https://www.khaosod.co.th/politics/news_7151084
Atukkit Sawangsuk
5h
"หาร 500" งาช้างงอก
................................
สำนวนนิยายกำลังภายใน "งาช้างไม่งอกจากปากสุนัข"
สิ่งดีงามไม่งอกจากสิ่งสกปรก
สำนวนโบราณ สมัยนี้อาจโดนข้อหาหมิ่นหมา แต่ยืมมาใช้หน่อยเพื่อให้เห็นภาพว่า
อุตส่าห์อยากได้ระบบเลือกตั้ง MMP แบบเยอรมัน ไม่มีใครเอา
แต่พอมันกลัวเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ก็กลับหลังหัน เลี้ยวโค้งลัดสนามหญ้า
พลิกจากแบบ รธน.40 MMM มาใช้ "หาร 500" แบบไพบูลย์ยังกลับลำไม่ทัน
:
หาร 500 ยังไม่ใช่เยอรมันเสียทีเดียวแต่เป็นโครงสำคัญ
ถ้าใช้อีกครั้งจะถอยยากแล้ว ต้องไปข้างหน้า
สิ่งที่ยังต่างจากเยอรมันคือ 1.ไม่มีกำหนดขั้นต่ำ (เยอรมันได้ไม่ถึง 5% ปิ๋ว)
2.เขาไม่จำกัดจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ถ้ามัน overhang แบบเพื่อไทยปี 62 เขาก็เพิ่มจำนวน ส.ส.ให้ได้สัดส่วนกัน
ไม่ใช่เอา overhang ไปลดปาร์ตี้ลิสต์ แล้วคำนวณด้วยสูตรเศษมนุษย์
:
เรื่องระบบไหนดีกว่ากัน แหงละ FC เพื่อไทยจะมองว่า แบบ 40 ดีที่สุดในโลก
แต่มันไม่ได้สะท้อนคะแนนนิยมที่แท้จริงและจัดสรรอย่างเป็นธรรมเหมือน MMP
ซึ่งง่ายๆ พรรคคุณได้คะแนนเสียงจากประชาชน 20% ก็ควรได้ ส.ส.ทั้งแบบเขตแบบปาร์ตี้ลิสต์รวมกัน 20% ของสภา
มันจะเปิดโอกาสให้การเมืองทางเลือก
ยกตัวอย่าง เขตเลือกตั้งเขตหนึ่ง 2 บ้านใหญ่สู้กัน
หัวคะแนนเดินขวักไขว่ ได้คะแนน 40% กับ 30% ใครชนะ take all
อีก 30% แม่-แทบไม่มีความหมาย ไม่ไปเลือกตั้งก็ได้
แต่ถ้ามีพรรคอย่างก้าวไกล เสรีรวมไทย (หรืออยากเลือกไทยสร้างไทย สร้างอนาคตไทย พรรคกล้า)
คะแนน 100-200 ในแต่ละเขตก็มีความหมายเมื่อรวมกัน 70,000 ได้ ส.ส. 1 คน พรรคเล็ก 3.5 แสนก็ได้ 5 คน
:
สิ่งที่ MMM ดูเหมือนดีกว่าคือมันส่งเสริมพรรคใหญ่ให้เข้มแข็ง
MMP ให้ความเป็นธรรมกว้างไปหมด มันกระจัดกระจาย (เยอรมันจึงตัด 5%)
ในประเทศที่รัฐราชการเป็นใหญ่ ทหาร อำนาจนอกระบบ หลายคนจึงเห็นว่า MMM ดีกว่า
แต่อันที่จริงสังคมไทยมันก็เริ่มมีความหลากหลาย MMP มันจัดการความขัดแย้งได้ดีกว่า
(แบบพรรคฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่มีทางย้อนกลับไปเป็นพรรคเดียว ในยุโรป ก็จะมีพรรคฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา กลางซ้าย กลางขวา พรรคกรีน ฯลฯ)
:
แต่ในแง่กระบวนการ ที่มันพลิกกลับหัวไปกลับหางมา นี่คือความอุบาทว์วิปริต
ทีแรก พปชร.เชื่อว่าจะได้ที่หนึ่ง "พรรคใหญ่ได้เปรียบ" ก็เสนอแก้ รธน.
ต่อมาพรรคแตก ตู่ Vs แป้ง กลายเป็นเพื่อไทยจะได้ที่หนึ่ง "เพื่อไทยได้เปรียบ"
แก้รัฐธรรมนูญไปแล้ว แก้กฎหมายเลือกตั้ง ผ่านกรรมาธิการแล้ว
จู่ๆ 2 วันแม่-พลิกเฉย
มันสะท้อนว่า่ประเทศนี้ไม่มีกติกา ไม่มีกฎหมาย
เผด็จการอยากกำหนดกติกาอย่างไรก็ได้ เขียนกฎหมายอย่างไรก็ได้
พอไม่เป็นผลดีกับตัวเองก็เปลี่ยนชั่วข้ามคืน เขียนด้วยมือลบด้วยตีน
:
ความอุบาทว์วิปริตนี้ทำให้สูตรหาร 500 ซึ่งที่จริงดี กลับเป็นหญ้าพิษ
ตั้งแนวมาอีกอย่าง 2 วันสุดท้ายเปลี่ยนสูตรฉุกละหุก
MMP มันต้องมีปาร์ตี้ลิสต์มากพอ (อย่างน้อย 350-150)
เอามาใช้กับ 400-100 แม่-จะเละสุดๆ ไม่ลงตัว
เหมือนปริญญาเทวา เทียบปี 54 ว่าถ้าใช้สูตรหาร 500 จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ทุกพรรครวมกัน138 คน
กรูว่า กกต.แม-เตรียมโดนรุมขว้างขี้ได้เลย
:
ยิ่งกว่านั้นถ้ายื่นศาลรัฐธรรมนูญแล้วโดนตีตก
ต้องยกร่างกฎหมายกันใหม่
ก็อาจลากยาวไปจนถึงเลือกตั้ง ภมาหมดวาระ แต่เลือกตั้งไม่ได้ ไม่มีกฎหมาย
มันอาจเป็นช่องทางให้ตู่อยู่ยาวไปเลยก็ได้ เลือกตั้งไม่ได้สักที ก็รักษาการไปจนปี 70