วันเสาร์, มิถุนายน 04, 2565

ถ้ายอมรับว่ากรุงเทพฯ คือเมืองหลวงที่ถูกยึดครองโดย “สลิ่ม” อย่างน้อยก็นับตั้งแต่วันที่ทหารยึดอำนาจปี 2549 ชัยชนะของชัชชาติและผลการเลือกตั้งสภา กทม.ก็เท่ากับ “สลิ่มเสียกรุง” แล้วโดยปริยาย อ่าน ชัชชาติจุดประกายความหวังสู่อนาคต



ผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ที่จบด้วยชัยชนะของ ‘ชัชชาติ’ และผลเลือกตั้งสมาชิกสภา กทม.ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเป็นเสียงข้างมากด้วยคะแนน 34 จาก 50 คือสัญญาณว่ากรุงเทพฯ กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

และประเทศไทยก็จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตามกรุงเทพฯ ไปด้วยเช่นกัน

ชัยชนะของ ‘ชัชชาติ’ ทำให้กรุงเทพฯ มีผู้ว่าที่ไม่ได้มาจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี

ชัยชนะของชัชชาติจึงเป็นสัญลักษณ์ว่าคนกรุงเทพฯ หันหลังให้ประชาธิปัตย์ทั้งๆ ที่เคยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2547 ติดต่อกัน 4 สมัย ไม่ว่าจะในช่วงที่พรรคเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล

นอกจากชัชชาติจะชนะประชาธิปัตย์ที่คนกรุงเทพฯ เลือกมาเกือบ 20 ปี ชัชชาติยังชนะแบบ “แลนด์สไลด์” ในแทบทุกมิติ เพราะมีคนเลือกเกือบล้านสี่

ทำลายสถิติที่เคยมีคนเลือก ‘สุขุมพันธุ์ บริพัตร’ ล้านสอง, ชัชชาติชนะเลือกตั้งทุกเขต และคะแนนผู้สมัครรวมกันยังไม่เท่ากับชัชชาติเพียงคนเดียว

สื่อเรียกชัยชนะของชัชชาติว่า “ซูเปอร์แลนด์สไลด์” ที่ผู้ชนะคะแนนนำโด่งคนอื่นหลายเท่าตัว แต่ถ้าคำนึงว่าชัชชาติมีคนเลือกมากกว่าอดีตผู้ว่าฯ ทุกคน, ชนะทุกเขต และชนะมากจนทุกคนรวมกันยังแพ้

ชัยชนะของชัชชาติย่อมเป็น “อัลติเมตแลนด์สไลด์” มากกว่าซูเปอร์แลนด์สไลด์ธรรมดาๆ

ถ้ายอมรับว่ากรุงเทพฯ คือเมืองหลวงที่ถูกยึดครองโดย “สลิ่ม” ในรูปลูกจีนรักชาติ, พันธมิตรฯ, กปปส., ที่ประชุมอธิการบดี, เสาหลักของแผ่นดิน, คนรักลุงตู่ ฯลฯ อย่างน้อยก็นับตั้งแต่วันที่ทหารยึดอำนาจปี 2549 ชัยชนะของชัชชาติและผลการเลือกตั้งสภา กทม.ก็เท่ากับ “สลิ่มเสียกรุง” แล้วโดยปริยาย

ผลการเลือกตั้งของชัชชาติสะท้อนว่ากรุงเทพฯ กำลังจะเปลี่ยนกรุงเทพฯ ไปจากเดิม เพราะชัชชาติชนะขาดผู้สมัครที่เป็น “พวกรัฐบาล” ซ้ำยังชนะขาดผู้สมัครที่เป็นพวก “หนุนรัฐประหาร” ถึงขั้นที่วิชามารประเภท “เลือกสกลธีไล่ชัชชาติ” หรือ “ไม่เลือกรสนา ชัชชาติมาแน่” จบลงอย่างน่าอับอาย

รัฐบาลและรัฐมนตรีโจมตีว่าชัยชนะของชัชชาติไม่มีความหมายทางการเมือง

แต่การที่อดีตแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยซึ่งชนะการเลือกตั้ง 2562 กลายเป็นผู้ว่าฯ ที่มีคนเลือกราวๆ 1.4 ล้าน ไม่มีทางไม่ใช่เรื่องการเมืองไปได้ โดยเฉพาะถ้าคำนึงว่าคนที่โจมตีชัชชาติทุกคนคือบริวารของรัฐบาล

ด้วยการด้อยค่าของคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าชัชชาติมีคนเลือกล้านสี่ไม่ใช่แลนด์สไลด์, ด้วยการเหยียดของคุณสุชาติ ชมกลิ่น ว่าชัชชาติลงที่อื่นก็ไม่ชนะ และด้วยข้ออ้างคุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ว่าคนเลือกชัชชาติจากคุณสมบัติส่วนตัว ชัยชนะของชัชชาติเป็นเรื่องการเมืองแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคุณประยุทธ์กับพวกคงไม่ต้องตอบโต้วุ่นวาย

รัฐบาลอาจดูถูกชัยชนะของชัชชาติโดยมโนว่าชัชชาติไม่มีทางมีคนเลือกถึงล้านสี่ หากสมัครในนามเพื่อไทย

แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ประชาชนลงคะแนนให้ผู้สมัครที่เป็นพวกรัฐบาลต่ำราวกับเป็นสิ่งของที่น่ารังเกียจ ไม่ว่าจะเป็นพวกรัฐบาลตรงๆ อย่างอัศวิน ขวัญเมือง และสกลธี ภัททิยกุล หรือโดยอ้อมแบบรสนา โตสิตระกูล



คู่ขนานไปกับความรังเกียจรัฐบาลคือความนิยมต่อฝ่ายค้านที่พุ่งขึ้นอย่างท่วมท้น เพราะนอกจากประชาชนจะเลือกเพื่อไทยและก้าวไกลเป็นสมาชิกสภา กทม.ถึง 34 จาก 50 คน จำนวนผู้ลงคะแนนเลือกทั้งสองพรรคยังสูงถึง 1,102,841 คน ซึ่งเป็นคนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอย่างแน่นอน

“สลิ่มเสียกรุง” จาก “อัลติเมตแลนด์สไลด์” ของชัชชาติ และการครองเสียงข้างมากในสภา กทม.ของเพื่อไทยและก้าวไกล แต่ที่แย่กว่านั้นคือรัฐบาลเสียความนิยมจากคนกรุงเทพฯ อย่างย่อยยับ เพราะผู้สมัครผู้ว่าฯ ฝ่ายรัฐบาลไม่มีคนเลือก ซ้ำพลังประชารัฐยังมีคนเลือกเป็น ส.ก.เพียงแค่ 2 คน

รัฐมนตรีสุชาติและชัยวุฒิรับลูกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยโจมตีว่าชัยชนะชัชชาติไม่มีความหมาย แต่ความพ่ายแพ้ของพลังประชารัฐมีความหมายแน่ๆ เพราะคือความพ่ายแพ้ของพรรคแกนนำรัฐบาลที่ประกาศหนุนประยุทธ์เป็นนายกฯ และเป็นความพ่ายแพ้หนที่สี่หลังเลือกตั้งซ่อมภาคใต้และหลักสี่ที่ผ่านมา

ตรงข้ามกับปี 2549-25577 ที่กรุงเทพฯ คือที่มั่นของมวลชนฝ่ายต้านประชาธิปไตยซึ่งหนุนรัฐประหารและเผด็จการ

หรือพูดตรงๆ คือเป็นกองกำลังหลักในการทำลายการปกครองของเสียงส่วนใหญ่ กรุงเทพฯ ในปี 2565 เป็นเมืองหลวงที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เอาเครือข่ายรัฐประหารและรัฐเผด็จการ

คําถามในทางการเมืองที่สำคัญคือคุณประยุทธ์จะปกครองประเทศอย่างไรในเวลาที่เมืองหลวงหันหลังให้รัฐบาลอย่างขัดแจ้งขนาดนี้

และยิ่งไปกว่านั้นก็คือคุณประยุทธ์ใช้วิธีการไหนในการดิ้นรนให้ตัวเองได้เป็นนายกฯ เกิน 8 ปีไปจนถึงปี 2570 ทั้งที่ศูนย์กลางของประเทศไม่เอาประยุทธ์ต่อไป?

เมื่อคำนึงว่าชัชชาติมีคนเลือกเกือบล้านสี่ ขณะที่เพื่อไทยและก้าวไกลมีคนเลือกรวมกันหนึ่งล้านหนึ่ง จำนวนคนที่เลือกชัชชาติโดยไม่ได้เลือกเพื่อไทยและก้าวไกลจึงมีเกือบสามแสน ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งผู้มีสิทธิลงคะแนนรุ่นใหม่, คนเคยเลือกพรรคอื่น หรือคนที่ไม่เคยเลือกใครเลย

กรุงเทพฯ หลุดมือรัฐบาลไปสู่ฝ่ายค้าน และชัยชนะของชัชชาติจะเป็นตัวแปรที่เร่งความเร็วในการหันหลังให้รัฐบาลรวดเร็วขึ้นไปอีก เพราะจะมีทั้งคนที่เกลียดรัฐบาลเพราะชอบฝ่ายค้าน, คนที่เลือกชัชชาติโดยไม่เคยเลือกฝ่ายค้าน และคนที่ชอบชัชชาติหลังจากเห็นชัชชาติทำงานในฐานะผู้ว่าฯ จริงๆ



ชัยชนะของชัชชาติมาจากตัวชัชชาติและความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาล ชัชชาติจึงไม่ได้เป็นแค่สัญลักษณ์ของความไม่พอใจรัฐบาลอย่างที่คุณทักษิณ ชินวัตร หรือคนอื่นพูด แต่พลังของชัชชาติมาจากการที่ชัชชาติเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสังคมไทย

ชัชชาติสมัครผู้ว่าฯ โดยลาออกจากพรรคอันดับหนึ่งของประเทศอย่างเพื่อไทย ชัชชาติจึงลงชิงผู้ว่าฯ โดยไม่มีพรรคใดสนับสนุน ภาพชัชชาติในมุมมองสังคมคือภาพของเทคโนแครตที่เสนอตัวเองให้ประชาชนเลือกไปเป็นผู้ว่าฯ ไม่ใช่ภาพของผู้ว่าฯ ที่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมือง

คณะทำงานของชัชชาติมาจากคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าที่มีความคิดใหม่ๆ ในสังคม คนเหล่านี้คือภาคเอกชน, ภาคประชาสังคม และปัจเจกบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ซึ่งไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ หรือการเมืองระดับท้องถิ่น หรือพูดอีกแบบคือเป็น “พลังอิสระ” ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน

ทุกอย่างที่ชัชชาติพูดหรือทำล้วนตรงข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลหรือแม้แต่นักการเมืองคิด ชัชชาติลงพื้นที่ตั้งแต่ยังไม่ประกาศเลือกตั้งผู้ว่าฯ ชัชชาติทำงานตั้งแต่ กกต.ยังไม่รับรอง ความเคลื่อนไหวของชัชชาติคือความเคลื่อนไหวของประชาชนอิสระที่รักในประเทศแท้ๆ จนพร้อมอุทิศตัวเองตลอดเวลา

ชัชชาติคือสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเขย่ารัฐบาล และทุกอย่างที่ชัชชาติทำจะเป็นตัวเปรียบเทียบความห่วยของคุณประยุทธ์และรัฐบาลตลอดเวลา