ท่ามกลางเสียงอึงคนึงเรื่องนายกฯ ของคณะยึดอำนาจใช้คำผรุสวาสขึ้น
‘กู-มึง’ ในการปาฐกถา เนื่องจากอารมณ์บ่จอยไปหน่อยเดียว
(แต่บ่อย) ก็ปรากฏการตัดสินคดีที่ตอกย้ำความอยุติธรรมในสังคมออกมาอย่างน่าโพทธนาให้โลกรับรู้
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ศาลฎีกากำหนดอ่านคำพิพากษาคดีแกนนำ
พธม. ผู้ก่อม็อบบุกข้าไปยึดครองทำเนียบรัฐบาลก่อความเสียหาย โดยมุ่งหมายกดดันให้นายสมัคร
สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นออกจากตำแหน่ง
เหตุแห่งคดีเกิดระหว่างวันที่ ๒๖ สิงหาคม ถึง ๓ ธันวาคม
๒๕๕๑ ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนนายสมัครถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นตำแหน่ง
และหลังจากที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้ารับตำแหน่งต่อ มีการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล
ทำลายกุญแจ ทำลายแผงกั้น เข้าไปทำความเสียหายภายในบริเวณและในอาคารทำเนียบ
จำเลย ๖ คนล้วนแต่มีชื่อเสียงโด่งดังในการก่อม็อบประท้วงหลายครั้ง
จนกระทั่งมีผู้ร่วมประท้วงเสียชีวิต
ที่โดดเด่นคนหนึ่งจากระเบิดปิงปองซึ่งพบว่าพกพากันภายในบริเวณชุมนุม
อีกคนจากระเบิดแสวงเครื่องติดตั้งภายในรถจี๊บที่ขับมุ่งสู่ที่ทำการพรรคการเมืองแห่งหนึ่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นตัดสินว่าจำเลยทั้ง ๖
คนมีความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘, ๓๖๕ (อนุ ๒),
๓๖๒ และ ๘๓ พิพากษาจำคุกคนละ ๓ ปี ลดโทษให้เหลือ ๒ ปี
เพราะให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา
ต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ แม้ศาลจะเห็นว่าจำเลยมีความผิดจริงตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
แต่ศาลอุทธรณ์กลับเห็นว่าโทษจำคุก ๒ ปี หนักไป ตัดสินใหม่ให้เหลือโทษจำเพียงคนละ ๘
เดือน แม้ไม่รอลงอาญา แต่จำเลยฎีกาต่อก็ไม่ถูกจำคุก
ในวันกำหนดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา
มีเหตุทำให้รูปคดีเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ศาลจำต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปถึงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์
เนื่องจากนายสุริยะใส กตะศิลา จำเลยคนหนึ่งไม่ไปศาล มีใบรับรองจากหมอว่าป่วย ‘ท้องเสีย’ และความดันโลหิตขึ้นสูง
จำเลยอีกคน นายสนธิ ลิ้มทองกุล
ซึ่งอยู่ในระหว่างถูกจำคุกในคดีฉ้อโกง ศาลเบิกตัวจากเรือนจำคลองเปรมมาฟังคำพิพากษา
ได้แจ้งต่อศาลขอถอนคำร้องซึ่งยื่นไว้ก่อนหน้านี้ที่ต้องการถอนฎีกาของตน
จึงเป็นที่น่าสังเกตุสำหรับคนทั่วไปโดยไม่คำนึงถึงข้อกฎหมายว่า
การที่นายสนธิยื่นขอถอนฎีกาไว้ก่อนหน้า
คงจะเป็นเพราะเห็นว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ลดให้นั้นพอใจแล้ว
ไม่เช่นนั้นหากศาลฎีกาพิพากษากลับให้โทษหนักขึ้นไปอีก
จะเป็นการแส่หาเรื่องโดยใช่ที่
ครั้นถึงวันพิพากษากลับยื่นขอถอนคำร้อง
ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจได้ว่า จำเลยอาจมีญานพิเศษอะไรบางอย่างให้คาดเดาว่า
ศาลฎีกาอาจจะพิพากษาให้นุ่มนิ่มไปกว่าเดิม โทษไม่รอลงอาญาอาจเปลี่ยนเป็นรอลงอาญา
หรือว่ายกฟ้องเหมาไปทั้งหมดเลย
นั่นก็เป็นเรื่องคาดเดากันเอาตามประสาคนที่เคยเห็นศาลฎีกาไทยพิพากษาคดีคล้ายกันไม่เหมือนกันมาแล้ว
มาครั้งนี้ศาล “เชื่อว่าจำเลยที่ ๖ (ยะใส) มีอาการป่วยจริง
ทำให้ไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ และอนุญาตให้นายสนธิ จำเลยที่ ๒ ถอนคำร้องขอถอนฎีกาได้”
ด้วยเช่นกัน
ทั้งที่เมื่อสองวันก่อนหน้านี้ ยะใสยังมีสุขภาพปกติสามารถไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีเกี่ยวเนื่องกันได้
เมื่อศาลยกฟ้องทั้งกระบิ อ้างว่าเป็นการฟ้องซ้ำซ้อนในเหตุการณ์เดียวกันที่จำเลยถูกดำเนินคดีไปแล้ว
ฐานบุกรุก
แม้คดีนี้เป็นการฟ้องตามมาตรา ๑๑๖, ๒๑๕ และ ๒๑๖
ของประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับการใช้กำลังประทุษร้าย
ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง อันมีฐานความผิดต่างกับอีกคดี แถมยะใสมีการให้ความเห็นเสียด้วยว่า
“ศาลชี้ให้เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นการชุมนุมโดยสงบ
ปราศจากอาวุธ แต่เหตุของความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากภายนอก
นี่ก็เป็นพยานหลักฐานสำคัญที่นำมาต่อสู้ในทุกคดี”
ในความรู้สึกของคนมีญาติมิตรติดคุกหรือเสียชีวิตจากการชุมนุมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่เมื่อปี
๒๕๕๓ซึ่งตลอดเวลา ๘-๙ ปีที่ผ่านมาได้แต่รันทดใจกับโชคชะตาที่ความยุติธรรมในบ้านเมืองเกิดกับคนสองฝ่ายไม่เหมือนกัน
อดสันนิษฐานไม่ได้ว่า ยะใสอาจมีญานสำนึกอะไรพิเศษบ้างอย่างที่คาดเดาเอาว่าสนธิมี
ว่าการอ่านคำพิพากษาครั้งใหม่ของศาลฎีกาอาจจะคล้อยตามศาลอุทธรณ์ในอีกคดีก็ได้