
ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง
22 hours ago
·
.
การเมืองเครือญาติ ความเหลื่อมล้ำ การลุกฮือในอาเซียน: ความเปลี่ยนแปลงและความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
.
๑.
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หรืออุษาคเนย์) กำลังเผชิญกับคลื่นของพลเมืองที่ก่อหวอดขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลและผู้มีอำนาจ ปรากฏการณ์ร่วมกันในหลายประเทศนี้แสดงให้เห็นถึงพลวัตทางประวัติศาสตร์ที่มีความเปลี่ยนแปลงและความสืบเนื่องซ้อนทับกันอยู่ ความเปลี่ยนแปลงที่ก่อเกิดขึ้นภายใต้ความสืบเนื่องทางอำนาจของอดีตกำลังท้าทายโครงสร้างทางสังคมเศรษฐกิจที่ดำเนินมาเนิ่นนาน
.
๒.
ความเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่สถานะ/ความหมายของการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่เคยเหมือนเดิม ไม่เคยคงที่และไม่เป็นเส้นทางเดียวในประวัติศาสตร์ ความเปลี่ยนแปลงจึงมีหลายเฉดน้ำหนักที่วางไว้ใต้บริบทของความสืบเนื่อง อันหมายได้ถึง “การเปลี่ยนไม่ผ่านความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์”
.
ความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงให้อย่างน้อยสี่ด้านที่ดำรงอยู่มาเนิ่นนาน ได้แก่ การเมืองของเครือญาติ (Nepotism) ซึ่งนำมาสู่การส่งลูกหลานชนชั้นนำขึ้นครองอำนาจ Nepo baby ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ (Inequality) การขยายตัวของการผลิตนอกระบบ (Informal Sector) และการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือน (Household Debt) กำลังกลายเป็นเงื่อนไขของการเคลื่อนไหวเพื่อความเปลี่ยนแปลง
.
การเมืองของเครือญาติ (Nepotism) ซึ่งนำมาสู่การส่งลูกหลานชนชั้นนำขึ้นครองอำนาจ Nepo baby เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Bongbong Macos กลับมาเป็นประธานาธิบดี ขณะที่พี่สาวเป็นวุฒิสมาชิก ลูกชายเป็นสมาชิกสภาผู้แทน Hun Manet เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีพ่อคุมอำนาจอยู่ข้างหลัง อดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ก็มีพ่อครอบครองจนต้องหลุดออกจากอำนาจและกำลังนำเขยของกระกูลขึ้นมาสู่ตำแหน่ง สอนไช สีพันดอน ลูกชายของคำไต สีพันกอน และเครือข่ายสามตระกูลใหญ่ก็สืบทอดอำนาจในลาว ไม่ว่าจะเป็นพมวิหาร สีพันดอน และไชยะสอน ลูกชายของ Joko Widodo ก็ได้เข้าสู่ตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วยวัยเพียง ๓๖ ปี และ Prabowo Subianto ก็เป็นลูกเขยของ Suharto Nauru’s Izzah Anwar เป็นลูกสาวของ Anwar Ibrahim เวียดนามนั้นแตกต่างออกไปบ้างเพราะพยายามจะหยุดการเมืองเครือญาตินี้ โดย Truong Thi Mai สมาชิกโปลิตบูโรหญิงของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามประกาศห้ามไม่ให้สมาชิกระดับสูงแต่งตั้งลูกหลานเข้ามามีตำแหน่ง
.
ความเหลื่อมล้ำ Inequality ซึ่งเป็นผลมาจากการครองอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำ (ที่สามารถทำให้เกิดการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ rent seeking ได้อย่างกว้างขวาง) ไทยอยู่ในอำดับต้นๆ ของโลกที่คนรวยสิบเปอร์เซ็นต์มีรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ประชาชาติ คนรวยหนึ่งเปอร์เซ็นต์ในฟิลิปปินส์มีส่วนแบ่งมากกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ ชนชั้นนำหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของกัมพูชาและลาวนั้นครอบครองส่วนแบ่งประมาณ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มาเลย์เซียและอินโดนีเซียนั้นคนรวยสิบเปอร์เซ็นต์มีส่วนแบ่งจากรายได้ประชาชาติประมาณ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ (ประมวลจาก WID World Inequality Data)
.
การขยายตัวของการผลิตนอกระบบ Informal Sector ได้ขยายตัวอย่างมากในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยมีแรงงานในระบบการผลิตนี้ประมาณ ๒๐ ล้านคนหรือ ๕๒ เปอร์เซ็นต์ของกำลังแรงงาน ฟิลิปปินส์กับเวียดนามจำนวนใกล้เคียงกันประมาณร้อยละ ๗๐ ของกำลังแรงงาน กัมพูชาและลาวอยู่ที่ประมาณร้อยละ ๘๓ อินโดนีเซียประมาณ ๕๙ เปอร์เซ็นต์ของกำลังแรงงาน แต่ก็มีความแตกต่างในแต่ละพื้นที่ มาเลยเซียอยู่ที่ประมาณ ๔๐ เปอร์เซ็นต์
.
การผลิตของภาคการผลิตนอกระบบ/ไม่เป็นทางการในทุกประเทศมีสัดส่วนใน GDP ประมาณ ๔๐ ถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญเป็นภาคการผลิตที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมากมายมหาศาล ประเมินกันว่าคนอยู่ภาคการผลิตไม่เป็นทางการในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๒๕๐ ล้านคน
.
การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือน (Household Debt) เป็นมิติสำคัญที่ค้ำยันผู้คนในภาคการผลิตไม่เป็นทางการ เพราะชีวิตที่ไม่แน่นอนของผู้คนทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสิน ประกอบกับผู้คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงบริการด้านการเงินอย่างเป็นทางการได้ สัดส่วนของหนี้ครัวเรือนแต่ประเทศสูงมาก ไทยประมาณ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ของ GDP มาเลเซียอยู่ที่ ๘๔.๒ เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขในอินโดนีเซียดูจะต่ำกว่า โดยอยู่ที่ประมาณ ๑๖.๕๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องตระหนักว่าระบบข้อมูลเรื่องนี้ในอินโดนีเซียไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ (แต่อินโดนีเซียกำลังสร้างระบบการเงินใหม่เรียกว่า Fintech อันอาจจะทำให้มีการเก็บข้อมูลผู้กู้ที่ดีขึ้น) เวียดนามเพิ่มขึ้นจาก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ในปี ๒๕๖๕ มาเป็น ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสอดคล้องไปกับการเพิ่มขึ้นของภาคการผลิตไม่เป็นทางการ ตัวเลขในกัมพูชาและลาวไม่แน่นอนอย่างมาก แต่ก็มีผู้ประมาณไว้ว่าน่าจะเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของ GDP
.
๓.
ความเปลี่ยนแปลงและความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์
.
ความเปลี่ยนแปลงและความสืบเนื่อง เป็นกรอบความคิดของการศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อที่จะทำให้มองเห็นถึงความซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงของสังคม ความสืบเนื่องของการเมืองของเครือญาติ (Nepotism) เป็นปัจจัยทางโครงสร้างที่จรรโลงความเหลื่อมล้ำ แต่ขณะเดียวกันก็ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของผู้คนจำนวนมากในความพยายามจะหลีกหนีความยากจนและความเหลื่อมล้ำ
.
ความเหลื่อมล้ำที่ทวีมากขึ้นนี้ เป็นกระบวนการทางเศรษฐกิจที่ใช้ผู้คนจำนวนมากในสังคมมาเป็นฐานให้แก่ชนชั้นนำทางการเมือง ระบบเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้อำนาจการเมืองที่สืบเนื่องมานี้ จึงเป็นทั้งเศรษฐกิจทุนนิยมเกิดการควบรวมกันระหว่างนายทุนกับนักการเมืองอย่างแนบแน่นมากขึ้นกว่าเดิมจึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูงมากขึ้น
.
ความสืบเนื่องของความเหลื่อมล้ำและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายใต้ความเหลื่อมล้ำนี้ส่งผลกระทบผู้คนจำนวนมากในสังคม การปรับตัวเพื่ออยู่รอดและปรับตัว “เพื่ออนาคต” ได้แก่ การขยายตัวของภาคการผลิตไม่เป็นทางการ จำนวนของผู้คนเข้าสู่ภาคการผลิตไม่เป็นทางการสูงมากขึ้นในทุกชาติเอเซียอาคเนย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ “เมือง” ที่เพิ่มมาก
.
การขยายตัวของภาคการผลิตไม่เป็นทางการที่เกิดขึ้นภายใต้การควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจที่เป็นทางการของกลุ่มทุน ทุนการเงินในทุกประเทศก็แสวงหาผลประโยชน์ได้สะดวกด้วยการสนับสนุนอุ้มชูจากรัฐ ก่อให้เกิดปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ในประเทศที่ระบบธนาคารเข้าถึงผู้คน และเกิด “หนี้นอกระบบ/หนี้จากการอุปถัมภ์ค้ำชู” ในประเทศที่ระบบธนาคารยังไม่ก้าวหน้าพอ (อินโดนีเซียน่าสนใจมาก, ธนาคารออมสินของไทยกำลังปรับเปลี่ยนบทบาทมากขึ้น) “หนี้ครัวเรือน” จึงมองได้อีกด้านหนึ่งว่าไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาต่อระบบการเงินของประเทศเท่านั้น หากแต่มองในอีกด้านหนึ่ง คือการลงทุนเพื่ออยู่รอดและเพื่ออนาคตของคนใน “รัฐ” ที่ไม่ได้ดูแลประชาชน
.
ความสืบเนื่องของกลุ่มชนชั้นนำเป็นการจรรโลงความเหลื่อมล้ำให้ทวีสูงขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเงื่อนไขของความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เพราะได้ก่อให้เกิด “คนกลุ่มใหม่” จำนวนมหาศาลขึ้นมาในแต่ละสังคม การเคลื่อนไหวทางสังคมการเมืองของ “คนกลุ่มใหม่” นี้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในสังคมไทย การเกิดขึ้นของสำนึกการมอง “อนาคตใหม่” ได้ส่งพลังไปยังหลายประเทศ เวียดนาม เกิดกลุ่ม Bloc 8406 และ 2006, กลุ่มที่ประกาศ the Manifesto on Freedom and Democracy for Vietnam การเคลื่อนไหวนี้ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
.
ในฟิลิปปินส์ การเคลื่อนไหวต่อต้านประธาธิบดีมาร์กอสและเครือข่ายชนชั้นนำได้ขยายออกเป็นคลื่นใต้น้ำและปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง (ศาสนาจักรยังมีบทบาทน้อยมากเมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวที่เรียกกันว่า people power ในอดีต) ในอินโดนีเซียได้มีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของพลเมืองเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางหลังจากการตายของคนทำงานภาคไม่เป็นทางการ (ขับมอเตอร์ไซด์ส่งของ) ซึ่งผู้ประท้วงประกอบด้วยคนหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ พลเมืองในมาเลย์เซียรวมตัวกันเรียกร้องให้อันวาร์ อิบบราฮิม ลาออก (ข้ามเส้นชาติพันธ์ปรากฏมากขึ้นมาก New Democracy Movement) ในลาวก็มีการพูดในสื่อออนไลน์ถึงอนาคตของลาวและแสดงความต้องการที่จะมีผู้นำรุ่นใหม่ที่ดูดีเหมือนพิธาของประเทศไทย
.
กรณีไทยและกัมพูชานั้นคล้ายคลึงกันในด้านที่กลุ่มชนชั้นนำเบนความไม่พอใจของผู้คนในประเทศของตนด้วยกระแส “ชาตินิยม” โดยหันแหไปจากปัญหาภายในไปสู่การสร้างศัตรูระหว่างกันจนทำให้เกิดการปะทะกันตามพื้นที่ชายแดน แต่หากความขัดแย้งดำเนินต่อไปนานขึ้น แรงปะทุต่อต้านรัฐบาลจะเกิดขึ้นในกัมพูชาอย่างแน่นอน ส่วนในไทยนั้น กระแส “ชาติ-ทหารนิยม” อาจจะนำมาซึ่งรัฐบาลใหม่ทีมีหน้าตาไม่เหมือนเดิมหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่ในอนาคตอันใกล้
.
๔.
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ทางแยก/ทางเลือกสู่อนาคต
.
ความสืบเนื่องของอำนาจเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใด้ได้ทำให้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นยังไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมเศรษฐกิจสังคมแต่อย่างใด้ กลุ่มชนชั้นนำยังคงครองอำนาจเหนือประชาชนพลเมืองมาโดยตลอด แม้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงของผู้คนพลเมืองที่ต้องการที่จะอยู่รอดด้วยการแผ้วถางทางเดินชีวิตทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตไม่เป็นทางการก็ตาม
.
ความสืบเนื่องทางอำนาจกับความเปลี่ยนแปลงของผู้คนภายใต้อำนาจนี้ จึงเป็นเสมือน “คลื่นใต้น้ำ” ที่รอวันสะสมกำลังให้แรงกล้ามากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ความสืบเนื่องและความเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่นี้ อยู่ในบริบทใหม่ทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ การขยายอิทธิพลของจีน ข้อพิพาทหมู่เกาะฟิลิปปินส์ การปรับดุลอำนาจของอเมริกา สภาวะสงครามในพื้นที่อื่นสภาวะอากาศแปรปรวน ฯลฯ ยิ่งทำให้สังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงตกอยู่ในการเป็น “จุดเปลี่ยนแปลง” ที่สำคัญมากที่สุดของประวัติศาสตร์
.
หากเลือกผิดก็อาจเป็นจุดที่ไม่สามารถหวนกลับมาได้ (เช่น พม่า) ซึ่งเป็นการเปลี่ยน (ไม่ผ่าน) ทางการเมืองอย่างแท้จริง
.
23 กันยายน 2568
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1244741461031801&set=a.472177154954906