
Suvipan Pornawalai
7 hours ago
·
เมื่อวาน! ที่มีหลุมยุบ! ขนาดยักษ์ หน้ารพ.วชิระ จนเป็นข่าวไปทั่วโลก
วันนี้พี่ต้อย จะขอสมมุติมายืนหน้ารพ.วชิระ นี้โดยจะหลับตาอย่างสงบ! และย้อนไทม์แมชชีน กลับไปเมื่อ 120 ปีที่แล้ว!
#ขอเชิญทุกท่านมาฟังเรื่องที่ค้นหาได้ยากมาก
แต่เป็นประวัติศาสตร์ ที่น่าสนใจ ใส่ใจ เพลินๆ!
———————————————————
คุณพ่อ มีลูก 20 คน ผมคือลูกชาย1ในนั้น! คุณพ่อของผม ไม่เคยไปยุโรป หรือไปสหรัฐ
แต่รสนิยมของคุณพ่อ เห็นได้จากการประดับไปด้วย ของตกแต่งบ้านราคาแพง ที่ชนชั้นสูงในสังคม ระดับราชวงศ์ ยุค ร.5 นำมาประดับบ้านกัน บ้านพ่อของผมมีสิ่งนั้นครบ
พ่อ คงอยู่ในแวดวงที่ คลุกคลีนั่งฟัง ชนชั้นสูง สมัย ร.5 พูดคุยกัน
เพราะพ่อมีเครื่องถ้วยชาม แก้วเจียระไน ช้อนกาแฟ ชุดกาแฟ ที่พ่อสั่งทำจากเครื่องเงินของอังกฤษ และเอาขึ้นเรือมาส่ง
และมีการตีตราสัญญลักษณ์ชื่อพ่อ ลงบนทุกถ้วย ทุกชาม ไม่แตกต่างจากบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง
พ่อเคยเล่าแค่สั้นๆ ว่า สมัยเริ่มเติบโตพ่อ เข้ารับราชการเป็นราชองครักษ์ในรัชกาลที่5
รสนิยมการแต่งตัวของพ่อ ไต่ไปถึงระดับ สั่งทายาททุกคน และสั่งสอนลูกทุกคน ในการแต่งตัว
ห้ามใส่กางเกงจีน ห้ามสวมเกี๊ยะ!
ในช่วงยุคสมัยก่อนนี้ จนข้าม ไปถึงยุคจอมพล ป.
หลังจากพ่อลาออกจากที่ทำงานเก่า ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่โต แห่งนึง(เดี๋ยวเล่าตอนท้ายว่าบริษัทอะไร)
พ่อหันมาศึกษาความรู้ทุกอย่าง ทุกแขนง เท่าที่จะศึกษาได้ ด้วยตนเอง
โดยการอ่าน ด้วยการสะสมหนังสือนานาชนิด เต็มห้องสมุดของพ่อ และอ่านหนังสือ อย่างเป็นบ้า เป็นหลัง
ภาษาอังกฤษที่พ่อพูดได้ ในช่วงสมัย ร.5 นั้น
พ่อไม่ได้ไปเรียนที่ไหนเลย ได้จากการอ่านหนังสือและศึกษาด้วยตัวเองทั้งหมด
ลูกไปเปิดหนังสือดู ก็พบลายมือของพ่อ ขีดเขียนลงไปสำทับเพื่อการเรียนรู้เต็มไปหมด
จนพ่อสามารถพูดกับฝรั่ง ในบริษัทที่พ่อทำงานได้
ภาษาอังกฤษในยุคนั้น หรือก่อนนั้น
ถ้าไม่ใช่คนในรั้วในวัง เจ้าขุนมูลนาย หรือเป็นพวกขุนนางบุนนาค ที่ได้ไปร่ำเรียนในยุโรป
ก็น้อยคนนัก ที่จะพูดอ่านเขียนได้
ยกเว้นเรียนจากพระ บาทหลวงคริสต์ ในนี้
แต่คนกลุ่มพวกนั้น ก็มีกรอบจำกัดในสังคมอีก
หนังสือที่พ่อศึกษา ก็มีทั้งเกี่ยวกับราชวงศ์ ยันถึงเรื่องเกี่ยวกับภาพยนตร์ ที่พ่อก็สนใจ!
ในช่วงยุคกลางรัตนโกสินทร์ที่เปิดกว้างในศิลปะทางตะวันตกอย่างหลากหลาย ที่ไหลพุ่งเข้ามาในสยาม
เทรนด์อะไรที่ผู้คน ในชนชั้นนำสนใจ ก็จะเป็นเทรนด์กระแส ชี้นำไปตรงนั้น เพราะต้องใช้เงินสูง
และพ่อก็เข้าไปให้ความสนใจกับกลุ่มสังคมชั้นสูงนี้ด้วย
ทั้งการสะสมพระพุทธรูป กลุ่มนกพิราบ กลุ่มไม้ดัด ไม้มงคล
พ่อเข้าไปร่วมหมด แบบมีองค์ความรู้ เพราะอ่านจากหนังสือเพิ่ม
และสิ่งหนึ่งที่ลูกทุกคนจะรู้ คือ พ่อมีความสามารถในการจัดบ้าน และจัดสวน ได้เก่งมาก และดูแลได้อย่างดี
ตอนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
พ่อก็มามุ่งให้ความสนใจอ่านและศึกษา เกี่ยวกับการเมือง และงานเทศบาล เพราะเป็นของใหม่ที่น่าศึกษา
แต่สุดท้าย เมื่อพ่ออยู่ในวัยมีอายุแล้ว
พ่อเข้าไปศึกษางานกฎหมาย โดยตรงด้วยความทุ่มเท
แล้วก็เหมือนเดิม พ่อคือนักอ่านตัวยง
เลือกจับหลักของการอ่านได้อย่างรวดเร็วในหนังสือเล่มใหญ่
พ่ออ่านรวดเดียวจบ และสามารถจับใจความสำคัญในหนังสือเล่มนั้นได้อย่างแม่นยำ
หลักสูตรที่โรงเรียนด้านกฎหมาย ที่ควรใช้เวลา2ปี
ด้วยความอ่านเร็ว อ่านเยอะ อ่านมาก ตีความได้ตรง พ่อใช้เวลาศึกษาแค่ 1 ปี
เวลาที่เรา(ผู้เล่าที่เป็นลูกชายของพ่อ) ก็ศึกษางานด้านกฎหมายมา แล้วถึงทางตันและ ไปปรึกษาถามพ่อ
พ่อ ก็จะตอบปัญหาข้อกฎหมายนั้นได้อย่างรวดเร็ว และระบุมาตราฯ ออกมาอย่างแม่นยำ
พ่อไม่ได้เปิดสำนักงานทนาย หรือ ป่าวประกาศ ว่ารับงาน หรือแสวงหาเงินตรา
แต่พ่อจะรับงานเท่าที่ เห็นว่า ควรจะรับ
ไม่ได้ขวนขวาย ในเรื่องทรัพย์
ตอนหลัง พ่อกลายเป็นทนายความที่โด่งดัง และมีความสามารถมากคนนึงในยุคนั้น ในนาม #พระอรรถวสิษฐสุธี
ที่ฝรั่งอยู่ในศาลในยุคนั้น ยังเอ่ยปากชมแกว่า
“ไม่เคยเห็นทนายคนไหน? ซักค้านพยานฝ่ายตรงข้าม ได้เก่งอย่างนี้มาก่อน!
วันที่มีการสู้กันในศาล ระหว่างทนายดัง 2 ฝั่ง!
ทนายอาวุโสผู้สูงวัย ชี้หน้า ด่าพ่อ ว่า
“ เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ เอามาใช้ที่นี่ไม่ได้นะ
ไม่ทราบว่าท่านไปได้มาจากไหน(ประชด)”
พ่อก็ตอบสั้นๆว่า
“ก็ได้มาจากท่านแหละ ที่เป็นบรมครูของผม!”
พ่อรับราชการในงานด้านกฎหมาย จนในช่วงท้ายของชีวิต จนเกษียณอายุ
และได้บรรดาศักดิ์เป็น พระอรรถวสิษฐสุธี
บรรดาศักดิ์ในยุคเก่า ถ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า อรรถฯ ให้จำไว้เลยว่าคุณพระ คนนี้เก่งงาน และมีความสามารถหลากหลาย ในการใช้ฝีปาก
อย่างพี่ต้อยนี่ ก็เป็นหลวงประดิษฐ์พิจารณาหาเรื่องได้!555
ในบันทึกที่พี่ต้อย อ่านและเอามาเล่าอ้างนี้
ลูกชายของคุณพ่อ ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าคุณพ่อเกิดที่ไหน? ปีไหน? และเรียนจบถึงระดับไหน? เรียนด้านไหน?
หรือบางที คุณพ่ออาจไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมาสูงเลยก็ได้ แต่อาจจะมีทักษะที่สูง และความใฝ่รู้ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเรา
แต่ดูจากสิ่งที่พ่อสร้างไว้
พ่อน่าจะเกิดในช่วง 15 ปีแรก ของรัชกาลที่5
ในช่วงที่หัวหิน เริ่มเติบโตในยุคปลายรัชกาลที่6 ที่เหล่าราชวงศ์ เจ้าขุน มูลนาย ไปจับจองปลูกสร้างบ้านพักตากอากาศกัน ที่นั่น
พ่อก็พาลูกๆ ไปตากอากาศที่หัวหิน
พ่อ จะเตรียมเสบียงพร้อม ให้ลูกๆ และครอบครัว
มีทั้ง หมูแฮม เนยแข็ง เหล้า บรั่นดี ชา และ กาแฟ ไม่ต่างจากที่ราชวงศ์ชั้นสูง เวลาไปตากอากาศกันที่หัวหิน ในช่วงนั้น
ในบั้นปลายชีวิตพ่อ มีความคิดแต่ ที่จะให้บุตรและภรรยา มีความสุข ความเจริญ มากกว่าตัวพ่อเอง
เพราะ พ่ออาจจะมีความตระหนักแก่ตนเองแล้วว่า
“ความทะเยอทะยาน อาจจะนำมาซึ่งความทุกข์”
(หนังสืองานศพ ก็จะมีเส้นการบรรยายแบบนี้
เป็นเรื่องปกตินะครับ)
ความทะเยอทะยานของพ่อ ในเรื่องเล่า หนังสืองานศพ ของพระอรรถวสิษฐ์สุธี คืออะไร?
มาฟังอาจารย์ต้อยกันครับ!
#ที่จะเข้าเรื่องหลุมยุบแล้ว
ปีพศ.2451 ในพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต คนใกล้ตัวในหลวง
พูดกันจนเข้าพระกรรณ(หู)ในหลวง ว่า
พระสรรพการหิรัญกิจ แกปลูกบ้านตนเองอย่างใหญ่มโหฬาร ทรงเรเนซ็องส์ยุโรป และนีโอคลาสสิค ด้วยช่างยุโรป ตัวคฤหาสน์บ้าน
ก็มีลักษณะคล้ายพระที่นั่งอัมพรสถาน
เครื่องประดับ ตกแต่งในบ้าน ก็มีรสนิยม ใกล้เคียงกับการประดับในพระที่นั่งอัมพรฯ
รั้วรอบขอบเขต กำแพงของบ้านพระสรรพการฯ
ก็ก่อเป็นกำแพงสูงสีขาว คล้ายรั้ววัง เพียงแต่ ยอดกำแพง เปลี่ยนจากใบเสมา เป็นยอดสี่เหลี่ยมแปะโคมไฟหัวเสา กำแพงสูงสีขาวยาวเหยียดติดถนน2ด้าน
“เราคงต้องไปดูด้วยตาของเราเอง”
คือพระราชดำรัสในหลวง กับคนใกล้ตัว
และในหลวง ก็ทรงเสด็จไปเยี่ยมชม!
บ้านพระสรรพการหิรัญกิจ
และคุณพระฯ ก็เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รอรับเสด็จฯ
หลังในหลวง เสด็จกลับฯ
ทรงมีพระราชหัตถเลขา เล่าเรื่องนี้ ให้เจ้าดารารัศมี พระชายา ได้ฟังว่า
เราไปบ้านพระสรรพการฯ หลังนี้ มาแล้ว!
แกปลูกสร้าง และประดับได้เหมือนพระที่นั่งอัมพรสถานทุกอย่าง
เพียงแต่มีขนาดสัดส่วน ที่เล็กกว่า!
พระราชหัตถเลขา ที่บันทึกไว้ปีนั้น
ในปีพศ.2451
และหลังจากนั้นอีก2ปี รัชกาลที่5
ก็ทรงเสด็จสวรรคต
ซึ่งก่อนหน้านั้น ภายในขอบเขตรั้วบ้านของ พระสรรพการหิรัญกิจ
สร้างสิ่งแปลกใหม่ในกรุงสยาม ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน! จนคนทั้งพระนคร กล่าวถึง
๏แกสร้าง #เขาดิน ซึ่งเป็นภูเขาหินจำลองมนุษย์สร้าง และมีรูปปั้นสัตว์ #ในนิยายหิมพานต์ อยู่รอบเป็นวงกลม ในบริเวณเขาดินนี้ และเปิดให้ประชาชนเข้ามาชมฟรี
๏แกสร้างสวนสาธารณะ ให้ประชาชนเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นคนแรก
แต่เป็นลักษณะเก็บเงินค่าใช้บริการ
มีทั้งแบบตั๋วรายครั้ง รายวัน หรือ
ตั๋วกิตติมศักดิ์เหมาจ่ายรายปี/รายเดือนให้กับชนชั้นสูง ที่มีเงิน
ซึ่งในยุคนั้นไม่มีสวนสาธารณะให้ประชาชนพักผ่อน หย่อนใจมาก่อน
๏แกสร้างโรงละคร ที่เป็นอาคารสูงทันสมัยเหมือนในยุโรป
และปรับเปลี่ยนให้ใช้เป็น #โรงฉายหนังภาพยนตร์แห่งแรกในสยาม ได้ด้วย
โดยเก็บเงินค่าตั๋ว เข้าชม เช่นกัน
รวมๆ สิ่งเหล่านี้ของพระสรรพการฯ เรียก
#เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ก็ว่าได้
ตรงนี้ ถูกเรียกว่า #ป๊ากสามเสน Park Samsen
ก็ต้องย้อนกลับไปอีกว่า
พระสรรพการฯ แกรวยจากไหน?
ต้นตระกูลแก ประกอบอาชีพอะไร?
และเอาเงินตรงไหน? มาทำตรงนี้ได้!
ก็ต้องย้อนกลับไปอีกว่า
ด้วยความที่แกเป็นคนมีความสามารถและมีองค์ความรู้รอบด้าน
ในช่วงที่แกอ่านเยอะ ศึกษาเยอะ
แต่ได้รับมอบหมายจาก #กรมพระคลังหลวง ในยุคนั้น โดยกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย พระโอรสในรัชกาลที่4
มอบหมายให้ พระสรรพการฯ
เข้ามาเป็นผู้จัดการ #ธนาคารสยามกัมมาจล siam commercial bank เป็นคนแรก
หรือปัจจุบันคือธนาคารไทยพาณิชย์ SCB
และต่อมาพระสรรพการฯ แกเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ2
อันดับ1 คือ กรมหมื่นมหิศร ตัวแทน กรมพระคลังหลวง
ทุกวันนี้อะไรหลายอย่างใน SCB ก็จะใช้สัญลักษณ์ กรมหมื่นมหิศร เป็นลักษณะ แทน founder ทั้งชื่อห้องประชุม ชื่ออาคาร หรือบางส่วนของพื้นที่ และต่อมา กรมหมื่นมหิศรได้รับการวางให้เป็น บิดาแห่งธนาคารไทย
ตามบันทึกประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น
ที่บันทึก กันต่อมา ระบุว่า
พระสรรพการหิรัญกิจ บริหารงานในธนาคารผิดพลาด จนธนาคารขาดทุนจำนวนมาก ช่วงเหตุการณ์นั้น ในแผ่นดินรัชกาลที่6 แล้ว!
ซึ่งหมายเลข1 ของธ.สยามกัมมาจล คือ
กรมหมื่นมหิศรฯ จากกรมพระคลังหลวง ก็ด่วนจากไปอย่างกระทันหัน ในปัญหาสุขภาพ ด้วยวัณโรค ในปี2450
และต่อจากนั้น ใครอยากทราบว่า พระสรรพการฯบริหารผิดพลาดอย่างไร? มีรายละเอียดอย่างไร?
คุณต้องไปค้นหาเองที่ ห้องสมุดไทยพาณิชย์นะครับ ไปถามคุณอาทิตย์ หมายเลข1 scb ก็ได้! บอกพี่ต้อยฝากมาถาม?555
ธนาคารสยามกัมมาจล ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก! จากการบริหารผิดพลาดของผู้จัดการธนาคาร คือ พระสรรพการฯ
ท่านมหิศรฯ ก็จากไปแล้ว
สุดท้าย! การแก้ไขปัญหาเคสนี้! ที่เงินคลังหลวง เกี่ยวข้องในการลงทุนด้วย
คือ ในหลวง ร.6 ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวนสูงมาก คือ 250,000 บาท
อัดเข้าไป เพื่อให้ธนาคารนี้เดินต่อไปได้
ไม่งั้นก็ต้องยอมล้ม!
จากนั้นก็ยึด #บ้านหิมพานต์ ที่ชาวบ้านเรียกกันในตอนนั้น ของพระยาสรรพการ หรือ
“ป๊ากสามเสน” พร้อมที่ดินขนาดใหญ่ ก็ตกเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์
และในหลวง ก็ทรงมอบทรัพย์ที่ดินนี้ ทันที!
เพื่อให้ใช้เป็นสถานพยาบาล ที่ทางราชการกำลังหาสถานที่สร้างพยาบาล กัน
ซึ่งต่อมาจึงตั้งชื่อว่า “วชิรพยาบาล”
และต่อมาพัฒนาเป็น โรงพยาบาลวชิระ
ตามพระนามพระองค์ คือ วชิราวุธ
บ้านพระสรรพการฯ มี 2 หลัง ปัจจุบันคงเหลืออนุรักษ์ให้ชมแค่1หลัง คือ หลังสีเหลือง ที่มองเห็นจากหลุมยุบ 
ส่วนหลังใหญ่เคยเป็นสีชมพู ที่สร้างเหมือนพระที่นั่งอัมพรสถาน อยู่ลึกเข้าไป ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกทุบทิ้งลงไปนานแล้ว!
จากนั้น พระสรรพการหิรัญกิจ ก็ทิ้งชีวิตเดิมทั้งหมด!
ใช้เวลา reborn ตัวเองทั้งหมด!
ย้อนกลับไปหน้าแรก ย่อหน้าที่3 ที่เราเล่าเอาไว้
แกใช้ชีวิตช่วงหลังบั้นปลาย อย่างสมถะ จนถึงแก่กรรม ในปี2513
หลังจากแก หมดลมไปตั้งหลายปีแล้ว
กว่าจะรวมญาติลูกหลานได้ครบ
ก็ประชุมเพลิงหลังจากแกถึงแก่กรรมไปหลายปีในปี 2513
เรื่องที่เราเล่านี้ เพิ่งออกมาเปิดเผยไม่นาน แต่คนก็อ่านกันแค่กลุ่มเล็กๆ
เราเห็นว่า น่าสนใจมาก!
แล้วก็มาเกิดเหตุ หลุมยุบหน้าบ้านพระสรรพการฯ เราจึงนึกขึ้นได้
จึงเอามาเล่าให้เป็นเกร็ดความรู้ให้กว้างไกลกัน
250,000 บาทของในหลวง ร.6 ในวันนั้น!
ปัจจุบัน เป็นสัดส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ อันดับ1 ของ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ที่ประมาณ 23% ของ scb
เฉพาะปันผล scb ปีที่แล้ว2567 ปีเดียว
ผู้ถือหุ้นอันดับ1 มีรายรับจากปันผลประมาณ 7,000 ล้านบาท
แต่ก็เป็นสัดส่วนของผลตอบแทนในรอบระยะประมาณ 110 ปี ที่สะสมการเติบโตมั่งคั่งมาเรื่อยๆ
เรื่องนี้ไม่ควรโยงเข้าไปลบหลู่สถาบันนะครับ
เพราะการลงทุนทุกอย่าง มีความเสี่ยง!
เป็นไปได้ ทั้งทางบวก และทางลบ นะครับ
ธนาคารเจ้าฯ ธนาคารราชวงศ์ฯ ที่พระบรมวงศานุวงค์ ร่วมถือหุ้น และก่อตั้งกัน อยู่ในยุคนึง
ทั้งก่อนสงครามโลก และหลังสงครามโลก 
ก็เจ๊ง! กันไม่เป็นท่า หลายธนาคาร!
ธนาคารจีนเจ้าสัว ที่ยืนหยัด จนถึงทุกวันนี้ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หลังสงครามโลกครั้งที่2
เค้าไม่สนใจเจ้าฯร่วมหุ้นกันนะครับ ในตอนนั้น!
มีแต่เชิญกลุ่มอำนาจทหารทั้งนั้น ที่ปรับเปลี่ยน เชิญให้มานั่งเป็นบอร์ด ตามยุคสมัยของอำนาจ #เพื่อคอยปกป้องธุรกิจตนเอง!
จึงกลายเป็นว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลก 2488 ยันถึงตอนนี้ ปี2568
นาน 80 ปี #โมเดลนี้ทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยน
ยุคคสช. คือ ยุคที่ทหารนั่งในบอร์ดกระจายเต็มไปหมดทั้งประเทศ ทั้งภาครัฐและเอกชน
พอหลังจากที่มีอุบัติเหตุรุนแรงกับแก คือ พระสรรพการฯ หรือช่วงหลัง แก reborn คือ พระอรรถวสิษฐสุธี ไปแล้ว
ในช่วงนั้นประวัติศาสตร์ ที่แกสร้างไว้
เหมือนค่อยๆจางหาย และถูกลบลืมไป
และแกเอง ก็คงอยากลืมเช่นกัน และไม่อยากเล่าเรื่องนี้ และขอจบเรื่องนี้ ตั้งแต่แกออกมาจากจุดนั้นแล้ว
แม้กระทั่งในเรื่องนี้ ลูกชายแกยังไม่อยากเล่าในหนังสืองานศพ
แต่กลายเป็นว่า มาปรากฏ เพราะมีคนไปตามเสาะหาเพื่อสานต่อ เรื่องราวที่แท้จริง จนพบในหนังสืองานศพของแก ที่มีความหนาเพียง 50 หน้า
ที่ลูกชายแก นำรายละเอียดของชีวิตพ่อ
มาเล่าไว้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ลูกๆ และวงศ์ตระกูล
เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ถ้ามาเล่า สร้างเป็นหนังจะน่าสนใจมาก เพราะถ้าจะสร้างหนังจริง ทีมงานผลิต ก็จะมีการอัพเดทเป็นค้นคว้าเพิ่มเติมอีก เพื่อใช้คำว่า สร้างจากเรื่องจริง
แต่ไม่เอา ราชสกุลยุคล มาสร้างนะครับ555
วันนี้มันมี #หลุมยักษ์อยู่ตรงหน้าบ้าน ป๊ากสามเสน ของพระสรรพการฯ
เราเห็นว่าเรื่องที่เราศึกษามา และตามหาอ่านมา น่าสนใจมาก
จึงฝากให้พวกคุณเก็บไว้เล่าให้ลูกหลานฟังด้วย และช่วยค้นคว้าเพิ่มเติม มันจะได้ ไม่หายไปจากประวัติศาสตร์ อีก!
ประวัติศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว นะครับ!
มันสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา
หากค้นพบ ข้อมูล และหลักฐานใหม่
และนำมาเสนอเพื่อให้เป็นทางเลือกเพิ่มให้ศึกษา อีกแนวทางนึง หลังจากจำ topic แบบเก่ามานาน
ก่อนที่จะปักใจเชื่อ!
ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หลายยุคที่ผ่านมาก็เช่นกัน
แต่ก็น้อยคนนัก ที่จะกล้าเข้าไปแตะ!
ด้วยเหตุผล! แบบที่พวกคุณเห็น!
และแทนที่จะถกกันด้วยภูมิปัญญา!
กลับถกกันด้วยความรุนแรง จากบทลงโทษ
ที่หากใครนำเสนอให้ต่างจากเดิม! แล้วก็เอา 112 มาขู่อีก!
มันจึงเหมือนประวัติศาสตร์ ที่ถูก freeze!
และแตกต่างจากประวัติศาสตร์ของชนชาติอื่นครับ
#จบ
ขอบคุณมาก ที่ติดตามนะครับ
<< คิดถึงอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ >>
·
เมื่อวาน! ที่มีหลุมยุบ! ขนาดยักษ์ หน้ารพ.วชิระ จนเป็นข่าวไปทั่วโลก
วันนี้พี่ต้อย จะขอสมมุติมายืนหน้ารพ.วชิระ นี้โดยจะหลับตาอย่างสงบ! และย้อนไทม์แมชชีน กลับไปเมื่อ 120 ปีที่แล้ว!
#ขอเชิญทุกท่านมาฟังเรื่องที่ค้นหาได้ยากมาก
แต่เป็นประวัติศาสตร์ ที่น่าสนใจ ใส่ใจ เพลินๆ!
———————————————————
คุณพ่อ มีลูก 20 คน ผมคือลูกชาย1ในนั้น! คุณพ่อของผม ไม่เคยไปยุโรป หรือไปสหรัฐ
แต่รสนิยมของคุณพ่อ เห็นได้จากการประดับไปด้วย ของตกแต่งบ้านราคาแพง ที่ชนชั้นสูงในสังคม ระดับราชวงศ์ ยุค ร.5 นำมาประดับบ้านกัน บ้านพ่อของผมมีสิ่งนั้นครบ
พ่อ คงอยู่ในแวดวงที่ คลุกคลีนั่งฟัง ชนชั้นสูง สมัย ร.5 พูดคุยกัน
เพราะพ่อมีเครื่องถ้วยชาม แก้วเจียระไน ช้อนกาแฟ ชุดกาแฟ ที่พ่อสั่งทำจากเครื่องเงินของอังกฤษ และเอาขึ้นเรือมาส่ง
และมีการตีตราสัญญลักษณ์ชื่อพ่อ ลงบนทุกถ้วย ทุกชาม ไม่แตกต่างจากบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง
พ่อเคยเล่าแค่สั้นๆ ว่า สมัยเริ่มเติบโตพ่อ เข้ารับราชการเป็นราชองครักษ์ในรัชกาลที่5
รสนิยมการแต่งตัวของพ่อ ไต่ไปถึงระดับ สั่งทายาททุกคน และสั่งสอนลูกทุกคน ในการแต่งตัว
ห้ามใส่กางเกงจีน ห้ามสวมเกี๊ยะ!
ในช่วงยุคสมัยก่อนนี้ จนข้าม ไปถึงยุคจอมพล ป.
หลังจากพ่อลาออกจากที่ทำงานเก่า ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่โต แห่งนึง(เดี๋ยวเล่าตอนท้ายว่าบริษัทอะไร)
พ่อหันมาศึกษาความรู้ทุกอย่าง ทุกแขนง เท่าที่จะศึกษาได้ ด้วยตนเอง
โดยการอ่าน ด้วยการสะสมหนังสือนานาชนิด เต็มห้องสมุดของพ่อ และอ่านหนังสือ อย่างเป็นบ้า เป็นหลัง
ภาษาอังกฤษที่พ่อพูดได้ ในช่วงสมัย ร.5 นั้น
พ่อไม่ได้ไปเรียนที่ไหนเลย ได้จากการอ่านหนังสือและศึกษาด้วยตัวเองทั้งหมด
ลูกไปเปิดหนังสือดู ก็พบลายมือของพ่อ ขีดเขียนลงไปสำทับเพื่อการเรียนรู้เต็มไปหมด
จนพ่อสามารถพูดกับฝรั่ง ในบริษัทที่พ่อทำงานได้
ภาษาอังกฤษในยุคนั้น หรือก่อนนั้น
ถ้าไม่ใช่คนในรั้วในวัง เจ้าขุนมูลนาย หรือเป็นพวกขุนนางบุนนาค ที่ได้ไปร่ำเรียนในยุโรป
ก็น้อยคนนัก ที่จะพูดอ่านเขียนได้
ยกเว้นเรียนจากพระ บาทหลวงคริสต์ ในนี้
แต่คนกลุ่มพวกนั้น ก็มีกรอบจำกัดในสังคมอีก
หนังสือที่พ่อศึกษา ก็มีทั้งเกี่ยวกับราชวงศ์ ยันถึงเรื่องเกี่ยวกับภาพยนตร์ ที่พ่อก็สนใจ!
ในช่วงยุคกลางรัตนโกสินทร์ที่เปิดกว้างในศิลปะทางตะวันตกอย่างหลากหลาย ที่ไหลพุ่งเข้ามาในสยาม
เทรนด์อะไรที่ผู้คน ในชนชั้นนำสนใจ ก็จะเป็นเทรนด์กระแส ชี้นำไปตรงนั้น เพราะต้องใช้เงินสูง
และพ่อก็เข้าไปให้ความสนใจกับกลุ่มสังคมชั้นสูงนี้ด้วย
ทั้งการสะสมพระพุทธรูป กลุ่มนกพิราบ กลุ่มไม้ดัด ไม้มงคล
พ่อเข้าไปร่วมหมด แบบมีองค์ความรู้ เพราะอ่านจากหนังสือเพิ่ม
และสิ่งหนึ่งที่ลูกทุกคนจะรู้ คือ พ่อมีความสามารถในการจัดบ้าน และจัดสวน ได้เก่งมาก และดูแลได้อย่างดี
ตอนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
พ่อก็มามุ่งให้ความสนใจอ่านและศึกษา เกี่ยวกับการเมือง และงานเทศบาล เพราะเป็นของใหม่ที่น่าศึกษา
แต่สุดท้าย เมื่อพ่ออยู่ในวัยมีอายุแล้ว
พ่อเข้าไปศึกษางานกฎหมาย โดยตรงด้วยความทุ่มเท
แล้วก็เหมือนเดิม พ่อคือนักอ่านตัวยง
เลือกจับหลักของการอ่านได้อย่างรวดเร็วในหนังสือเล่มใหญ่
พ่ออ่านรวดเดียวจบ และสามารถจับใจความสำคัญในหนังสือเล่มนั้นได้อย่างแม่นยำ
หลักสูตรที่โรงเรียนด้านกฎหมาย ที่ควรใช้เวลา2ปี
ด้วยความอ่านเร็ว อ่านเยอะ อ่านมาก ตีความได้ตรง พ่อใช้เวลาศึกษาแค่ 1 ปี
เวลาที่เรา(ผู้เล่าที่เป็นลูกชายของพ่อ) ก็ศึกษางานด้านกฎหมายมา แล้วถึงทางตันและ ไปปรึกษาถามพ่อ
พ่อ ก็จะตอบปัญหาข้อกฎหมายนั้นได้อย่างรวดเร็ว และระบุมาตราฯ ออกมาอย่างแม่นยำ
พ่อไม่ได้เปิดสำนักงานทนาย หรือ ป่าวประกาศ ว่ารับงาน หรือแสวงหาเงินตรา
แต่พ่อจะรับงานเท่าที่ เห็นว่า ควรจะรับ
ไม่ได้ขวนขวาย ในเรื่องทรัพย์
ตอนหลัง พ่อกลายเป็นทนายความที่โด่งดัง และมีความสามารถมากคนนึงในยุคนั้น ในนาม #พระอรรถวสิษฐสุธี
ที่ฝรั่งอยู่ในศาลในยุคนั้น ยังเอ่ยปากชมแกว่า
“ไม่เคยเห็นทนายคนไหน? ซักค้านพยานฝ่ายตรงข้าม ได้เก่งอย่างนี้มาก่อน!
วันที่มีการสู้กันในศาล ระหว่างทนายดัง 2 ฝั่ง!
ทนายอาวุโสผู้สูงวัย ชี้หน้า ด่าพ่อ ว่า
“ เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ เอามาใช้ที่นี่ไม่ได้นะ
ไม่ทราบว่าท่านไปได้มาจากไหน(ประชด)”
พ่อก็ตอบสั้นๆว่า
“ก็ได้มาจากท่านแหละ ที่เป็นบรมครูของผม!”
พ่อรับราชการในงานด้านกฎหมาย จนในช่วงท้ายของชีวิต จนเกษียณอายุ
และได้บรรดาศักดิ์เป็น พระอรรถวสิษฐสุธี
บรรดาศักดิ์ในยุคเก่า ถ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า อรรถฯ ให้จำไว้เลยว่าคุณพระ คนนี้เก่งงาน และมีความสามารถหลากหลาย ในการใช้ฝีปาก
อย่างพี่ต้อยนี่ ก็เป็นหลวงประดิษฐ์พิจารณาหาเรื่องได้!555
ในบันทึกที่พี่ต้อย อ่านและเอามาเล่าอ้างนี้
ลูกชายของคุณพ่อ ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าคุณพ่อเกิดที่ไหน? ปีไหน? และเรียนจบถึงระดับไหน? เรียนด้านไหน?
หรือบางที คุณพ่ออาจไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมาสูงเลยก็ได้ แต่อาจจะมีทักษะที่สูง และความใฝ่รู้ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเรา
แต่ดูจากสิ่งที่พ่อสร้างไว้
พ่อน่าจะเกิดในช่วง 15 ปีแรก ของรัชกาลที่5
ในช่วงที่หัวหิน เริ่มเติบโตในยุคปลายรัชกาลที่6 ที่เหล่าราชวงศ์ เจ้าขุน มูลนาย ไปจับจองปลูกสร้างบ้านพักตากอากาศกัน ที่นั่น
พ่อก็พาลูกๆ ไปตากอากาศที่หัวหิน
พ่อ จะเตรียมเสบียงพร้อม ให้ลูกๆ และครอบครัว
มีทั้ง หมูแฮม เนยแข็ง เหล้า บรั่นดี ชา และ กาแฟ ไม่ต่างจากที่ราชวงศ์ชั้นสูง เวลาไปตากอากาศกันที่หัวหิน ในช่วงนั้น
ในบั้นปลายชีวิตพ่อ มีความคิดแต่ ที่จะให้บุตรและภรรยา มีความสุข ความเจริญ มากกว่าตัวพ่อเอง
เพราะ พ่ออาจจะมีความตระหนักแก่ตนเองแล้วว่า
“ความทะเยอทะยาน อาจจะนำมาซึ่งความทุกข์”
(หนังสืองานศพ ก็จะมีเส้นการบรรยายแบบนี้
เป็นเรื่องปกตินะครับ)
ความทะเยอทะยานของพ่อ ในเรื่องเล่า หนังสืองานศพ ของพระอรรถวสิษฐ์สุธี คืออะไร?
มาฟังอาจารย์ต้อยกันครับ!
#ที่จะเข้าเรื่องหลุมยุบแล้ว
ปีพศ.2451 ในพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต คนใกล้ตัวในหลวง
พูดกันจนเข้าพระกรรณ(หู)ในหลวง ว่า
พระสรรพการหิรัญกิจ แกปลูกบ้านตนเองอย่างใหญ่มโหฬาร ทรงเรเนซ็องส์ยุโรป และนีโอคลาสสิค ด้วยช่างยุโรป ตัวคฤหาสน์บ้าน
ก็มีลักษณะคล้ายพระที่นั่งอัมพรสถาน
เครื่องประดับ ตกแต่งในบ้าน ก็มีรสนิยม ใกล้เคียงกับการประดับในพระที่นั่งอัมพรฯ
รั้วรอบขอบเขต กำแพงของบ้านพระสรรพการฯ
ก็ก่อเป็นกำแพงสูงสีขาว คล้ายรั้ววัง เพียงแต่ ยอดกำแพง เปลี่ยนจากใบเสมา เป็นยอดสี่เหลี่ยมแปะโคมไฟหัวเสา กำแพงสูงสีขาวยาวเหยียดติดถนน2ด้าน
“เราคงต้องไปดูด้วยตาของเราเอง”
คือพระราชดำรัสในหลวง กับคนใกล้ตัว
และในหลวง ก็ทรงเสด็จไปเยี่ยมชม!
บ้านพระสรรพการหิรัญกิจ
และคุณพระฯ ก็เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รอรับเสด็จฯ
หลังในหลวง เสด็จกลับฯ
ทรงมีพระราชหัตถเลขา เล่าเรื่องนี้ ให้เจ้าดารารัศมี พระชายา ได้ฟังว่า
เราไปบ้านพระสรรพการฯ หลังนี้ มาแล้ว!
แกปลูกสร้าง และประดับได้เหมือนพระที่นั่งอัมพรสถานทุกอย่าง
เพียงแต่มีขนาดสัดส่วน ที่เล็กกว่า!
พระราชหัตถเลขา ที่บันทึกไว้ปีนั้น
ในปีพศ.2451
และหลังจากนั้นอีก2ปี รัชกาลที่5
ก็ทรงเสด็จสวรรคต
ซึ่งก่อนหน้านั้น ภายในขอบเขตรั้วบ้านของ พระสรรพการหิรัญกิจ
สร้างสิ่งแปลกใหม่ในกรุงสยาม ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน! จนคนทั้งพระนคร กล่าวถึง
๏แกสร้าง #เขาดิน ซึ่งเป็นภูเขาหินจำลองมนุษย์สร้าง และมีรูปปั้นสัตว์ #ในนิยายหิมพานต์ อยู่รอบเป็นวงกลม ในบริเวณเขาดินนี้ และเปิดให้ประชาชนเข้ามาชมฟรี
๏แกสร้างสวนสาธารณะ ให้ประชาชนเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นคนแรก
แต่เป็นลักษณะเก็บเงินค่าใช้บริการ
มีทั้งแบบตั๋วรายครั้ง รายวัน หรือ
ตั๋วกิตติมศักดิ์เหมาจ่ายรายปี/รายเดือนให้กับชนชั้นสูง ที่มีเงิน
ซึ่งในยุคนั้นไม่มีสวนสาธารณะให้ประชาชนพักผ่อน หย่อนใจมาก่อน
๏แกสร้างโรงละคร ที่เป็นอาคารสูงทันสมัยเหมือนในยุโรป
และปรับเปลี่ยนให้ใช้เป็น #โรงฉายหนังภาพยนตร์แห่งแรกในสยาม ได้ด้วย
โดยเก็บเงินค่าตั๋ว เข้าชม เช่นกัน
รวมๆ สิ่งเหล่านี้ของพระสรรพการฯ เรียก
#เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ก็ว่าได้
ตรงนี้ ถูกเรียกว่า #ป๊ากสามเสน Park Samsen
ก็ต้องย้อนกลับไปอีกว่า
พระสรรพการฯ แกรวยจากไหน?
ต้นตระกูลแก ประกอบอาชีพอะไร?
และเอาเงินตรงไหน? มาทำตรงนี้ได้!
ก็ต้องย้อนกลับไปอีกว่า
ด้วยความที่แกเป็นคนมีความสามารถและมีองค์ความรู้รอบด้าน
ในช่วงที่แกอ่านเยอะ ศึกษาเยอะ
แต่ได้รับมอบหมายจาก #กรมพระคลังหลวง ในยุคนั้น โดยกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย พระโอรสในรัชกาลที่4
มอบหมายให้ พระสรรพการฯ
เข้ามาเป็นผู้จัดการ #ธนาคารสยามกัมมาจล siam commercial bank เป็นคนแรก
หรือปัจจุบันคือธนาคารไทยพาณิชย์ SCB
และต่อมาพระสรรพการฯ แกเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ2
อันดับ1 คือ กรมหมื่นมหิศร ตัวแทน กรมพระคลังหลวง
ทุกวันนี้อะไรหลายอย่างใน SCB ก็จะใช้สัญลักษณ์ กรมหมื่นมหิศร เป็นลักษณะ แทน founder ทั้งชื่อห้องประชุม ชื่ออาคาร หรือบางส่วนของพื้นที่ และต่อมา กรมหมื่นมหิศรได้รับการวางให้เป็น บิดาแห่งธนาคารไทย
ตามบันทึกประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น
ที่บันทึก กันต่อมา ระบุว่า
พระสรรพการหิรัญกิจ บริหารงานในธนาคารผิดพลาด จนธนาคารขาดทุนจำนวนมาก ช่วงเหตุการณ์นั้น ในแผ่นดินรัชกาลที่6 แล้ว!
ซึ่งหมายเลข1 ของธ.สยามกัมมาจล คือ
กรมหมื่นมหิศรฯ จากกรมพระคลังหลวง ก็ด่วนจากไปอย่างกระทันหัน ในปัญหาสุขภาพ ด้วยวัณโรค ในปี2450
และต่อจากนั้น ใครอยากทราบว่า พระสรรพการฯบริหารผิดพลาดอย่างไร? มีรายละเอียดอย่างไร?
คุณต้องไปค้นหาเองที่ ห้องสมุดไทยพาณิชย์นะครับ ไปถามคุณอาทิตย์ หมายเลข1 scb ก็ได้! บอกพี่ต้อยฝากมาถาม?555
ธนาคารสยามกัมมาจล ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก! จากการบริหารผิดพลาดของผู้จัดการธนาคาร คือ พระสรรพการฯ
ท่านมหิศรฯ ก็จากไปแล้ว
สุดท้าย! การแก้ไขปัญหาเคสนี้! ที่เงินคลังหลวง เกี่ยวข้องในการลงทุนด้วย
คือ ในหลวง ร.6 ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวนสูงมาก คือ 250,000 บาท
อัดเข้าไป เพื่อให้ธนาคารนี้เดินต่อไปได้
ไม่งั้นก็ต้องยอมล้ม!
จากนั้นก็ยึด #บ้านหิมพานต์ ที่ชาวบ้านเรียกกันในตอนนั้น ของพระยาสรรพการ หรือ
“ป๊ากสามเสน” พร้อมที่ดินขนาดใหญ่ ก็ตกเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์
และในหลวง ก็ทรงมอบทรัพย์ที่ดินนี้ ทันที!
เพื่อให้ใช้เป็นสถานพยาบาล ที่ทางราชการกำลังหาสถานที่สร้างพยาบาล กัน
ซึ่งต่อมาจึงตั้งชื่อว่า “วชิรพยาบาล”
และต่อมาพัฒนาเป็น โรงพยาบาลวชิระ
ตามพระนามพระองค์ คือ วชิราวุธ
บ้านพระสรรพการฯ มี 2 หลัง ปัจจุบันคงเหลืออนุรักษ์ให้ชมแค่1หลัง คือ หลังสีเหลือง ที่มองเห็นจากหลุมยุบ 
ส่วนหลังใหญ่เคยเป็นสีชมพู ที่สร้างเหมือนพระที่นั่งอัมพรสถาน อยู่ลึกเข้าไป ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกทุบทิ้งลงไปนานแล้ว!
จากนั้น พระสรรพการหิรัญกิจ ก็ทิ้งชีวิตเดิมทั้งหมด!
ใช้เวลา reborn ตัวเองทั้งหมด!
ย้อนกลับไปหน้าแรก ย่อหน้าที่3 ที่เราเล่าเอาไว้
แกใช้ชีวิตช่วงหลังบั้นปลาย อย่างสมถะ จนถึงแก่กรรม ในปี2513
หลังจากแก หมดลมไปตั้งหลายปีแล้ว
กว่าจะรวมญาติลูกหลานได้ครบ
ก็ประชุมเพลิงหลังจากแกถึงแก่กรรมไปหลายปีในปี 2513
เรื่องที่เราเล่านี้ เพิ่งออกมาเปิดเผยไม่นาน แต่คนก็อ่านกันแค่กลุ่มเล็กๆ
เราเห็นว่า น่าสนใจมาก!
แล้วก็มาเกิดเหตุ หลุมยุบหน้าบ้านพระสรรพการฯ เราจึงนึกขึ้นได้
จึงเอามาเล่าให้เป็นเกร็ดความรู้ให้กว้างไกลกัน
250,000 บาทของในหลวง ร.6 ในวันนั้น!
ปัจจุบัน เป็นสัดส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ อันดับ1 ของ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ที่ประมาณ 23% ของ scb
เฉพาะปันผล scb ปีที่แล้ว2567 ปีเดียว
ผู้ถือหุ้นอันดับ1 มีรายรับจากปันผลประมาณ 7,000 ล้านบาท
แต่ก็เป็นสัดส่วนของผลตอบแทนในรอบระยะประมาณ 110 ปี ที่สะสมการเติบโตมั่งคั่งมาเรื่อยๆ
เรื่องนี้ไม่ควรโยงเข้าไปลบหลู่สถาบันนะครับ
เพราะการลงทุนทุกอย่าง มีความเสี่ยง!
เป็นไปได้ ทั้งทางบวก และทางลบ นะครับ
ธนาคารเจ้าฯ ธนาคารราชวงศ์ฯ ที่พระบรมวงศานุวงค์ ร่วมถือหุ้น และก่อตั้งกัน อยู่ในยุคนึง
ทั้งก่อนสงครามโลก และหลังสงครามโลก 
ก็เจ๊ง! กันไม่เป็นท่า หลายธนาคาร!
ธนาคารจีนเจ้าสัว ที่ยืนหยัด จนถึงทุกวันนี้ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หลังสงครามโลกครั้งที่2
เค้าไม่สนใจเจ้าฯร่วมหุ้นกันนะครับ ในตอนนั้น!
มีแต่เชิญกลุ่มอำนาจทหารทั้งนั้น ที่ปรับเปลี่ยน เชิญให้มานั่งเป็นบอร์ด ตามยุคสมัยของอำนาจ #เพื่อคอยปกป้องธุรกิจตนเอง!
จึงกลายเป็นว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลก 2488 ยันถึงตอนนี้ ปี2568
นาน 80 ปี #โมเดลนี้ทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยน
ยุคคสช. คือ ยุคที่ทหารนั่งในบอร์ดกระจายเต็มไปหมดทั้งประเทศ ทั้งภาครัฐและเอกชน
พอหลังจากที่มีอุบัติเหตุรุนแรงกับแก คือ พระสรรพการฯ หรือช่วงหลัง แก reborn คือ พระอรรถวสิษฐสุธี ไปแล้ว
ในช่วงนั้นประวัติศาสตร์ ที่แกสร้างไว้
เหมือนค่อยๆจางหาย และถูกลบลืมไป
และแกเอง ก็คงอยากลืมเช่นกัน และไม่อยากเล่าเรื่องนี้ และขอจบเรื่องนี้ ตั้งแต่แกออกมาจากจุดนั้นแล้ว
แม้กระทั่งในเรื่องนี้ ลูกชายแกยังไม่อยากเล่าในหนังสืองานศพ
แต่กลายเป็นว่า มาปรากฏ เพราะมีคนไปตามเสาะหาเพื่อสานต่อ เรื่องราวที่แท้จริง จนพบในหนังสืองานศพของแก ที่มีความหนาเพียง 50 หน้า
ที่ลูกชายแก นำรายละเอียดของชีวิตพ่อ
มาเล่าไว้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ลูกๆ และวงศ์ตระกูล
เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ถ้ามาเล่า สร้างเป็นหนังจะน่าสนใจมาก เพราะถ้าจะสร้างหนังจริง ทีมงานผลิต ก็จะมีการอัพเดทเป็นค้นคว้าเพิ่มเติมอีก เพื่อใช้คำว่า สร้างจากเรื่องจริง
แต่ไม่เอา ราชสกุลยุคล มาสร้างนะครับ555
วันนี้มันมี #หลุมยักษ์อยู่ตรงหน้าบ้าน ป๊ากสามเสน ของพระสรรพการฯ
เราเห็นว่าเรื่องที่เราศึกษามา และตามหาอ่านมา น่าสนใจมาก
จึงฝากให้พวกคุณเก็บไว้เล่าให้ลูกหลานฟังด้วย และช่วยค้นคว้าเพิ่มเติม มันจะได้ ไม่หายไปจากประวัติศาสตร์ อีก!
ประวัติศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว นะครับ!
มันสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา
หากค้นพบ ข้อมูล และหลักฐานใหม่
และนำมาเสนอเพื่อให้เป็นทางเลือกเพิ่มให้ศึกษา อีกแนวทางนึง หลังจากจำ topic แบบเก่ามานาน
ก่อนที่จะปักใจเชื่อ!
ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หลายยุคที่ผ่านมาก็เช่นกัน
แต่ก็น้อยคนนัก ที่จะกล้าเข้าไปแตะ!
ด้วยเหตุผล! แบบที่พวกคุณเห็น!
และแทนที่จะถกกันด้วยภูมิปัญญา!
กลับถกกันด้วยความรุนแรง จากบทลงโทษ
ที่หากใครนำเสนอให้ต่างจากเดิม! แล้วก็เอา 112 มาขู่อีก!
มันจึงเหมือนประวัติศาสตร์ ที่ถูก freeze!
และแตกต่างจากประวัติศาสตร์ของชนชาติอื่นครับ
#จบ
ขอบคุณมาก ที่ติดตามนะครับ
<< คิดถึงอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ >>