จากกรณีศาลปกครองพิพากษา ‘ยกฟ้อง’ คดีที่ สุชาติ สวัสดิศรี อดีตศิลปินแห่งชาติฟ้องคณะกรรมการวัฒนธรรม และเรียกค่าเสียหาย ๑.๓ ล้านบาทจากกระทรวงยุติธรรม ต่อการที่คณะกรรมการลงมติลับ ถอดเขาจากศิลปินแห่งชาตินั้น
มีข้อสังเกตุต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยได้ว่า นับวันจะยิ่งวิบัติมากขึ้น จากการยืนยันเรื่องคณะกรรมการลงมติในการประชุมลับ ไม่เปิดให้ผู้ถูกกล่าวหาใช้สิทธิชี้แจง “อีกทั้งยังตีความกฎหมายกำกวมตามอำเภอใจ” เป็นสิ่งที่ชอบแล้วด้วยบทกฎหมายต่างๆ
แท้จริงคดีความเรื่องนี้ ผู้ที่ถืออำนาจกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการวัฒนธรรมหรือศาลปกครอง ล้วนตีความกฎหมายโดยบิดเบือนด้วยกันทั้งสิ้น เพื่อให้เข้าเป้าหรือตามธง เนื่องเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับการหมิ่นกษัตริย์ ที่เมื่อไปถึงมือแล้วน้อยนักจะปล่อยรอด
ในที่นี้มีสองกรณีที่ต้องกล่าวถึง กรณีแรกจากมติของคณะกรรมการวัฒนธรรม ที่ประชุมลับเพื่อทำการถอดถอนเกียรติยศในสถานะศิลปินสาขาวรรณศิลป์ของสุชาติ โดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าตัวชี้แจงแก้ต่าง นั่นก็ผิดหลักการอย่างมหันต์อยู่แล้ว
ความเห็นของที่ประชุมในคำตัดสิน ว่าสุชาติโพสต์ข้อความหมิ่นเหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในเฟชบุ๊ค จนต้องยกเลิกสถานะศิลปินแห่งชาติของเขา เป็นการลงโทษเกินกว่าเหตุ ในเมื่อใช้คำ ‘หมิ่นเหม่’ เท่ากับมิได้ละเมิด หรือทำให้เสื่อมเสีย
เพราะความหมายของคำนี้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ระบุว่าเป็น “อาการที่เข้าไปหรืออยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ใกล้อันตรายหรือเสียหาย เป็นต้น” จึงเพียงแค่ ‘ล่อแหลม’ เท่านั้น และจะอ้างว่าใช้คำผิดพลาดก็ไม่ได้ ต้องยกผลประโยชน์ให้แก่ผู้ได้รับโทษ
พอมาถึงศาลปกครอง ก็พิพากษาบนข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง จะอ้างตัวบทกฎหมายใดๆ ก็ตามแต่ ในเมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีไม่ถูกต้องเสียแล้ว การคล้อยตามผู้ลงมติ จึงเป็นคำตัดสินที่ผิดพลาด แทนที่จะยกฟ้อง ควรที่จะกลับไปสอบสวนกรรมการวัฒนธรรม
เพราะคนเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้สุชาติ สวัสดิศรีเสื่อมเสีย สูญสิ้นซึ่งเกียรติศักดิ์อันพึงมีในฐานะศิลปินที่ยิ่งยง โดยมิควร