วันเสาร์, กันยายน 27, 2568

อะไรคือข้อท้าทายของรัฐบาลอนุทิน ในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนด้วยตัวละครเดิม ๆ จะได้ผลแค่ไหน ?


แนวทาง "แยกกันเดินร่วมกันตี" ของรัฐบาลอนุทิน-ทหาร จะจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ได้หรือไม่

ปวีณา นิลบุตร
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว

"วันนี้แยกกันเดินร่วมกันตี… ทหารก็คิดยุทธศาสตร์ไป รัฐบาลก็ต้องหาวิธีที่ต้องกดดัน" นายอนุทิน ชาญวีรกุล กล่าวเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา ในงานแถลงผลการศึกษา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 67

แม้นายอนุทินจะยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่เขาก็ได้เอ่ยถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาแล้วหลายครั้ง โดยมีเนื้อหาแปลความได้ว่ารัฐบาลจะมอบหมายให้ทหารเป็นผู้นำในด้านยุทธศาสตร์ และฝ่ายไทยที่ "ได้เปรียบทุกประตู ไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านแสนยานุภาพ" จะไม่ยอมอ่อนข้อให้กัมพูชา

"ดังนั้นถ้าเราได้เปรียบแบบนี้ แล้วจะให้ไปเจรจาแล้วแบบผมยอมก่อน คุณทำอย่างนี้ก่อนได้ไหม ผมคิดว่าพวกพี่ [ผบ.เหล่าทัพ] ที่นั่งในห้องนี้กับผม สะกดคำพวกนี้ไม่เป็น" นายอนุทิน ระบุในงาน วปอ.

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ย. นายกฯ คนที่ 32 ก็ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า พื้นที่ชายแดนที่กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง อยู่ในเขตกฎอัยการศึก จึงเป็นอำนาจการตัดสินใจของแม่ทัพภาคที่ 2 โดยตรง และแม่ทัพก็สามารถ "ใช้ดุลยพินิจของการทหารได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเหลียวหลัง" เพราะรัฐบาลพร้อมที่จะ "ให้ไฟเขียวผ่านตลอด"

เอกสารคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 25 ก.ย. ยังระบุถึงแนวทางการแก้ปัญหาชายแดนด้วยว่า จะให้มีการทำประชามติเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MoU) ระหว่างไทย-กัมพูชา ปี 2543 และ 2544

ทั้งนี้ นายอนุทินย้ำด้วยว่ารัฐบาลเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่จะคืนอำนาจให้ประชาชนภายหลังการแถลงนโยบายสี่เดือน ในห้วงเวลาที่สั้นเช่นนี้ เราคาดหวังอะไรได้บ้างจากการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของนายกฯ คนที่ 32 บีบีซีไทย หาคำตอบกับผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความเข้าใจเรื่องไทย-กัมพูชา

คำพูดของนายกฯ ต่อเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา มีนัยอย่างไร ?



ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกกับบีบีซีไทยว่า คำพูดบางคำของนายอนุทิน เรื่องการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา นั้น "มีความน่ากังวล" เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง

"ผมคิดว่าคำพูดบางอย่างส่งสัญญาณอยู่พอสมควร คำพูดที่หลายคนฟังแล้วอาจจะตกใจ คือให้ทหารไปคิดยุทธศาสตร์ เหมือนกับส่งสัญญาณว่ารัฐบาลผลักปัญหากัมพูชาทั้งหมดไปฝากอนาคตไว้กับฝ่ายทหารหรือกับกองทัพ ถ้ามองบริบททางยุทธศาสตร์ รัฐบาลเองอาจต้องทำความเข้าใจว่า การคิดยุทธศาสตร์เป็นอำนาจของรัฐบาล" ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าว

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงรายนี้ บอกด้วยว่าปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นปัญหาที่มีหลายโจทย์ โดยสามารถแบ่งออกมาเป็น 6 ขอบเขต ได้แก่ ด้านการทหาร, ด้านการเมือง, ด้านการทูต, ด้านโซเชียลมีเดีย, ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม

ดังนั้นคำพูดของนายอนุทิน ที่บอกว่ารัฐบาลมอบให้กองทัพเป็นผู้นำคิดยุทธศาสตร์ จึงถือเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะด้านเดียว จากทั้งหมด 6 ด้านข้างต้น ตามทัศนะของ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ



"รัฐบาลที่เข้ามาใหม่อาจจะต้องนั่งลงเพื่อมองภาพมหาภาคของปัญหาความขัดแย้ง" เขา ระบุ


นายอนุทิน ระบุว่า พื้นที่ชายแดนที่กลับมาตึงเครียดอยู่ในเขตกฎอัยการศึก และ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 สามารถ "ใช้ดุลยพินิจของการทหารได้อย่างเต็มที่"

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ยกตัวอย่างอีกคำพูดที่ถูกกล่าวบนเวที วปอ. ของนายอนุทิน ที่อาจมีนัยทางการเมือง เช่นคำว่า "แยกกันเดินร่วมกันตี" ซึ่ง "เป็นภาษาฝ่ายซ้ายเก่า" หรืออาจตีความได้ว่า รัฐบาลจะให้ทหารทำงานในส่วนความมั่นคงไป และรัฐบาลก็จะทำด้านอื่น เพื่อมารวมกันจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

ทว่า คำเหล่านี้เป็นเพียงข้อกำหนดทิศทางการแก้ปัญหา (directive) แต่สิ่งที่หน่วยงานราชการต้องการคือข้อคำสั่งเชิงนโยบายและแนวทางปฏิบัติ และการสร้างยุทธศาสตร์ทางออก (exit strategy) เพื่อพาประเทศออกจากปัญหา ตามทัศนะของ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ

ด้าน ดร.ดิกบี เจมส์ เวรน นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อดีตนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Deakin ในประเทศออสเตรเลีย ตั้งข้อสังเกตกับบีบีซีไทยว่า คำพูดของนายอนุทินที่ดูยอมมอบอำนาจให้กับทหารนั้น อาจเป็นเพราะความคิดที่ว่า หากรัฐบาลพลเรือนใดก็ตาม แม้จะเป็นพรรคอนุรักษนิยมอย่างพรรคภูมิใจไทย ก็อาจสามารถถูกล้มลงได้ถ้าไม่ยอมประนีประนอมกับทหาร

"แน่นอนว่าการมีนายกฯ ที่เป็นฝั่งอนุรักษนิยม และเห็นพ้องต้องกันกับฝ่ายรอยัลลิสต์และกองทัพ ก็จะทำให้นายกฯ กับทหารมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่างไรก็ตาม หากกองทัพเกิดไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลขึ้นมา เราก็รู้ดีกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น" ดร.ดิกบี ระบุ

เขากล่าวต่อไปว่าคำพูดของนายกฯ เป็นการ "เพิ่มอำนาจในมือของ พล.ท.บุญสิน" แม่ทัพภาคที่ 2 และเมื่อ "กองทัพกุมอำนาจ" ก็จะเกิดปัญหาตามมา



"รัฐบาลจะพยายามแสดงภาพว่ารัฐบาลมีอำนาจควบคุมและกองทัพก็อยู่ใต้รัฐบาล แต่เราก็รู้กันดีว่าท้ายที่สุดแล้วก็จะเป็นกองทัพที่มีสิทธิในการตัดสินใจ [ในเรื่องเกี่ยวกับชายแดน]" ดร.ดิกบี กล่าว

แก้ปัญหาชายแดนด้วยตัวละครเดิม ๆ จะได้ผลแค่ไหน ?


พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ปัจจุบันเป็น รมว.กระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลนายอนุทิน เขาเคยเป็น รมช.กระทรวงกลาโหม ในยุคนายกฯ แพทองธาร

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ อธิบายว่า การสร้างยุทธศาสตร์แก้ปัญหาชายแดนจำเป็นต้องมีความร่วมมือกันของ "จตุรัสความมั่นคงไทย" ซึ่งประกอบไปด้วย นายกรัฐมนตรี, รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง, รมว.กระทรวงกลาโหม, รมว.กระทรวงการต่างประเทศ และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทว่าเมื่อมองดูโฉมหน้าของผู้ที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าวใน ครม. ของนายอนุทิน ก็จะเห็น "ตัวละครเดิม ๆ" จากสมัยยุคนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เช่น
  • พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีต รมช.กระทรวงกลาโหม ในยุคนายกฯ แพทองธาร ปัจจุบันรับตำแหน่ง รมว.กระทรวงกลาโหม
  • นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. ยังคงตำแหน่งเดิมต่อจากยุคนายกฯ แพทองธาร
  • นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตผู้ช่วย รมว.กระทรวงการต่างประเทศ สมัยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ปัจจุบันเป็น รมว.กระทรวงการต่างประเทศ
นั่นทำให้ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าวว่าความคาดหวังต่อการแก้ปัญหาเรื่องชายแดนของรัฐบาลนี้ "จะมากหรือน้อย ไม่กล้าตอบตรง ๆ" เพราะขึ้นอยู่กับว่า "นายกฯ มีความคิดมิติใหม่ที่จะขับเคลื่อนทิศทางในการแก้ปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน" เพราะมีอย่างน้อยสามตัวละครที่มาจาก "ระบบข้าราชการเก่า"

อีกข้อท้าทายสำคัญของรัฐบาลนายอนุทิน ตามทัศนะของนักวิชารายนี้คือ "ทำยังไงที่รัฐบาลจะผลักดันให้กลไกความมั่นคงไทยทั้งระบบสามารถเดินแบบสอดประสานรับกัน ภายใต้การควบคุมกำกับในเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล"


ดร.ดิกบี เจมส์ เวรน นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ย้ำว่าการให้กองทัพไทยมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือนย่อมจะทำให้มีปัญหาตามมา

ขณะที่ ดร.ดิกบี บอกกับบีบีซีไทยว่า ปัญหาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอาจจะยังมีอยู่บ้าง แต่ก็จะไม่ปะทุความรุนแรง และอาจสงบลงในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากว่าการปะทะที่เกิดขึ้นอาจมีปัจจัยมาจาก "ความตรึงเครียดของการเมืองภายในประเทศไทย"

"ชนชั้นนำทางการเมือง เช่นกลุ่มรอยัลลิสต์ ฝ่ายอนุรักษนิยม และตระกูลชินวัตร อาจมีกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการมีปัญหาบริเวณชายแดนที่เกิดขึ้น เพราะมันช่วยให้พวกเขาได้ควบคุมการเมืองภายในประเทศ" ดร.ดิกบี กล่าว

เขาเสริมด้วยว่า ความขัดแย้งบริเวณชายแดนได้กลายมาเป็นแนวโน้ม (trend) ที่จะเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อมีการแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองในประเทศไทย

"ผมคาดว่าทุกอย่างจะเริ่มสงบลงเมื่อรัฐบาลไทยเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นและรวบรวมอำนาจได้ และได้ไล่ตระกูลชินวัตรออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายทุกอย่างจะเผยออกมา และเรื่องชายแดนจะเงียบสงบลงไปเอง ผมคาดว่าเราจะได้เห็นสิ่งนี้ในอีกราวหกเดือนข้างหน้า" ดร.ดิกบี แสดงทัศนะ

กระแสชาตินิยม ใครคุม-ใครได้ประโยชน์ ?

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ระบุว่า ตั้งแต่เกิดการปะทะบริเวณชายแดนระหว่างทหารไทยและกัมพูชาตั้งแต่เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา กระแสชาตินิยมในไทยก็พุ่งสูงขึ้นโดยทันที และส่วนหนึ่งก็มาจากสื่อ

"บทบาททั้งสื่อไทยและกัมพูชาอาจจะไม่ค่อยต่างกัน แม้หลายฝ่ายจะเชื่อว่าระดับทางสังคมของสังคมไทยสูงกว่า และน่าจะทำให้สื่อไทยอยู่ในลักษณะที่มีวุฒิภาวะมากกว่า แต่ผมคิดว่าวันนี้เห็นชัดว่าเรากำลังเผชิญกับการปลุกกระแสที่ไม่หยุด" เขากล่าว

นักวิชาการด้านความมั่นคงผู้นี้อธิบายด้วยว่า ในเวลาที่กระแสชาตินิยม "ถูกผลักดันหรือปั่นง่าย ๆ" รัฐบาลที่เข้ามาใหม่ก็ควร "ระมัดระวังที่จะไม่เอาตัวเองเข้าไปติดกับดักกระแสสื่อแบบนี้" ไม่เช่นนั้น รัฐบาลก็อาจ "ถูกบังคับให้คิดและเดินภายใต้กรอบคิดแบบชาตินิยม" ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่มากขึ้น

นอกจากนี้ กระแสชาตินิยมยังเป็นอุปสรรคสำคัญทำให้ความรุนแรงชายแดน "ลดระดับลงไม่ได้" หรือ "ล่อแหลมที่จะนำไปสู่การใช้กำลัง" โดยผลกระทบที่จะตามมาหากเป็นเช่นนั้น คือผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

"เศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นหนึ่งในส่วนที่ใหญ่ของเศรษฐกิจไทย พูดง่าย ๆ ในระยะยาวเราทิ้งการค้าชายแดนพวกนี้ไม่ได้ เราไม่สามารถที่จะบอกว่าเราปล่อยความขัดแย้งตรงนี้คารังคาซังไปเรื่อยโดยที่ไม่สนใจเศรษฐกิจชายแดน สินค้าผ่านแดนทั้งหลาย รวมถึงสินค้าที่เข้าไปในตลาดใหญ่อย่างกัมพูชาได้" นักวิชาการด้านความมั่นคงรายนี้ระบุ

เขาย้ำด้วยว่า ถ้านักการเมืองคิดปั่นกระแสชาตินิยม นั่นก็จะเป็นเพียงการตอบโจทย์ระยะสั้นเท่านั้น เพราะเมื่อทำแล้วผลจะเป็นลบกับรัฐบาลเสียมากกว่า



"ถ้ากระแสชาตินิยมขยายตัวกลายเป็นความขัดแย้งถึงขั้นกลับมาสู่การใช้กำลังรอบใหม่ รัฐบาล[ของนายอนุทิน]ก็จะถูกกระแสบีบไม่ต่างกับรัฐบาลแพทองธาร" และนั่นอาจทำให้ใครก็ตาม "ไม่กล้าเล่นกับกระแสชาตินิยมเต็มตัว เพราะมันเป็นความเสี่ยงที่ล่อแหลมกับคะแนนทางการเมือง" ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าวกับบีบีซีไทย



ขณะที่ ดร.ดิกบี ตั้งข้อสังเกตว่ากระแสชาตินิยมจะเป็นผลดีอย่างมากต่อพรรคที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่จะไม่เป็นผลดีต่อประเทศและเศรษฐกิจไทย

"การปั่นกระแสชาตินิยมของผู้คน ในขณะที่ประเทศไม่ได้มีภัยทางการทหาร หรือปัญหาเศรษฐกิจอันใหญ่หลวงอย่างแท้จริง ก็ชัดเจนว่าเป็นการใช้กระแสชาตินิยมเป็นเครื่องมือ... มันจะมีผลต่อผลการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยจะเป็นผลดีต่อกลุ่มรอยัลลิสต์ อนุรักษนิยม และกองทัพ แต่จะไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ และไทยก็มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจอยู่แล้ว"

นักวิชาการจากออสเตรเลียเสริมด้วยว่า ความขัดแย้งที่ไม่ถึงขั้นเป็น "วิกฤตที่เป็นภัยต่อการดำรงอยู่ (existential crisis)" แต่เกิดขึ้น "ในพื้นที่ที่เล็กมากเพียงไม่กี่ตารางกิโลเมตรตรงชายแดน" ก็แสดงให้เราเห็นว่าการปั่นกระแสชาตินิยม "ล้วนแต่เป็นการชักจูงล้วน ๆ มันแทบจะไม่มีข้ออ้างอื่นใดเลยนอกเสียจากการทำเพื่อมุ่งหวังทางการเมือง และมันไม่ใช่เพื่อเป้าหมายด้านอาณาเขตดินแดนเลย" ดร. ดิกบี กล่าว

ข้อควรระวัง "ประชามติยกเลิก MoU 43 และ 44"



จากเอกสารคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลนายกฯ อนุทิน มีความตั้งใจที่จะจัดทำประชามติเพื่อขอความเห็นในเรื่องการยกเลิก MoU 2543 และ 2544

แต่ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าวเตือนว่ากระแสที่เรียกร้องให้มีการยกเลิก MoU 2543 และ 2544 อาจเกิดมาจากกระแสชาตินิยม และขาดความเข้าใจต่อข้อตกลงสองฉบับนี้อย่างแท้จริง

"ถ้าใครมีโอกาสได้อ่านเอกสารทั้งสองฉบับ จะทราบว่าทั้งสองฉบับไม่มีอะไรมากกว่าการเป็นกรอบของการเจรจาเมื่อประเทศทั้งสองฝ่ายเกิดข้อพิพาทขึ้น หรือเป็นข้อกำหนดว่าในข้อพิพาทชายแดนที่เกิดขึ้นนั้น อะไรคือเอกสารและหลักฐานที่จะใช้ เอกสารทั้งสองฉบับนี้ไม่ได้มีนัยที่บ่งบอกว่าใครเสียเปรียบใคร" ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ อธิบาย

เขาเสริมว่า การที่รัฐบาลตัดสินใจทำประชามติอาจเป็นเพราะแรงกดดันจากสังคม แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ควร

"รัฐบาลอาจต้องคิดเรื่องนี้มากขึ้น อย่าไหลไปกับกระแสอนุรักษนิยมที่ต้องการให้ยกเลิกสิ่งนี้ทั้งหมด เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐบาลยกเลิก MoU 43 และ 44 ทางออกที่เป็นประโยชน์จะตกแก่ฝ่ายกัมพูชา" เพราะ MoU 2543 และ 2544 ระบุไว้ว่าเมื่อเกิดปัญหา ไม่อนุญาตให้สร้างสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม และให้หยุดทุกอย่างอยู่กับที่

อย่างไรก็ตาม ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ย้ำด้วยว่าแม้รัฐบาลจะมีอายุสั้น แต่ก็มีหน้าที่วางแผนการยุทธศาสตร์และคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนให้ได้ไม่ต่างกับรัฐบาลอื่น ๆ

"รัฐบาลไม่ว่าหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน หรือสี่เดือน หรือสี่เดือนบวก เมื่อรับสถานการณ์เป็นรัฐบาล มันมีภาระหน้าที่หลักคือการคลี่คลายสถานการณ์ คงไม่ได้มากไม่ได้น้อยกว่านั้น หรือจะวางกรอบที่จะคลี่คลายความขัดแย้งต่อไปอย่างไรในอนาคต" ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าว

ขณะที่ ดร.ดิกบี แสดงทัศนะว่าอำนาจในการจัดการปัญหาชายแดนของไทย มักขึ้นอยู่กับฝ่ายอนุรักษนิยม และรอยัลลิสต์ และนั่นเป็นสิ่งที่ "จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป" แต่จะทำให้รัฐบาลของนายอนุทิน ที่เป็นฝ่ายอนุรักษนิยมสามารถคลี่คลายปัญหาชายแดนได้ส่วนหนึ่ง

"ทุกสิ่งอย่างจะราบรื่น [กว่าสมัยรัฐบาลแพทองธาร] ปัญหาจะหายไปทันตาเห็นและนั่นจะทำให้รัฐบาลดูดี เพราะสังคมจะพูดว่า ว้าว รัฐบาลนี้แก้ปัญหาได้และเจรจาสำเร็จ" ดร.ดิกบี กล่าวสรุป

https://www.bbc.com/thai/articles/cewn8ykl1nzo