาจสร้างแผนของชีวิตในอนาคตร่วมกันแบบชัดเจนได้ “แฟนผมก็เข้าใจ และบอกว่าจะรอ ผมเริ่มมีแพลนขึ้นมาบ้างแล้ว เป็นแพลนที่ว่าผมจะให้แฟนออกจากการทำงาน และเพื่อนรุ่นเดียวกับผมหลายคนมีลูกแล้ว ผมก็คิดว่าอายุผมก็ควรจะมีลูกได้แล้ว หากมีลูกก็จะให้เขาเลี้ยงลูกเป็นหลัก ส่วนตัวเองจะทำหน้าที่หลักในการหาเงิน ผมเชื่อในความสามารถตัวเองว่าเลี้ยงดูแฟนกับลูกได้ และสำคัญที่สุด ผมจะกลับไปเลี้ยงดูคุณแม่ด้วยครับ คุณแม่คือคนที่ผมเป็นห่วงและคิดถึงที่สุด”
.
กับสิ่งที่ประทับใจในตัวคนรักมากที่สุด “ขณะนั้นความสัมพันธ์ของผมและเธอค่อนข้างไม่มั่นคง แต่ก็ยังนึกถึงผม และเสนอจดทะเบียนสมรสกับผม บอกหากผมต้องเข้าเรือนจำจริง ๆ อย่างน้อยการมีทะเบียนสมรสฉบับนี้อาจจะช่วยได้บ้าง 'ถึงจะแย่อย่างไร ก็ยังมีเราอยู่นะ' 'หนูจะทำหน้าที่ลูกแทนพี่เอง จะคอยดูแลพ่อแม่ให้' ประโยคนั้นทำให้ผมตัดสินใจที่จะจดทะเบียนสมรสกัน”
.
ย้อนไปในกระบวนการพิพากษาในศาลชั้นต้น ภาณุภัทร์ให้ความเห็นว่า “การพิจารณาคดีเป็นไปตามขั้นตอนเลยครับ ผู้พิพากษาจด และฟังความทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นออกมาปรากฏว่า 'ยกฟ้อง' ผมดีใจมากครับ และทำให้เชื่อมั่นว่าศาลมีความยุติธรรมอย่างแท้จริง และผมไม่เคยตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมเลย”
.
แต่คดียังไม่สิ้นสุดลง ระหว่างยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ ชายหนุ่มยังคอยติดตามข่าวสารในคดีทางการเมืองอยู่บ้าง “เห็นจากข่าวเรื่อย ๆ ว่ามีคดีใดบ้าง และแนวโน้มการตัดสินคดีเป็นอย่างไรบ้าง แต่ผมยังคงเชื่อว่าศาลอุทธรณ์คงจะมีการตัดสินในลักษณะเดียวกับศาลชั้นต้น”
.

“แพลนในชีวิตทุกอย่างของผมพังทลายไปทั้งหมด” ชีวิตหลังสูญเสียอิสรภาพ

จนเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2568 ทนายความได้ติดต่อแจ้งภาณุภัทร์ถึงวันนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ “ผมไม่กล้าที่จะแจ้งให้ใครทราบเลยว่าใกล้จะฟังคำพิพากษาแล้ว ผมเลือกที่จะบอกแฟนก่อน แต่ไม่กล้าที่จะบอกคุณพ่อคุณแม่ ผมเลือกบอกคุณพ่ออีกครั้งในช่วงสิ้นเดือนสิงหา ส่วนคุณแม่ผมเลือกที่จะแจ้งอีกที ไม่กี่วันก่อนพิพากษา”
.
ก่อนที่จะมาฟังคำพิพากษา เขาได้แจ้งหัวหน้างานและขอใช้วันลาพักร้อน “ในวันที่มีการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น ผมยังคงเชื่อเช่นเดิมว่าศาลจะยังคงยกฟ้อง ผมไม่ได้เผื่อใจมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมเริ่มใจไม่ดีก็ตั้งแต่ห้ามไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเข้าห้องพิจารณา หน้าห้องไม่มีการแปะป้ายแจ้งไว้ ดังนั้นคนในครอบครัวจึงอยู่นอกห้องพิจารณาทั้งหมด”
.
วันนั้นที่ห้องพิจารณาคดีที่ 608 ของศาลอาญา แม้ภาณุภัทร์จะพออนุมานได้ว่าอาจเป็นเพราะห้องพิจารณาเล็กเกินไป และมีคดีอื่น ๆ อีกด้วย อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเข้าไปสั่งห้ามการจดบันทึก จนเริ่มอ่านคำพิพากษาเขาพบว่า ส่วนใหญ่กลายเป็นการอ้างตามสิ่งที่โจทก์กล่าวหา

“ผู้พิพากษาอ่าน หยุด แล้วก็อ่าน หยุด ผมเห็นว่าศาลน่าจะค่อนข้างอึ้ง เมื่อผู้พิพากษาอ่านจบแล้วได้บอกเพียงว่าให้ไปดำเนินเรื่องประกันตัว แต่ศาลไม่มีอำนาจสั่งนะ ต้องเป็นศาลสูง”
.
คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พลิกคำตัดสิน กลายเป็นสิ่งทำลายความหวังและแผนชีวิตของภาณุภัทร์ทั้งหมด “แพลนในชีวิตทุกอย่างของผมพังทลายไปทั้งหมด ที่ผมเคยบอกว่าจะให้แฟนออกจากงาน จะเลี้ยงดู จะมีลูกในอนาคต และจะเลี้ยงคุณแม่ ในระหว่างนี้ถ้าผมยังไม่ได้ออกไป อาจจะไม่สามารถทำได้อีกแล้ว”
.
สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่า คือวันฟังคำพิพากษานั้น เป็นวันที่ฐานเงินเดือนของเขาถูกปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เงินเดือนสูงขึ้นถึงราว 70,000 บาท แต่เขาอาจต้องสูญเสียงานนี้ไป เมื่อไม่สามารถกลับไปทำได้ “สุดท้ายผมอาจจะต้องลาออกจากงานด้วย”
.
ในทุกปี เขาจะแบ่งเงินให้แม่ในวันคล้ายวันเกิดด้วย “แต่ปีนี้ และปีต่อ ๆ ไปผมไม่สามารถทำได้เลย” เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยความเศร้า
.
กับชีวิตหลังกำแพงเรือนจำ “การเข้ามาอยู่ในเรือนจำนั้นเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากอยู่ครับ แม้ผมจะปรับตัวได้บ้างแล้ว เพราะผมเคยใช้ชีวิตในลักษณะคล้าย ๆ กันมาก่อน เพียงแค่ตอนนั้นผมยังมีอิสรภาพในการใช้ชีวิตมากกว่า แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
.
เมื่อเผชิญความเครียดมาก ๆ เขาใช้วิธีตั้งจิตภาวนาและสวดคาถาชินบัญชร เพื่อให้ใจเย็นลง ภาณุภัทร์บอกว่าเขาไม่ได้ห่วงตัวเองเท่าไร แต่ห่วงคนข้างนอกมากกว่า “ถ้าคนข้างนอกร้องไห้ ผมก็คงร้องไห้เหมือนกัน” เขาพูดถึงผู้คนที่เขารัก
.
เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากฝากออกไปสู่โลภายนอก เขาบอกว่า “ผมไม่มีสิ่งใดที่อยากบอกเลยครับ ไม่รู้ว่าจะบอกอะไรดี หลาย ๆ คนคงเห็นคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ผมก็แค่อยากให้ทุกคนลองอ่าน และช่วยตั้งข้อสังเกตเท่านั้นดูครับ ถ้าไม่อคติจนเกินไป อาจจะเห็นความผิดปกติบางอย่าง”
.
“ท้ายที่สุดนี้ผมขอขอบคุณประชาชนทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่คอยให้กำลังใจ และให้ความช่วยเหลือในทุก ๆ เรื่อง” ภาณุภัทร์กล่าวร่ำลาการพบกันครั้งนี้
.
.
อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ลิ้งก์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1200507728586362&set=a.656922399611567