ธนาธร เชื่อจะเกิดประนีประนอมครั้งใหญ่ !
มติชนสุดสัปดาห์
Sep 23, 2025
ธนาธร ชี้ 20ปีที่ต่อสู้กันมาทุกฝ่ายล้ามาก เชื่อจะเกิดประนีประนอมครั้งใหญ่ เปลี่ยนผ่านให้สังคมเดินหน้าไปได้ พร้อมชี้ ถ้า อนาคตพรรคประชาชนได้ 250 มีทั้งดี ทั้งเสียซ้ำรอยไทยรักไทย
https://www.youtube.com/watch?v=31lekV0g9H4
......
‘Grand Compromise’ | ปราปต์ บุนปาน

26.09.2025
มติชนสุดสัปดาห์
ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน
“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เพิ่งโยน “ความหวัง-ความใฝ่ฝันก้อนใหญ่” เข้าสู่สังคมไทย ผ่านการเสนอแนวคิดเรื่อง “Grand Compromise” หรือ “การประนีประนอมใหญ่” ซึ่งเขาคาดเดาว่ากำลังจะอุบัติขึ้นและอาจค่อยๆ เห็นผลลัพธ์ในช่วงประมาณสองปีนับจากนี้
“การประนีประนอมใหญ่” ดังกล่าวจะเกิดขึ้นผ่านกระบวนการตั้งไข่ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เพื่อแสวงหา “ฉันทมติใหม่” ร่วมกันของประชาชนพลเมืองทุกกลุ่มในสังคม หลังจากพรรคประชาชนเลือกจะโหวต “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
นี่คือ “การมองโลกในแง่ดี-แง่บวก” ครั้งล่าสุดของธนาธร ผู้นำทางความคิดของ “กลุ่มการเมืองสีส้ม” อนาคตใหม่/ก้าวไกล/ประชาชน

“แนวโน้มด้านดี” จากข้อเสนอข้างต้นของธนาธรคืออะไร?
แนวโน้มด้านดีคือการที่สังคมได้รับรู้ว่าธนาธร ซึ่งแทบจะมีภาพลักษณ์เป็น “ผู้นำการปฏิวัติ” หรือมักถูกวาดภาพเป็นผู้นำทางการเมืองรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่าง “ถอนรากถอนโคน” เริ่มมองโลกด้วยสายตาที่ “อ่อนโยน” ลง
โดยเขาเห็นว่าทุกคนทุกฝ่ายที่ข้องเกี่ยวพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองไทยตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ล้วน “เหนื่อยล้า” กันหมด
แม้กระทั่งเขาและเพื่อนๆ ก็เหนื่อยล้าและพร้อมจะ “โอนอ่อน” ลง ด้วยการยอมโหวตสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาล แม้อาจมีอุดมการณ์ไม่ตรงกันเสียทีเดียว เพื่อให้กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้มีโอกาส “นับหนึ่ง”
อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ยังยอมรับตรงไปตรงมาว่า กระบวนการแก้ไข-ยกร่างรัฐธรรมนูญรอบนี้ จะไม่นำไปสู่การแตะต้องรัฐธรรมนูญมาตรา 1 และ 2 รวมถึงการปฏิรูปสถาบันฯ แต่เขาคาดหวังเพียงแค่การได้มาซึ่งกฎกติกาที่เป็นธรรมมากขึ้น และการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมด ซึ่งยังถูกคุมขังในเรือนจำ
พูดอีกอย่างคือการตั้งต้นทำรัฐธรรมนูญกันใหม่ มีสถานะเป็น “การประนีประนอมใหญ่” เพื่อปิดฉากความขัดแย้ง ซึ่งเริ่มต้นมาจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 (และยังยืดเยื้อเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน) ลง
ก่อนที่ทุกฝ่ายในสังคมการเมืองไทยจะได้สร้างสรรค์บทตอนใหม่ของประเทศร่วมกัน
นี่เป็นครั้งแรกๆ ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” มีท่าที “ยอมถอย” ทางการเมืองแบบชัดๆ
อย่างไรก็ดี “การประนีประนอมใหญ่” ก็ไม่อาจประสบสัมฤทธิผลได้ด้วยการ “ตบมือข้างเดียว” ของธนาธร
ในขั้นพื้นฐานที่สุด “Grand Compromise” หรือ “การประนีประนอมใหญ่” นั้นวางอยู่บนเงื่อนไขสำคัญสองข้อ
ข้อแรก ทุกฝ่ายในสังคมการเมืองไทยต้องยอมประนีประนอมหรือยอมผ่อนปรนจุดยืนอันแข็งกร้าวของพวกตนลงมา
ธนาธรและพรรคประชาชนดูจะมีท่าทีอ่อนลงแล้ว พรรคภูมิใจไทยและนักการเมืองดีๆ ร้ายๆ กลุ่มอื่นๆ ก็น่าจะพร้อมปรับตัวไปตามกระแส
แต่ไม่แน่ใจนักว่า พรรคเพื่อไทยที่ยังดูเมาหมัดกระฟัดกระเฟียดอยู่จะอยากประนีประนอมแค่ไหน คล้ายๆ กันกับกองทัพที่ยังดูเพลิดเพลินไปกับการเดินสายปลุกกระแส “ชาตินิยม” และการได้กำกับควบคุมนโยบายความมั่นคงในแบบ “สายเหยี่ยว” อย่างเต็มพิกัด
ที่สำคัญ ไม่มีใครทั่วไปหยั่งรู้ได้ว่า “ชนชั้นนำกลุ่มอื่นๆ” ในเครือข่าย “รัฐพันลึก” นั้นกำลังคิดเห็นคิดอ่านอะไรกันอยู่
ข้อสอง การประนีประนอมจะบังเกิดขึ้น เมื่อทุกฝ่ายต่างรู้สึกว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับ “ปัญหาหนักหนาสาหัส” ชุด/โจทย์เดียวกัน (แม้รายละเอียดปลีกย่อยอาจจะแตกต่างกัน)
โดยที่วิธีการเดิมๆ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ จนต้องร่วมกันแสวงหาทางออกใหม่ๆ
คล้ายคลึงกับที่สังคมไทยเคยมีฉันทมติว่าพวกเราต้องการ “รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540”
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหมือนหลายฝ่ายในบ้านเมืองเรากำลัง “ทุกข์ร้อน” กันคนละโรค คนละอาการ
บางคนอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน ส่วนบางคนอยากแก้ปัญหาปากท้องก่อน บางคนเสนอว่าต้องหาทางเปิดด่านตรงชายแดนไทย-กัมพูชาได้แล้ว ขณะที่บางคนบอกให้ปิดด่านไปยาวๆ (และสร้างรั้วกั้นสองประเทศไปเลย)
อาจจะมีเรื่องเดียวที่คนไทยส่วนใหญ่เห็นตรงกัน นั่นคือบ้านเมืองเรามีความเหลื่อมล้ำ-ไม่เท่าเทียมเด่นชัดขึ้น พวกเราจำนวนมากมีเงินในกระเป๋าน้อยลงหรือหาเงินได้ยากขึ้น พวกเราในฐานะประชากรราว 99 เปอร์เซ็นต์ควรมีคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ ที่ดีกว่านี้ ลูกหลานของเราควรมีโอกาสจะฝันถึงอนาคตของพวกเขาได้อย่างเปิดกว้างหลากหลายกว่านี้
ดังนั้น “การประนีประนอมใหญ่” หรือ “Grand Compromise” ตามภาษาของธนาธรจะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต่อเมื่อผู้มีบทบาททางการเมืองทุกกลุ่ม (ทั้งที่ผ่านการเลือกตั้งและไม่ผ่านการเลือกตั้ง) ต่างต้องยอม “อ่อนข้อ” ลงฝ่ายละนิดฝ่ายละหน่อย
นอกจากนี้ ทุกฝ่ายต้องตระหนักว่าพวกตนกำลังเผชิญหน้ากับ “ปัญหาชุดใหญ่” ร่วมกัน และปรารถนาจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาทั้งหมด เพื่อราษฎรที่ยังทุกข์ยากอยู่ในปัจจุบัน เพื่อคนรุ่นหลัง และเพื่อสังคมไทยในภายภาคหน้า
https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_861204