วันเสาร์, มีนาคม 24, 2561

‘โชว์โง่’ ตู่ไม่รู้ ม.๑๐๒ กับ ๑๐๓ ติ่งไม่เห็นหลานหัวหน้าพรรค 'เด็กรุ่นใหม่ฝึกงาน'


นี่ถ้าไม่ กำจัดสมชัยด้วยวิธี ม. (มักง่าย) ๔๔ ละก็ คงไม่ค่อยมีใครเห็น โชว์โง่’

การใช้อำนาจไร้ขอบข่ายของมาตรา ๔๔ สั่งพักงานนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ทำให้อดีต กกต.ตัวแสบ หมดความเกรงใจ คสช. สวนกลับข้อกฎหมายชนิดถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ผิวหนา ป่านนี้หน้าแตกระแหงเป็นแผ่นดินหนองบัวลำภูหน้าแล้งไปแล้ว

ต่อกรณีที่ประยุทธ์พูดถึงข้ออ้างปลดนายสมชัยว่าทำให้เกิดการสับสนเรื่องวันเลือกตั้ง “เขาเป็นคนกำหนดวันเวลาเลือกตั้งหรือ ใครเป็นคนกำหนด รัฐบาลกับ คสช.ไม่ใช่หรือ หรือ กกต.เป็นคนกำหนด”

สมชัยเขาเลย fact check ให้ว่า กกต. ครับทั่น มาตรา ๑๐๒ และ ๑๐๓ ของรัฐธรรมนูญ ออกแบบให้มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างรัฐบาลและ กกต. คือรัฐบาลเป็นผู้ออกกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง แต่ กกต.เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง”

อีกทั้งมาตรา ๑๐๔ ยังให้อำนาจ กกต.เลื่อนวันเลือกตั้งได้ถ้ามีเหตุจำเป็น ด้วยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี เขาอ้างกรณีการเลือกตั้ง ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ กกต.ต้องการให้เลื่อนเลือกตั้งออกไปก่อนสองสามเดือน แต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ยอม และไม่สามารถยับยั้ง กปปส. และพลพรรคฝ่ายค้านขัดขวางการเลือกตั้งได้

จนท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เข้าทางคณะทหารมาฉกเอาไปกิน ล้างกระดานการเมืองเสรีนิยม เขียนรัฐธรรมนูญใหม่สวมเขาประชาธิปไตย คสช. ประกาศยุทธศาสตร์ชาติเพ้อเจ้อ มุ่งหมายเพียงให้การเมืองอยู่ภายใต้กำกับบงการของคณะทหารแทบทุกกระเบียดนิ้วต่อไปอีกอย่างน้อยๆ ๕-๒๐ ปี

นั่นอาจเป็นประเด็น ช่วยไม่ได้ ในเมื่อความต้องการโค่นรัฐบาล ตระกูลชินของเหล่าชนชั้นนำ อิงเจ้า และชนชั้นกลางในเมือง หัวสูงถูกสุมด้วยชั้นเชิงใส่ร้ายโจมตีจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งถูกบ่อนไส้ด้วยเส้นสายลิ่วล้อทหารในนาม กปปส. คณะยึดอำนาจ คสช. จึงเข้าครอบครองบ้านเมืองโดยแยบยล

ถึงแม้ว่าบทบาทของนายสมชัยในการเปิดให้เห็นเนื้อร้ายระบอบ คสช.ที่กำลังเกาะกินร่างกายแห่งประชาธิปไตยเสรี ลุกลามยิ่งขึ้นแต่ละวัน จะมาจากเหตุตกสวรรค์หรือนายเก่าไม่เลี้ยงก็ตามที

ต้องยอมรับว่า คนที่พูดถึงการใช้ ม.๔๔ ปลดกรรมการเลือกตั้งกลางคัน เป็นการลุกล้ำก้ำเกินองค์กรอิสระนั้น รายอื่นๆ ได้รับการสนใจไม่เท่านายสมชัย ไม่ว่าจากนายจาตุรนต์ ฉายแสง แห่งพรรคเพื่อไทย หรือนายวีระ สมความคิด อดีตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)

โดยเฉพาะในประเด็นที่นายสมชัยบอกว่า “ขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกเดียวกันนี้ไปยังองค์กรอิสระอื่นๆ...ไปถึงการพิจารณาตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ อาจมีความเป็นอิสระน้อยลง เพราะทุกคนรู้ว่า คสช.สามารถใช้ ม.๔๔ เพื่อปลดผู้เห็นต่างได้”


การเข้ามาจัดระเบียบการเมืองการปกครองประเทศระยะยาวถึง ๒๐ ปี โดยคณะทหาร ซึ่งอิงอ้างสถาบันกษัตริย์ (จากคำข่มคนประท้วงรัฐบาลของประยุทธ์ที่หนองบัวลำภูว่า “ทรงทอดพระเนตรอยู่”) ประดุจดังทำหมันเสรีภาพของการเห็นต่าง และตัดเส้นเลือดแห่งการเลือกแนวทางปกครองโดยประชาชน อย่างสิ้นเชิง

ทั้งที่ยุทธศาสตร์ชาติที่ คสช.จัดร่างไว้เป็นข้อบังคับทุกรัฐบาลในอนาคต จะแอบอ้างความก้าวหน้าทางระบบดิจิทัล แต่ คสช.ก็จัดวางเครื่องมือกำกับควบคุมกิจกรรมสังคมในระบบดิจิทัล ให้อยู่ในกรอบรัฐทหาร ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ ที่จะออกมาบังคับใช้ในไม่ช้าไม่นาน (วัดจากกรรมวิธีผ่านร่างกฎหมายสามวาระรวดในวันเดียวของ สนช.)
 
จากการวิเคราะห์ของ อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต มองเห็นอนาคตของการจ้องจับผิดประชาชนในสไตล์ บิ๊กบราเธอร์ ได้แจ่มแจ้ง จากโครงสร้างอำนาจของคณะกรรมการ “เหมือนถอยหลังไปเป็นยุคที่ทหารนำ มันคือการใช้มุมมองความมั่นคงทางการทหาร เรื่องการป้องกันประเทศเป็นหลัก ไม่มองมิติอื่น

ไม่เพียงกำหนดเนื้อหาในการกำกับควบคุมไว้อย่างกว้างขวางมากแล้ว “ต่อไปหากเป็นการโพสต์ลงเฟสบุ๊ควิพากษ์วิจารณ์การเมือง สถาบัน หรือวิจารณ์เช่นยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ล้อเลียนนายกฯ” จะถูกเหมาเอาเข้าไปเป็นความผิดในข้อหาขัดต่อความมั่นคงของประเทศได้ทั้งสิ้น

นอกจากนั้นยังมีการสร้าง แผนแม่บทกำกับนโยบายสองง่าม คือแม่บทการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กับแม่บทในการรักษาความมั่นคง ซึ่งฝ่ายความมั่นคงมีอำนาจท้วงฝ่ายเศรษฐกิจฯ ได้ ขณะที่ฝ่ายเศรษฐกิจฯ ไม่มีสิทธิเสียงท้วงฝ่ายความมั่นคงเลย

อีกประเด็นอันสำคัญต่อเสรีภาพของเอกชนในการประกอบกิจกรรมดิจิทัลก็คือ การจะขอข้อมูลใดถ้าเอกชนเป็นผู้ขอจะต้องให้ศาลอนุมัติ แต่ถ้าราชการขอไม่ต้องผ่านศาล อันนี้เป็นระบบรัฐราชการอย่างแจ่มแจ้ง ในลักษณะน้อยกว่าประชาธิปไตยครึ่งใบด้วยซ้ำไป

เช่นนี้แล้ว การที่ประชาธิปัตย์ส่งหลานหัวหน้าพรรค นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ไปเปิดตัวในวงสัมมนาของ สุทธิชัย อะคาเดมี่ที่บิ๊กซีราชดำริ ร่วมกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่า “พร้อมทำงานร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว...

ยืนยันจะเป็นคนรุ่นใหม่ของประชาธิปัตย์ ผลักดันอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยก้าวพ้นจากความเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม และเชื่อมั่นผู้ใหญ่ในพรรค” นั้นจะผลักดันอุดมการณ์ที่ว่าได้ละหรือ นี่ไม่ว่าถึงการย้อนแย้งที่จะต้องเชื่อมั่นผู้ใหญ่พร้อมกันไปด้วย

ซ้ำร้ายคนในพรรคเดียวกัน บ่อนไส้เสียอีก ‘E-Thing’ ของหลาน ‘I-Thim’ คายไว้บนหน้าเฟชบุ๊คว่า “ประเทศชาติชาติไม่ใช่ที่ฝึกงานของเด็กรุ่นใหม่” ทำเอาบรรดา คนรุ่นใหม่ของ ปชป.พากันเกาหัวอุทานด้วยระบบดิจิทัลว่า ‘E-5”

หล่อนคงไม่ตั้งใจสับโขกหลานรักหัวหน้าขนาดนี้ เพียงแต่รองโฆษกพรรคนางนี้ขาดแคลนวุฒิภาวะไปนิดหนึ่ง ตั้งใจจะจวกดะ ธนาธรพรรคอนาคตใหม่ ไม่ทันดูสารรูปตัวเองแค่นั้นแหละ