วันอังคาร, กันยายน 23, 2568

กระบวนการยุติธรรมวิบัติ จากกรณีศาลปกครองยืนกรานตามคณะกรรมการวัฒนธรรม ให้ถอดสถานะศิลปินแห่งชาติของ สุชาติ สวัสดิศรี

จากกรณีศาลปกครองพิพากษา ยกฟ้องคดีที่ สุชาติ สวัสดิศรี อดีตศิลปินแห่งชาติฟ้องคณะกรรมการวัฒนธรรม และเรียกค่าเสียหาย ๑.๓ ล้านบาทจากกระทรวงยุติธรรม ต่อการที่คณะกรรมการลงมติลับ ถอดเขาจากศิลปินแห่งชาตินั้น

มีข้อสังเกตุต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยได้ว่า นับวันจะยิ่งวิบัติมากขึ้น จากการยืนยันเรื่องคณะกรรมการลงมติในการประชุมลับ ไม่เปิดให้ผู้ถูกกล่าวหาใช้สิทธิชี้แจง “อีกทั้งยังตีความกฎหมายกำกวมตามอำเภอใจ” เป็นสิ่งที่ชอบแล้วด้วยบทกฎหมายต่างๆ

แท้จริงคดีความเรื่องนี้ ผู้ที่ถืออำนาจกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการวัฒนธรรมหรือศาลปกครอง ล้วนตีความกฎหมายโดยบิดเบือนด้วยกันทั้งสิ้น เพื่อให้เข้าเป้าหรือตามธง เนื่องเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับการหมิ่นกษัตริย์ ที่เมื่อไปถึงมือแล้วน้อยนักจะปล่อยรอด

ในที่นี้มีสองกรณีที่ต้องกล่าวถึง กรณีแรกจากมติของคณะกรรมการวัฒนธรรม ที่ประชุมลับเพื่อทำการถอดถอนเกียรติยศในสถานะศิลปินสาขาวรรณศิลป์ของสุชาติ โดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าตัวชี้แจงแก้ต่าง นั่นก็ผิดหลักการอย่างมหันต์อยู่แล้ว

ความเห็นของที่ประชุมในคำตัดสิน ว่าสุชาติโพสต์ข้อความหมิ่นเหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในเฟชบุ๊ค จนต้องยกเลิกสถานะศิลปินแห่งชาติของเขา เป็นการลงโทษเกินกว่าเหตุ ในเมื่อใช้คำ หมิ่นเหม่ เท่ากับมิได้ละเมิด หรือทำให้เสื่อมเสีย

เพราะความหมายของคำนี้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ระบุว่าเป็น “อาการที่เข้าไปหรืออยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ใกล้อันตรายหรือเสียหาย เป็นต้น” จึงเพียงแค่ ล่อแหลมเท่านั้น และจะอ้างว่าใช้คำผิดพลาดก็ไม่ได้ ต้องยกผลประโยชน์ให้แก่ผู้ได้รับโทษ

พอมาถึงศาลปกครอง ก็พิพากษาบนข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง จะอ้างตัวบทกฎหมายใดๆ ก็ตามแต่ ในเมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีไม่ถูกต้องเสียแล้ว การคล้อยตามผู้ลงมติ จึงเป็นคำตัดสินที่ผิดพลาด แทนที่จะยกฟ้อง ควรที่จะกลับไปสอบสวนกรรมการวัฒนธรรม

เพราะคนเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้สุชาติ สวัสดิศรีเสื่อมเสีย สูญสิ้นซึ่งเกียรติศักดิ์อันพึงมีในฐานะศิลปินที่ยิ่งยง โดยมิควร

(https://www.facebook.com/Prachatai/posts/MWVoeDp4N6)