ปาฐกถายูทู้บของ อานันท์ ปันยารชุน คราวนี้ จะว่าเป็นสัญญาน ‘เลิกเฉย’ จากชนชั้นนำหรืออำมาตย์ของสังคมไทย ตัวแทนแห่งความย้อนแย้งในยุคปรัชญาพอเพียง ว่า ‘พอกันที’ กับการบริหาร/ปกครองแบบ ‘ไอทู้บ’ จะ ๘ ปีไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
“มันก็ ‘ซ้ำรอย’ อยู่เรื่อยๆ มีรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินไม่ค่อยเป็นไปตามความต้องการ หรือความประสงค์ของชาวบ้าน” อดีตนายกฯ พระราชทาน บอกกับรายการ ‘สภาที่ ๓’ “ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยการยึดอำนาจจากรัฐบาล”
อานันท์ ‘ร่ายยาว’ เรื่องประชาธิปไตย และความปรองดองสมานฉันท์ว่า “รัฐบาลที่เข้ามาหลังรัฐประหาร ก็ใช้วิธีการซ้ำซาก จับคน ทำโทษคน เล่นงานคนด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งทางด้านกฎหมาย โดยใช้อำนาจในทางที่ผิดทั้งนั้น” ถือว่ามีอำนาจพูดแล้วต้องฟังก็ปรองดองไม่ได้
เขายังมองว่า การฉ้อโกง คอรัปชั่น ทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร (แม้นว่าส่วนสำคัญเป็นเพราะความทะเยอทะยานของทหารเอง เช่นครั้งล่าสุดก็มาจากการวางแผนไว้ยาวนาน ด้วยความร่วมมือของฝ่ายการเมืองที่ชอบใช้ช่องทางลัดสู่อำนาจ)
แต่ก็ยังดีที่อานันท์สำนึกได้ (เมื่อสายเสียแล้ว) ว่าสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหาขัดแย้งแก่งแย่งทางการเมือง ด้วยวิธีตาอยู่มาคว้าเอาปลาไปกิน ‘ซ้ำแล้วซ้ำเล่า’ นั้น ท้ายที่สุดก็ล้มเหลวไม่ได้ผล ความเสียหายไปตกแก่บ้านเมืองและประชาชน
“เชื่อว่าในไม่ช้าก็จะเกิดวิกฤติในเมืองไทยขึ้นอีก และทุกครั้งที่เกิดวิกฤตมันจะหนักกว่าวิกฤตเก่า...ทำซ้ำซากมาเป็น ๑๘ -๑๙ ครั้งในระยะเวลา ๗๘-๗๙ ปี ผลลัพธ์ที่ได้เห็นทันตาเลย คือความจนของราษฎร มีแต่เลวลงๆ”
ทางออกที่อานันท์เอ่ยถึง ซึ่งก็เคยมีคนอื่นๆ พูดกันไว้มากแล้วเหมือนกัน “เกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตยก็คือ ของจิตใจคน อาจจะต้องมีการปรับหลักสูตรในโรงเรียนต่างๆ ให้เข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร” แต่เขาก็ยอมรับเองว่า “มันยาก”
ที่เขาว่าความสมานฉันท์จะเกิดได้ “ต้องเป็นการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ไม่ดูถูกซึ่งกันและกัน เคารพซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย” ซึ่งเป็นหลักการที่รู้ๆ กันอยู่ มาแต่ไหนแต่ไร แต่การเมืองเฉพาะหน้าทำให้ไม่มีใครทำเสียที
อานันท์ยังคงยึดมั่นหลักการในทางประชาธิปไตยอีกอย่างที่ว่า “เสียงข้างมากจะต้องเคารพเสียงของคนกลุ่มน้อยด้วย เห็นผลประโยชน์ของเสียงข้างน้อยด้วย ต้องประนีประนอม แล้วต้องทำงานร่วมกันพูดคุยกัน ความเห็นที่แตกต่างกันเป็นสิ่งที่ทำได้”
หากแต่หลักการนี้ได้ใช้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสี่ครั้งสามครา แล้วกลายเป็นการวางยาให้พวกพยัคฆ์เข้ามายึดอำนาจ แล้วหลังจากนั้นก้พากันเงียบกริบ อย่างมีน้ำอดน้ำทนรอกันมาตั้งเกือบจะ ๘ ปี ก็ยังดีอีกแหละที่เขายอมรับสภาพเมื่อมีเหลน
“ลูกของเราก็สอนอย่างหนึ่ง คือมีความเห็นอย่างหนึ่ง หลานอีกอย่างหนึ่ง ส่วนเหลนผม ๓ ขวบสามารถพูดโต้กับคุณทวดได้แล้ว เขามีวิธีคิดของเขาโอเคมาก” ดังนั้นเอาไปเปรียบเปรยเป็นอุปมาอุปมัยได้ว่า “คนแก่ต้องรู้ว่าเวลาของเรามันหมดไปแล้ว
อย่างรุ่นของตนต้องอยู่ข้างนอกเวที คนที่จะบริหารประเทศต้องเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม แต่จะต้องเป็นคนที่มีความคิดใหม่ๆ จะนำความคิดเก่าๆ มาใช้ไม่ได้แล้ว” เช่นกันกับการผลักดันแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
“ส่วนตัวไม่มีปัญหาที่จะมีมาตรา ๑๑๒ แต่อาจต้องมีการปรับปรุงบางอย่าง ต้องมีการระบุให้ชัดว่าใครเป็นคนที่จะสั่งให้สอบสวน สั่งให้ดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลได้” เขายกตัวอย่างว่าอาจเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีมหาดไทย กับรัฐมนตรียุติธรรม
คือถ้าไม่ต้องการให้ผู้เสียหายเป็นคนฟ้องร้องเอง ก็ควรให้ตัวแทนที่เป็นทางการ คือสำนักพระราชวัง แต่ไม่ใช่ใครก็ได้ใคร่ฟ้องฟ้อง เหมือนที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาอย่าง “ประเทศที่ยังนำมาใช้อยู่ ก็พยายามทำให้โทษเบาลงไป”
ซึ่งก็ยังไม่ตรงกับสภาวะความเป็นจริง และ/หรือตามครรลองนิยมสากล ที่อานันท์เองบอกว่า “หลายประเทศที่เขายังมีกฎหมายข้อนี้ใช้อยู่ เขาไม่ถือว่ามันเป็นอาชญากรรม แต่ส่วนมากเขาจะฟ้องในเรื่องทางแพ่ง หรือบางประเทศมีแล้วเขาไม่นำมาใช้เลย”
เพราะถ้าเป็นประเทศ ‘เจริญแล้ว’ ใช้ไปก็รังแต่จะเป็นความงี่เง่าเต่าตุ่น ดังเช่นกำลังเหม็นคลุ้งอยู่ขณะนี้ จาก “บันทึกการจับกุมที่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ทานตะวัน ตัวตุลานนท์” ตอนหนึ่งระบุว่าคำพูดของผู้ต้องหา “ด้อยค่าพระมหากษัตริย์” จากข้อความ
“ระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์ ใครมันสำคัญกว่ากัน” กับอีกตอนที่ ‘ตะวัน’ พูดถึงม็อบชาวนาถูกตำรวจไล่ที่เมื่อจะมีขบวนเสด็จฯ ผ่าน “เห็นชาวบ้านที่เขาเดือดร้อนเนี่ย คนที่เขาให้ภาษี คนที่เขาจ่ายภาษีให้พวกพี่เนี่ย
คนที่เขาจ่ายภาษีที่พระมหากษัตริย์เขาใช้เนี่ย พี่รับใช้ใครอยู่ คิดสิคิด” ตำรวจเอาไปคิดแล้วกลับมาบอกว่า “ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการพาดพิงถึงพระมหากษัตริย์ในทางเสื่อมเสีย...มิบังควรจาบจ้วงล่วงเกิน ทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท”
เอวัง ทั้งที่การพูดของตะวันในความเห็นของวิญญูชนเป็น “การแสดงออกอย่างสันติด้วยการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์” ดัง สุรพศ ทวีศักดิ์ ว่า “ไม่ได้ขัดหลักเสรีภาพในการแสดงออกตามระบอบ ปชต.และหลักสิทธิมนุษยชนสากลเลย”
(https://www.facebook.com/suraphotthaweesak/posts/4922636087829691CP-R, https://www.matichon.co.th/politics/news_3217808 และ https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_527552T0)