หายไปนาน ทั่นห่านอูโฆษกนายกฯ รัฐประหาร
โผล่มาปฏิเสธเสียงสั่น “ไม่ขายชาติ” เรื่องให้นักลงทุนจากนอกเช่าที่ดินได้ ๙๙ ปี
ในโครงการอีอีซี หรือ ‘ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก’
ข้ออ้างน่ะหรือ
ว่าเป็นไปตามหลักปฏิบัติสากลและกฎหมายเก่าแก่ตั้งแต่ปี ๒๕๔๒
“เป็นสิทธิเดิมที่นักลงทุนต่างชาติเคยได้รับ” นั่นคือ “สัญญาเช่าครั้งแรกจะไม่เกิน
๕๐ ปี และขยายตัวได้ตามความตกลงอีกไม่เกิน ๔๙ ปี”
นี่ถ้าไม่ใช่ห่านอูพูดสลิ่มไม่เชื่อนะ
เมื่อก่อนตั้งแต่หลังปี ๔๙ มา
เห็นพวกคลั่งลัทธิทหารพระราชาร้องแรกแหกกะเฌอกันนักไม่ใช่เหรอว่าไอ้การให้เช่า ๙๙
ปีเนี่ย ‘ทักษิณขายชาติ’ ทั้งที่มันกฎหมายเดียวกัน หลักการเดียวกันมาก่อน
แล้วก็ ‘อีอีซี’ นี่เหมือนกัน ทั่นรองฯ กูรูเศรษฐกิจของ คสช.
คุยนักหนาจะเอาญี่ปุ่นมาลงเป็นโขยง แล้วไง ข่าว ‘เจแปนไทมส์’
เพิ่งออกมาสะบัดมือเห็นนิ้วยาวโผล่ใส่ ว่าไตแลนเดีย เฮียไอไม่คัมคัม
แล้วนะ
“ความสนใจของบรรดาธุรกิจแจแปนนีส (๙๓๘ แห่ง) ต่อเวียตนามโตเอาโตเอา ดันให้ประเทศในเอเซียอาคเนย์แห่งนี้ติดอันดับสองของพื้นที่โพ้นทะเลน่าขยายกิจการไปลงทุน” ตามการวัดผลของ ‘JETrO’ องค์กรค้านอกประเทศของญี่ปุ่น
ประเทศอันดับหนึ่งในรายการนี้ยังคงเป็นจีน
แต่เวียตนามมาเขี่ยไทยตกไปอยู่อันดับสาม ยังดีกว่าสหรัฐที่ตามมาเป็นอันดับสี่
ในกรณีจีนนั้นแม้ยังครองแช้มป์ก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งมากมาย
เมื่อปีที่แล้วระดับความสนใจในการขยายการลงทุนของบรรษัทข้ามชาติญี่ปุ่นลดลงไปจากเดิม
๕๒.๓% มาเป็น ๔๙.๔%
สำหรับไทยว่าตามจริงก็ไม่เลวนัก ‘not
too chubby’ สำหรับอันดับสามที่เพิ่งโดนน็อคดาวน์จากอันดับสองที่ครองมาหลายปี
เพียงแต่ว่าเวียตนามเขามาแรงมากแซงหน้าไทยแบบฝุ่นตลบ
ตัวเลขผลการสำรวจของเจโทรเปิดเผยเมื่อกลางอาทิตย์ที่ผ่านมา
ชี้ว่าเสน่ห์ของญวนต่อบรรษัทข้ามชาติญี่ปุ่นพุ่งจี๋ตั้งแต่ ๒๐.๓% ในปี ๒๕๕๔ ไปเป็น ๓๔.๑% ตอนปี ๕๙ และมาสู่ ๓๗.๕% เมื่อปีที่แล้ว
นั่นพูดแบบเข้าข้างตัวเองน่ะ
แทนที่จะบอกว่าเราแย่ลง ก็เปลี่ยนเป็นเขาแน่กว่า แต่เราเท่าเดิม ประมาณว่าน้ำลดไปครึ่งแก้วหรืออีกแค่ครึ่งแก้วก็จะเต็มแล้ว
ฝรั่งว่า ‘optimistic or pessimistic’
ทว่าความจริงมันต่างไป เทียบเคียงกับ ‘คนละเรื่องเดียวกัน’ จากคำวิจารณ์ของ Atukkit
Sawangsuk ต่ออาการขี้คุยของหัวหน้า คสช.
เกี่ยวกับคดี ‘ค่าโง่คลองด่าน’
“คอยดูเถอะ
การล้มคำตัดสินอนุญาโตตุลาการบ่อยๆ จะทำให้ประเทศนี้ไม่มีใครเชื่อมั่น
บริษัทข้ามชาติที่มีมาตรฐานจะไม่ทำสัญญาด้วย” มันเป็นไปได้มากที่ทุนต่างชาติ
โดยเฉพาะที่เขาใช้มาตรฐานตะวันตก เมินไทย เพราะการใช้กฎหมายกรู ของ คสช. นั่นละ
งานนี้ก็ห่านอูอีกแหระ
อ้างคำของนายว่าพอใจผลงานกระทรวงคลังที่รื้อคดีค่าเสียหาย ๙,๖๐๐
ล้านบาทที่ต้องจ่ายผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ให้ศาลปกครองกลางถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด
พูดแทนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า “ซึ่งที่ผ่านมาอาจไม่สามารถดำเนินการได้ในรัฐบาลปกติ”
ถ้อยคำหยาดเยิ้มแต่แฝงด้วยเล่ห์กระเท่นี่ ‘หยิกเล็บเจ็บเนื้อ’
นะ จะทับถมรัฐบาลที่แล้ว แต่กลับเข้าเนื้อตัวเอง
แบบที่อธึกกิตว่า “แล้วรัฐบาลไม่ปกตินี่ไปสั่งศาลได้เรอะ
เรื่องนี้เป็นคำสั่งศาลเว้ย กรมควบคุมมลพิษเพียงแต่ไปขอฟื้นคดี
แล้วศาลปกครองพิพากษาพลิก แต่ยังเหลือศาลปกครองสูงสุดอีกชั้น”
การพูดอย่างนี้เท่ากับว่า “กดดันตุลาการศาลปกครองสูงสุด
ถ้าพิพากษายืนตามคดีเดิมว่าต้องจ่าย ก็จะถูกรุมถล่มว่าไม่รักชาติ” ใช่นิ
รึว่าถ้าพวกเดียวกันกดดันได้ ประชาชนทั่วไปหรือใครอื่นขืนทำบ้างเป็นโดน
รวมทั้งการวิจารณ์คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งออก พรป.มาขย่มชาวบ้าน
มันน่าขำแบบแค่นๆ ตรงว่าไม่ทันไรพวกเดียวกันวิจารณ์แล้ว
“เอ้านี่เลย! ลองยา พรป.ห้ามวิจารณ์ศาล
รธน. คนแรกเลย! เช็คกันคำต่อคำ ถ้าคนนี้รอด ก็มีช่องล่ะครับ” █ Ghost Writer █ @RITT41
ว่าถึงข่าวมติชนเรื่อง “สุพจน์ ไข่มุกด์ ผิดหวัง
มติศาลรธน.ปล่อยกรรมการป.ป.ช.มีตำหนิอยู่ต่อ”
จำกันได้นะทั่นไข่มุกด์คนนี้เคยเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ที่บอกชัชชาติ สิทธิพันธุ์ว่ารถไฟเร็วสูงเอาไว้ก่อน
รอจนกว่าถนนฝุ่นลูกรังหมดค่อยว่ากัน เดี๋ยวนี้มาเป็นรองประธานร่างรัฐธรรมนูญ
(กรธ.) “รู้สึกผิดหวังและตกใจ” ที่ศาลรัฐธรรมนูญวันนี้วินิจฉัยให้กรรมการ ปปช.
ซึ่งมีคุณสมบัติเข้าลักษณะต้องห้าม ดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบวาระ
ถึงแม้สุพจน์จะไม่วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
ก็ตีวัวกระทบคราดไปที่ สนช. ที่เขียนกฎหมายลูกเป็นข้อยกเว้น ชนิด “กฎหมายลูกฆ่าแม่
และกลายเป็นกฎหมายลูกทรพี”
เขาอ้างหลักนิติธรรมด้วยว่า
“การเขียนรายละเอียดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายแม่บท
คือรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ ความรู้สึก หรือการต่างตอบแทน
เพื่อเขียนสาระที่ปู้ยี่ปู้ยำรัฐธรรมนูญ”
เหล่านั้นคือการละเมิดรัฐธรรมนูญของ สนช.
ที่ศาลรัฐธรรมนูญตีตราประทับรับรองให้