วันจันทร์, กันยายน 16, 2567

หนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ในซาอุดีอาระเบีย ผู้ตั้งมั่นว่าจะพัฒนาประเทศให้ทันสมัย แต่ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชน อ่านเรื่องเล่าจากคนวงในที่เคยทำงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย



อิทธิพล น้ำมัน และภาพวาดมูลค่า 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เรื่องเล่าจากคนวงในท่ามกลางการเรืองอำนาจของมกุฎราชกุมารของซาอุดีอาระเบีย

โจนาธาน รักแมน
ผู้สื่อข่าว บีบีซีนิวส์
15 กันยายน 2024

ในเดือน ม.ค. 2015 สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ บิน อับดุล อาซิส แห่งซาอุดีอาระเบีย ขณะมีพระชนมพรรษา 90 ปี ได้สวรรคตในโรงพยาบาล และในระหว่างที่กษัตริย์ซัลมาน พระราชอนุชาต่างมารดากำลังจะเสด็จขึ้นครองราชย์ต่อ และให้เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน พระราชโอรสพระองค์โปรดของพระองค์ทรงเตรียมพระองค์ขึ้นสู่อำนาจ

เจ้าชายพระองค์นี้ ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามย่อ MBS ทรงมีพระชันษาเพียง 29 ปี และทรงมีแผนอันยิ่งใหญ่สําหรับอาณาจักรแห่งนี้ โดยถือเป็นแผนการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่พระองค์ทรงหวาดกลัวว่า ผู้กุมแผนภายในราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียอาจต่อต้านในที่สุด ดังนั้นตอนเที่ยงคืนของเย็นวันหนึ่งของเดือนนั้น เจ้าชายได้เรียกเจ้าหน้าที่อารักขาความปลอดภัยระดับอาวุโสมาเข้าเฝ้าที่พระราชวัง และมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ความภักดีของเขา

เจ้าหน้าที่คนนั้นคือ นายซาอัด อัล-จาบรี เขาได้รับคําสั่งให้วางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะด้านนอก ส่วนเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ก็ทรงทําแบบเดียวกัน ตอนนี้ชายสองคนอยู่เพียงลำพัง เจ้าชายหนุ่มพระองค์นี้ทรงกลัวสายลับในวังมากจนดึงปลักไฟออกจากกําแพง ตัดการเชื่อมต่อโทรศัพท์บ้านที่มีเพียงเครื่องเดียว

ตามคํากล่าวของจาบรีจากนั้น เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงมีปฏิสันถารเกี่ยวกับวิธีที่พระองค์จะทรงปลุกอาณาจักรของพระองค์ให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหลอย่างไร และทำให้ซาอุดีอาระเบียได้สถานะที่เหมาะสมในเวทีโลก ด้วยการขายหุ้นในบริษัทอารามโค (Aramco) ผู้ผลิตน้ำมันของประเทศ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทํากําไรได้มากที่สุดในโลก พระองค์จะทรงเริ่มทําให้เศรษฐกิจยุติการพึ่งพาน้ำมัน และยังลงทุนหลายพันล้านในบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีในซิลิคอน วัลเลย์ รวมถึงบริษัทแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ อูเบอร์ (Uber) จากนั้นก็ให้ผู้หญิงซาอุดีอาระเบีย มีเสรีในการเข้าร่วมตลาดแรงงาน โดยพระองค์จะทรงสร้างงานใหม่ราว 6 ล้านตำแหน่ง

จาบรีผู้รู้สึกประหลาดใจจึงถามเจ้าชายเกี่ยวกับระดับความทะเยอทะยานของพระองค์ว่า “พระองค์ทรงเคยได้ยินชื่ออเล็กซานเดอร์มหาราชไหม” แล้วก็ตามมาด้วยคําตอบที่เรียบง่าย

เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงจบบทสนทนาที่จุดนั้น การประชุมกลางดึกซึ่งมีกําหนดจะใช้เวลาครึ่งชั่วโมงได้ล่วงเลยเป็นเวลาสามชั่วโมง เมื่อจาบรีออกจากห้องก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับหลายสายบนมือถือจากเพื่อนร่วมงานในรัฐบาลที่กังวลเกี่ยวกับการหายตัวไปนานของเขา

ในปีที่ผ่านมา ทีมสารคดีของเราได้พูดคุยกับทั้งเพื่อนชาวซาอุดีอาระเบียและฝ่ายตรงข้ามของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ตลอดจนถึงสายลับและนักการทูตอาวุโสชาวตะวันตก รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้รับโอกาสในการชี้แจงข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่ปรากฏในภาพยนตร์สารคดีของบีบีซี และรวมถึงในบทความนี้ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะไม่ทําเช่นนั้น

ในตอนนั้น นายซาอัด อัล-จาบรี ดำรงตำแหน่งระดับสูงในหน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัยของซาอุดีอาระเบียจนเขาเป็นเพื่อนกับหัวหน้าสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ หรือซีไอเอ และหน่วยข่าวกรองลับเอ็มไอซิกซ์ (MI6) ของสหราชอาณาจักร ในขณะที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียเรียกจาบรีว่า เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ที่เสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว และเขายังเป็นชาวซาอุดีอาระเบียที่เห็นต่างและมีข้อมูลดีที่สุดที่กล้าพูดถึงวิธีที่มกุฎราชกุมารปกครองซาอุดีอาระเบีย และที่สำคัญการสัมภาษณ์พิเศษกับเขาทำให้เราได้พบข้อมูลรายละเอียดที่น่าประหลาดใจ

ด้วยการเข้าถึงบุคคลหลายคนที่รู้จักเจ้าชายเป็นการส่วนตัว เราได้พบความกระจ่างใหม่เกี่ยวกับเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่ทําให้เจ้าชายพระองค์นี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงในทางที่ไม่ดีนัก เช่น การฆาตกรรมนักข่าวชาวซาอุดีอาระเบีย นายจามาล คาชูจกิ ในปี 2018 และการเปิดฉากสงครามที่ทําลายล้างในเยเมน

เนื่องด้วยพระบิดาของพระองค์ทรงมีพลานามัยที่อ่อนแอมากขึ้น เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ในพระชันษา 38 ปี จึงทรงต้องรับผิดชอบการบริหารของประเทศโดยพฤตินัย ซึ่งถือเป็นสถานที่กําเนิดศาสนาอิสลาม และยังประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก พระองค์ทรงเริ่มดําเนินการตามแผนที่ก้าวล้ำมากมายที่พระองค์เคยอธิบายต่อจาบรี อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันพระองค์ยังถูกกล่าวหาว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการปราบปรามการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น เสรีภาพในการแสดงออก การใช้โทษประหารชีวิตอย่างแพร่หลาย และการจําคุกนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี

การเริ่มต้นที่ไม่เป็นลางไม่ดี

กษัตริย์พระองค์แรกของซาอุดีอาระเบียมีพระราชโอรสอย่างน้อย 42 พระองค์ รวมถึงกษัตริย์ซัลมาน พระราชบิดาของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ตามธรรมเนียมแล้ว การสืบสันตติวงศ์จะส่งต่อระหว่างพระราชโอรสเหล่านี้ เมื่อมีพระโอรสสองพระองค์เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันในปี 2011 และ 2012 กษัตริย์ซัลมานจึงทรงได้รับการสถาปนาให้เป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์

หน่วยงานสืบราชการลับของชาติตะวันตก ได้ศึกษาซาอุดีอาระเบียในระดับเดียวกันกับที่ศึกษาระบบการปกครองของรัสเซีย (Kremlinology) เช่นว่า ศึกษาว่าบุคคลใดจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ในขั้นตอนนี้เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ยังทรงพระเยาว์และยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จนกระทั่งพระองค์ไม่ได้อยู่ในเรดาร์หรือความสนใจของพวกเขาด้วยซ้ำ

“พระองค์ทรงเจริญวัยขึ้นมาในความคลุมเครือ” เซอร์จอห์น ซาเวอร์ส หัวหน้าหน่วยข่าวกรองลับ MI6 ที่อยู่ในตำแหน่งจนถึงปี 2014 กล่าวและว่า “พระองค์ทรงยังไม่ได้ถูกจัดสรรให้ขึ้นสู่อํานาจ”


เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงรู้สึกว่าจําเป็นต้องพิสูจน์พระองค์ในหมู่ราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียเสมอ ตามรายงานของอดีตเจ้าหน้าที่ของสหราชอาณาจักรรายหนึ่ง

มกุฎราชกุมารยังทรงเจริญพระชันษาในพระราชวัง สถานที่ซึ่งพฤติกรรมที่ไม่ดีแทบจะไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ และนั่นอาจช่วยอธิบายอุปนิสัยที่ฉาวโฉ่ของพระองค์ที่ทรงไม่ได้ไตร่ตรองพระทัยถึงผลกระทบจากการตัดสินพระทัยจนกว่าพระองค์จะทรงทำลงไปแล้ว

สิ่งแรกที่ทำให้เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เป็นที่พูดถึงในทางลบครั้งแรกเกิดขึ้นในกรุงริยาด สมัยที่พระองค์ยังทรงอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เมื่อพระองค์ทรงได้รับพระนามฉายาว่า “อาบู ราซาซา” (Abu Rasasa) ที่แปลว่า “พระบิดาแห่งกระสุน” หลังจากถูกกล่าวหาว่า ทรงส่งกระสุนไปทางไปรษณีย์ไปให้กับผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ลบล้างคำสั่งของพระองค์ในข้อพิพาทด้านทรัพย์สิน

“พระองค์ทรงมีความโหดเหี้ยม” เซอร์จอห์น ซาเวอร์ส ตั้งข้อสังเกต “พระองค์ทรงไม่พอพระทัยเมื่อมีใครมาก้าวก่าย แต่นั่นก็หมายความว่า พระองค์ทรงสามารถขับเคลื่อนผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีผู้นําซาอุดีอาระเบียคนอื่น ๆ สามารถทําได้”

ในบรรดาการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีที่สุด อดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ MI6 กล่าวว่า คือการตัดเงินทุนของซาอุดีอาระเบียให้กับมัสยิดและโรงเรียนศาสนาในต่างประเทศที่กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มอิสลามิกญิฮาด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความปลอดภัยของตะวันตกอย่างมาก

ฟาห์ดาห์ บินท์ ฟาลาห์ บิน ซัลตาน พระมารดาของพระองค์ทรงเป็นสตรีจากชนเผ่าเบดูอิน และถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสี่พระชายาที่พระบิดาของพระองค์ทรงโปรด นักการทูตตะวันตกเชื่อว่า กษัตริย์ทรงต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปีจากภาวะสมองเสื่อมจากหลอดเลือดอย่างช้า ๆ และเจ้าชายโมฮัมเหม็ด เป็นพระโอรสที่พระองค์ทรงหันไปขอความช่วยเหลือ

นักการทูตหลายคนเล่าให้เราฟังถึงการประชุมของพวกเขากับเจ้าชายโมฮัมเหม็ดและพระบิดา เจ้าชายจะเขียนข้อความบนไอแพด แล้วส่งไปที่ไอแพดของพระบิดา เพื่อเป็นการกระตุ้นให้พระองค์ตรัสต่อ

เห็นได้ชัดว่าเจ้าชายทรงมีพระทัยร้อนมากที่ประสงค์ให้พระบิดาของพระองค์ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ จนในปี 2014 มีรายงานว่า พระองค์ทรงแนะนําให้ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ในขณะนั้น หรือ สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ พระปิตุลาพระองค์ ด้วยแหวนวางยาพิษที่ได้รับจากรัสเซีย

“ผมไม่รู้แน่ชัดว่า พระองค์ตรัสเกินจริงหรือเปล่า แต่เราจริงจังกับมัน” จาบรีกล่าว อดีตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอาวุโสกล่าวว่า เขาได้เห็นวิดีโอเฝ้าระวังที่ถูกบันทึกอย่างลับ ๆ ของเจ้าชายที่ตรัสถึงแนวคิดนี้ “พระองค์ถูกสั่งห้ามจากศาล ไม่ให้จับพระหัตถ์กับกษัตริย์เป็นเวลานานมาก”

ในเหตุการณ์ดังกล่าว กษัตริย์สิ้นพระชนม์ด้วยสาเหตุตามธรรมชาติ ทําให้กษัตริย์ซัลมาน พระอนุชาของพระองค์ทรงขึ้นครองบัลลังก์ในปี 2015 และเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และไม่มีเวลาไปทําสงคราม (นัยหมายถึงการลอบปลงประชนม์พระปิตุลา)

สงครามในเยเมน

สองเดือนต่อมา เจ้าชายทรงเป็นผู้นํากลุ่มพันธมิตรอ่าวเข้าสู่สงครามต่อต้านกลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งได้เข้าควบคุมเยเมนตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ และพระองค์ทรงมองว่าเป็นตัวแทนของอิหร่าน คู่แข่งในระดับภูมิภาคของซาอุดีอาระเบีย ทำให้เกิดภัยพิบัติด้านมนุษยธรรม โดยมีผู้คนหลายล้านคนตกอยู่ในสภาพอดอยาก

“มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาด” เซอร์จอห์น เจนกินส์ ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตอังกฤษก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นกล่าว “ผู้บัญชาการทหารอาวุโสชาวอเมริกันคนหนึ่งบอกผมว่า พวกเขาได้รับการแจ้งเรื่องแคมเปญการทำสงครามล่วงหน้า 12 ชั่วโมง ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน”

การรณรงค์ทางทหารช่วยเปลี่ยนเจ้าชายที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักให้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม นี่กลายเป็นสิ่งแรกที่ แม้แต่สหายของพระองค์เชื่อว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลายประการ

รูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กําลังเกิดขึ้น อย่างเช่น แนวโน้มของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานที่จะทิ้งระบบการตัดสินใจตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ช้าและระบบการตัดสินใจแบบเฉพาะของซาอุดีอาระเบีย แต่พระองค์กลับทรงโปรดที่จะดําเนินการอย่างคาดเดาไม่ได้หรือตามแรงกระตุ้น และปฏิเสธการพินอบพิเทาต่อสหรัฐอเมริกา หรือได้รับการปฏิบัติในฐานะหัวหน้ารัฐบริวารที่ล้าหลัง

จาบรีไปไกลกว่านั้นมาก โดยกล่าวหาว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงปลอมลายพระปรมาภิไธยของกษัตริย์พระราชบิดาของเขา ที่ลงในพระราชกฤษฎีกาเพื่อส่งกองกําลังภาคพื้นดิน

จาบรีกล่าวว่า เขาได้หารือเกี่ยวกับสงครามเยเมนในทําเนียบขาวก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น และซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้เตือนเขาว่า สหรัฐฯ จะสนับสนุนปฏิบัติการทางอากาศเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จาบรี อ้างว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการกดดันในเยเมนมากจนเขาไม่สนใจรัฐบาลอเมริกัน

“เรารู้สึกประหลาดใจที่มีพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้แทรกแซงภาคพื้นดิน” จาบรีกล่าวและว่า “พระองค์ทรงปลอมแปลงลายพระปรมาภิไธยของพระราชบิดาของพระองค์ในพระราชกฤษฎีกานั้น ขณะที่พระพลานามัยของกษัตริย์กําลังเสื่อมโทรมลง”

จาบรีกล่าวว่า แหล่งที่มาของข้อกล่าวหานี้ “น่าเชื่อถือ และเชื่อถือได้” และมีส่วนเชื่อมโยงกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง

จาบรีจําได้ว่า หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ ประจำกรุงริยาดบอกเขาว่า เขารู้สึกโกรธแค่ไหนที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ทรงเพิกเฉยต่อชาวอเมริกัน และเสริมว่า การรุกรานเยเมนดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้นเลย

เซอร์จอห์น ซาเวอร์ส อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง MI6 กล่าวว่า ในขณะที่เขาไม่รู้ว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ทรงปลอมแปลงเอกสารหรือไม่ “เป็นที่ชัดเจนว่านี่เป็นการตัดสินพระทัยของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ที่จะทรงแทรกแซงทางทหารในเยเมน มันไม่ใช่การตัดสินพระทัยของพระราชบิดาของพระองค์ แม้ว่าพระราชบิดาของพระองค์ต้องทรงแบกรับความรับผิดชอบด้วยก็ตาม”

เราค้นพบว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ทรงมองว่า พระองค์ทรงเป็นคนนอกตั้งแต่เริ่มต้น ในลักษณะที่เป็นชายหนุ่มที่มีหลายอย่างที่ต้องพิสูจน์และปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามกฎของใคร นอกจากกฎของเขาเอง

เคิร์สเตน ฟอนเทนโรส ซึ่งทําหน้าที่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าเมื่อเธออ่านประวัติทางจิตวิทยาภายในของซีไอเอเกี่ยวกับเจ้าชาย เธอรู้สึกว่า มีประเด็นที่ขาดหายไป

“ไม่มีต้นแบบใดที่จะอยู่ในตัวพระองค์” เธอกล่าว “เจ้าชายทรงมีทรัพยากรที่ไม่จํากัด พระองค์ไม่เคยถูกปฏิเสธว่า 'ไม่' พระองค์ทรงเป็นผู้นํารุ่นเยาว์คนแรกที่สะท้อนถึงคนรุ่นหนึ่งที่พูดตามตรงว่า พวกเราส่วนใหญ่ในรัฐบาลแก่เกินกว่าจะเข้าใจ”

ทรงสร้างกฎของพระองค์เอง

การซื้อภาพวาดที่มีชื่อเสียงของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานในปี 2017 บอกเรามากมายว่าพระองค์ทรงคิดอย่างไร และความเต็มใจที่เจ้าชายทรงกล้าเสี่ยง ไม่กลัวที่จะก้าวออกจากสังคมอนุรักษ์นิยมทางศาสนาที่พระองค์ทรงปกครอง และเหนือสิ่งอื่นใด คือความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะตะวันตกในการแสดงอํานาจที่เห็นได้ชัดเจน

ในปี 2017 มีรายงานว่า เจ้าชายซาอุดีอาระเบียพระองค์หนึ่งที่ทรงปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ใช้เงิน 450 ล้านดอลลาร์ (1.52 หมื่นล้านบาท) ในการซื้อภาพวาด ซัลวาทอร์ มุนดี (Salvator Mundi) ซึ่งยังคงเป็นงานศิลปะที่แพงที่สุดในโลกที่เคยขายมา ภาพวาดนี้เชื่อว่า เป็นภาพที่วาดโดย ลีโอนาร์โด ดา วินชี แสดงให้เห็นถึงพระเยซูคริสต์ในฐานะเจ้าแห่งสวรรค์และโลก ผู้ช่วยให้รอดของโลก และเป็นเวลาเกือบเจ็ดปี นับตั้งแต่การประมูลครั้งนั้น ภาพดังกล่าวก็ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ยังคงมีข้อกังขาว่า ซัลวาทอร์ มุนดี ภาพวาดพระคริสต์อายุ 500 ปี วาดโดย ลีโอนาร์โด ดา วินชี หรือไม่

เบอร์นาร์ด เฮย์เคล ผู้ซึ่งพูดกับมกุฎราชกุมารเป็นประจําและเป็นศาสตราจารย์ด้านตะวันออกใกล้ศึกษาที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันกล่าวว่า แม้จะมีข่าวลือว่าภาพวาดดังกล่าวแขวนอยู่ในเรือยอชต์หรือพระราชวังของเจ้าชาย แต่จริง ๆ แล้ว ภาพวาดนี้อยู่ในที่เก็บรักษาในนครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ และ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ทรงตั้งพระทัยที่จะแขวนมันไว้ในพิพิธภัณฑ์ในเมืองหลวงของซาอุดีอาระเบียที่ยังไม่ได้สร้าง

“ข้าพเจ้าต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่มาก ๆ ในกรุงริยาด” เฮย์เคลอ้างพระราชดำรัสของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด “และข้าพเจ้าต้องการให้สิ่งนี้เป็นวัตถุยึดเหนี่ยวที่จะดึงดูดผู้คน เช่นเดียวกับโมนาลิซา”

ในทํานองเดียวกัน แผนการเกี่ยวกับงานด้านกีฬาของพระองค์ยังสะท้อนให้เห็นว่า พระองค์ทรงมีความทะเยอทะยานอย่างมาก และทรงไม่กลัวที่จะทําลายสถานะที่เป็นอยู่

การใช้จ่ายงบประมาณอย่างเหลือเชื่อของซาอุดีอาระเบียไปกับการกีฬาระดับโลก เช่น การเข้าประมูลการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2034 เพียงผู้เดียวและได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในการจัดแข่งขันเทนนิสและกอล์ฟ สิ่งเหล่านี้ได้รับการขนานนามว่า “การฟอกขาวด้วยการใช้การกีฬา” (sportswashing) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราพบคือแทนที่ผู้นําคนหนึ่งจะสนใจว่าชาติตะวันตกคิดอย่างไรต่อตัวเขา เขากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาจะทําทุกอย่างที่เขาต้องการ เพื่อให้เขาเองและซาอุดีอาระเบียยิ่งใหญ่

“MBS [เจ้าชายโมฮัมเหม็ด] ทรงสนพระทัยที่จะสร้างพลังของตัวพระองค์ในฐานะผู้นํา” เซอร์จอห์น ซาเวอร์ส อดีตหัวหน้า MI6 ซึ่งเคยพบพระองค์กล่าว “และวิธีเดียวที่พระองค์ทรงสามารถทําได้คือ การสร้างอํานาจของประเทศของพระองค์ นั่นคือสิ่งที่ขับเคลื่อนตัวพระองค์”

ตลอด 40 ปีในการทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่ทางการของซาอุดีอาระเบีย จาบรีก็ไม่รอดพ้นจากการรวบอํานาจของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ในฐานะที่เขาเคยเป็นหัวหน้าเสนาธิการของอดีตมกุฎราชกุมารมูฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ ทำให้เขาต้องหลบหนีออกจากราชอาณาจักรในช่วงที่เจ้าชาย กําลังเข้ายึดครองบัลลังก์ หลังจากได้รับคําแนะนําจากหน่วยข่าวกรองต่างประเทศว่า เขาอาจตกอยู่ในอันตราย แต่จาบรีกล่าวว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงส่งข้อความถึงเขาโดยไม่คาดคิด พร้อมกับทรงเสนองานเก่าคืนให้เขาอีก

“มันเป็นการใช้เหยื่อหล่อ และผมก็ไม่ได้กินเหยื่อนั้น” จาบรีกล่าว โดยเชื่อว่าเขาจะถูกทรมาน ถูกคุมขัง หรือถูกฆ่าหากเขากลับมา อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับโอมาร์และซาราห์ ลูกวัยรุ่นของเขา ซึ่งถูกควบคุมตัวและต่อมาถูกจําคุกในข้อหาฟอกเงินและพยายามหลบหนี ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่พวกเขาปฏิเสธ คณะทํางานสหประชาชาติว่าด้วยการกักขังโดยพลการได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเขา

“พระองค์ทรงวางแผนการลอบสังหารผม” จาบรีกล่าว “เขาจะไม่หยุดจนกว่าจะเห็นผมตาย ผมไม่สงสัยเลย”

เจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบียได้ออกหมายองค์การตํารวจสากลเพื่อการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีของจาบรีจากแคนาดา แต่ไม่ประสบความสําเร็จ ทางการซาอุดีอาระเบียอ้างว่า จาบรีเป็นบุคคลที่ต้องการตัว เนื่องจากมีข้อหาทุจริตที่เกี่ยวข้องกับเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย อย่างไรก็ตาม เขาได้รับยศเป็นนายพลตรีและได้รับการนับถือจาก CIA และ MI6 ในการช่วยป้องกันการโจมตีของผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์

การสังหารคาชูจกิ



การสังหารจามัล คาชูจกิ ผู้สื่อข่าวชื่อดัง และนักวิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ที่สถานกงสุลซาอุดีอาระเบียในนครอิสตันบูลของตุรกีในปี 2018 สื่อเป็นนัยว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงมีส่วนเกี่ยวข้องในลักษณะที่ยากจะหักล้าง ไม่ว่าจะเป็นการพบว่ามี ทีมจู่โจม 15 คน เดินทางด้วยหนังสือเดินทางทางการทูตและรวมถึงองครักษ์ประจำพระองค์ของเจ้าชายหลายคน และศพของคาชูจกิไม่เคยถูกค้นพบ โดยเชื่อว่าถูกสับเป็นชิ้น ๆ ด้วยเลื่อยกระดูก

ศาสตราจารย์เฮย์เคลแลกเปลี่ยนข้อความผ่านแอปฯ วอทส์แอปป์กับเจ้าชายไม่นานหลังจากการฆาตกรรม “ผมกําลังถามว่า 'สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร'” เขาเล่าต่อว่า “ผมคิดว่า พระองค์ทรงตกพระทัยมาก พระองค์ทรงไม่รู้ว่าปฏิกิริยาต่อสิ่งนี้จะลึกซึ้งขนาดนี้”

เดนนิส รอสส์ นักการทูตคร่ำหวอดของสหรัฐฯ ได้พบกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ดหลังจากนั้นไม่นาน “พระองค์ตรัสว่าทรงไม่ได้ทําและนี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่” รอสกล่าว “ผมอยากจะเชื่อพระองค์อย่างแน่นอน เพราะผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พระองค์ทรงสามารถอนุญาตบางอย่าง [แบบนั้น] ได้”


จามัล คาชูจกิ นักข่าวชาวซาอุดิอาระเบีย ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน

พระองค์ทรงปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ออกคำสั่งและก็ไม่รู้เรื่องตอนที่เหตุเกิดขึ้น แม้ว่าในปี 2019 พระองค์จะตรัสว่า พระองค์ “ทรงจะรับผิดชอบ” เรื่องที่เกิดขึ้นในฐานะผู้นำประเทศ รายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยในเดือน ก.พ. 2021 ยืนยันว่า พระองค์ทรงสมรู้ร่วมคิดในการสังหารคาชูจกิ

ผมถามคนที่รู้จักเจ้าชายโมฮัมเหม็ดเป็นการส่วนตัวว่า พระองค์ทรงเรียนรู้จากความผิดพลาดของพระองค์หรือไม่ หรือว่าการรอดพ้นจากเรื่องของคาชูจกิ อันที่จริงแล้วทำให้พระองค์มั่นใจมากขึ้นจริง ๆ หรือไม่

“พระองค์ทรงได้เรียนรู้บทเรียนอย่างยากลําบาก” ศาสตราจารย์เฮย์เคลกล่าว และบอกด้วยว่า มกุฎราชกุมารทรงไม่พอพระทัยกรณีที่ใช้คดีนี้ตอบโต้พระองค์และประเทศ อย่างไรก็ตาม การสังหารอย่างในกรณีที่เกิดขึ้นกับคาชูจกิจะไม่เกิดขึ้นอีก

เซอร์จอห์น ซาวเออร์ส เห็นด้วยอย่างระมัดระวังว่า การฆาตกรรมครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยน “ผมคิดว่า พระองค์ทรงได้เรียนรู้บทเรียนบางอย่าง อย่างไรก็ตาม บุคลิกยังคงเหมือนเดิม”

พระราชบิดาของพระองค์ กษัตริย์ซัลมาน มีพระชนมายุ 88 ปีแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต มกุฎราชกุมารจะทรงสามารถปกครองซาอุดีอาระเบียได้ในอีก 50 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้พระองค์ทรงยอมรับว่า พระองค์ทรงกลัวว่าจะถูกลอบสังหาร ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความพยายามของพระองค์ที่จะทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิสราเอลกลับสู่ระดับปกติ

“ผมคิดว่ามีผู้คนมากมายที่ต้องการสังหารพระองค์” ศาสตราจารย์เฮย์เคลกล่าว “และพระองค์เองก็ทรงทราบดี”

ความระมัดระวังชั่วนิรันดร์ คือสิ่งที่ทําให้ผู้ชายอย่างเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ปลอดภัย นั่นคือสิ่งที่ซาอัด อัล-จาบรี สังเกตในช่วงเริ่มต้นของการขึ้นสู่อํานาจของเจ้าชาย เมื่อเขาดึงสายโทรศัพท์ออกจากผนังก่อนที่จะพูดกับเขาในวังของเขา

มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงยังคงเป็นบุคคลที่มีภารกิจที่จะทําให้ประเทศทันสมัย ในแบบที่บรรพกษัตริย์พระองค์ก่อนทรงไม่เคยกล้า แต่พระองค์ทรงไม่ใช่เผด็จการคนแรกที่เสี่ยงต่อการโหดเหี้ยมจนไม่มีใครรอบตัวพระองค์กล้าป้องกันไม่ให้พระองค์ทรงทําผิดพลาดอีก

หมายเหตุ: โจนาธาน รักแมน เป็นที่ปรึกษาผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Kingdom: The world's most powerful prince (แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ราชอาณาจักร: มกุฎราชกุมารผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลก)

https://bbc.in/3ZpziWV
.....


สหรัฐฯ เปิดเผยรายงานคดีสังหารนักข่าวซาอุฯ จามาล คาชูจกิ - BBC News ไทย

Mar 7, 2021

เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายงานการสืบสวนคดีฆาตกรรมนายจามาล คาชูจกิ นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบียที่ถูกสังหารในตุรกีเมื่อปี 2018 โดยรายงานระบุว่ามกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้ออกคำสั่งให้สังหารนักข่าวคนดังกล่าว 

สหรัฐฯ ได้ข่าวกรองเรื่องนี้มาอย่างไร และการเปิดเผยออกมาแบบนี้จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโจ ไบเดน อย่างไร 

อิสสริยา พรายทองแย้ม พาไปย้อนเหตุการณ์ในวิดีโอนี้

https://www.youtube.com/watch?v=FVkjFNMN2iM