วันจันทร์, กันยายน 04, 2560

มติชนสุดสัปดาห์: รายงานพิเศษ/ปฏิบัติการ ลูบคม “พยัคฆ์” “ปู” หนี เขย่า “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” “คนคนเดียว” สะเทือนทั้ง คสช.-กองทัพ จับสัญญาณจาก “ป๋า” ในวันเปลี่ยนผ่าน





รายงานพิเศษ/ปฏิบัติการ ลูบคม “พยัคฆ์” “ปู” หนี เขย่า “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” “คนคนเดียว” สะเทือนทั้ง คสช.-กองทัพ จับสัญญาณจาก “ป๋า” ในวันเปลี่ยนผ่าน


มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กันยายน 2560
3 กันยายน พ.ศ.2560


รายงานพิเศษ

ปฏิบัติการ ลูบคม “พยัคฆ์”

“ปู” หนี เขย่า “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”

“คนคนเดียว” สะเทือนทั้ง คสช.-กองทัพ

จับสัญญาณจาก “ป๋า” ในวันเปลี่ยนผ่าน

เรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นได้เสมอ ในยุคนี้สมัยนี้…

ตั้งแต่ครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. นำคณะรัฐมนตรี และ ผบ.เหล่าทัพ ตบเท้าเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ อวยพรวันเกิดย่าง 98 ปี

เพราะในปีนี้ คำพูดของป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ถูกตีความกันไปหลายทิศทาง

แม้ พล.อ.เปรม จะแข็งแรง แต่อีก 2 ปีก็มีอายุขึ้นหลักร้อยแล้ว อาจใกล้ถึงเวลาที่ พล.อ.เปรม ต้องพักผ่อนเช่นคนในวัยเดียวกัน

จึงทำให้กลิ่นอายของการสั่งลาระคนอยู่ในใจในวันเกิดของ พล.อ.เปรม วันนั้น โดยเฉพาะการเน้นถึงความเป็น “มิตร” ที่จะมั่นคงตลอดไป

“ความเป็นมิตรของเราจะยังอยู่อย่างเดิม แม้ว่าตนเองจะช่วยนายกฯ และพวกเราไม่ได้มากนัก นอกจากนานๆ จะคุยกันที ให้กำลังใจกัน เป็นมิตรที่ดีต่อกัน และปรารถนาดีต่อกัน”

ด้วยเพราะสถานภาพของ พล.อ.เปรม เปลี่ยนไป

“เราก็จะจำวันนี้ไว้ว่า จะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ความเป็นมิตรจะยั่งยืนตลอดไป ไม่ว่าเราจะจนลง หรือรวยขึ้น หรือไม่ได้ทำหน้าที่แล้ว แต่ความเป็นมิตรก็ยังคงอยู่ที่เดิม ดังนั้น ขอให้ทุกคนช่วยกันดูแลชาติบ้านเมือง” พลเอกเปรม เน้นย้ำที่คำว่า “ไม่ได้ทำหน้าที่แล้ว”

รวมทั้งขอให้คนไทยมีความสุขและระลึกถึงอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ตาม ว่ารัฐบาลของนายกฯ ตู่ ช่วยให้คนไทยมีความสุขมากขึ้น และขอให้มีความมั่นคง ที่จะสละทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมืองของเรา เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อเกียรติยศ ชื่อสียง แต่เราอาสาเข้ามาทำเพื่อชาติบ้านเมือง อาสาเข้ามาด้วยความปรารถนาดีจริงๆ เราเข้ามาเหนื่อย ยุ่งยาก และปวดศีรษะ ขอให้มีความสุข และขอให้ทุกคนโชคดี มีคนรักเยอะๆ คนไม่รักน้อยๆ

ก่อนจะพุ่งตรงไปที่ 3 ป. “ป้อม-ป๊อก” ที่จะต้องช่วยดูแล “น้องตู่” โดยเฉพาะการเตือนให้ พล.อ.ประยุทธ์ หนักแน่น มั่นคง อย่าไปสนใจคนวิพากษ์วิจารณ์ อยากให้สนใจแต่เรื่องที่เรามุ่งมั่นปรารถนาทำเพื่อชาติ ถ้าพวกเขาพูดก็ปล่อยไป อย่าเอามาเป็นกังวลให้ปวดศีรษะเปล่าๆ

“ขอให้เป็นตู่คนเดิมตอนเป็น ผบ.ทบ. จนเป็นนายกฯ ทำได้เช่นนี้ อาการปวดศีรษะก็จะน้อยลง” พล.อ.เปรมระบุ

แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงก็อุบัติขึ้น เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนีออกนอกประเทศ ไม่ได้ไปขึ้นศาลฟังคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าว 25 สิงหาคม 2560

ที่สะเทือนต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลทหาร ของ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. ที่ดูแลความมั่นคงอย่างแรง





อาจเรียกได้ว่า เป็นเสมือนการปฏิวัติซ้อน คสช. ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ทำให้สิ่งที่ทหารทั้งกองทัพและฝ่ายความมั่นคงนึกไม่ถึง และส่งผลสะเทือนทั้งบัลลังก์รัฐบาลและเก้าอี้ของฝ่ายความมั่นคง

เพราะทำให้สังคมเกิดข้อกังขาว่า คสช. รู้เห็นเป็นใจ หรือเปิดทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หนีไปได้หรือไม่ เพราะเข้าทฤษฎี วิน-วิน คือได้ประโยชน์ทั้ง คสช. และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในแง่ที่ดีกว่าเสี่ยงให้ติดคุก

จนมีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เป็นนายกฯ และ รมว.กลาโหมหญิง

“ไม่มีใครเขาบ้าทำหรอก” พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันไม่มีการสมยอม ไม่มีการเกี้ยเซียะ หรือเป็นมวยล้มต้มคนดู หรือดีลอะไรทั้งสิ้น

ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า “หนักอก”

“อย่ายกความรับผิดชอบให้ผม มันหนักอก เข้าใจไหม ถ้าท่านเป็นผม ก็จะรู้ว่าผมช่วยใครไม่ได้หรอก” บิ๊กตู่กล่าว

งานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จำต้องวอนขอต่อสังคม อย่าตัดสินผลงานของรัฐบาลว่าล้มเหลว จากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หนีคดีไปได้

“อย่าทำให้สิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอด 3 ปี ต้องล่มสลายไปด้วย “คนคนเดียว” เลย ผมขอแค่นี้ได้ไหม และขอให้เชื่อมั่นในตัวผม” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว





จึงไม่แปลกที่แรงกดดันที่พุ่งเข้าใส่ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้จะทำให้เขาต้องผ่องถ่ายไปที่บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. ในฐานะที่ดูแลการปฏิบัติของฝ่ายความมั่นคง

โดยเฉพาะการเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของ คสช. จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตำหนิโดยตรงมาที่ พล.อ.เฉลิมชัย

“ผมในฐานะที่ดูแลฝ่ายความมั่นคง ผมก็ต้องยอมรับว่ามีความบกพร่อง ซึ่งผมก็ยอมรับ และสังคมก็ตำหนิผมอยู่นี่” พล.อ.เฉลิมชัยกล่าว

เพราะอย่าลืมว่า ยุคนี้เป็นยุค คสช. ยุครัฐบาลทหาร มีทหาร ตำรวจอยู่ทุกหย่อมหญ้า แถมทั้ง พล.อ.เฉลิมชัยเองก็ได้ชื่อว่าเป็นทหารรบพิเศษ ฝีมือเยี่ยม ที่ทำงานการข่าวลับมาอย่างโชกโชน

แต่ที่สุดก็ต้องมาเจอกลยุทธ์ลับลวงพราง ที่แสนแนบเนียนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย ต้องเอ่ยปากว่า “คุณยิ่งลักษณ์ไม่ใช่คนธรรมดา”

ด้วยเพราะเป็นอดีตนายกฯ ที่มีบารมี มีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือสนับสนุน และมีนายทักษิณ อดีตนายกฯ พี่ชาย ที่คอยช่วยคิดวางแผนและเคลียร์เส้นทางให้ รวมถึงนายตำรวจติดตาม

โดยเฉพาะเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัว ที่เชื่อกันว่า บินมารับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ บนเขตแดนกัมพูชา ที่อาจจะเป็นของนายทักษิณ หรือของเครือญาติของชินวัตรในกัมพูชาเองก็ตาม

“ไม่ต้องมีอำนาจพิเศษ ไม่ต้องมีดีล หรือเกี้ยเซียะอะไรกับ คสช. คุณยิ่งลักษณ์ก็มีศักยภาพในการที่จะหลบหนีได้

“ผมยืนยันว่า มีการเตรียมการและตัดสินใจล่วงหน้าไว้แล้ว แต่รอแค่จังหวะและโอกาสเท่านั้น” พล.อ.เฉลิมชัยระบุ

นั่นจึงทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องแสดงความไม่พอใจและออกมาฟ้องสื่อ ฟ้องสังคม ว่าถูกทหารตามประกบใกล้ชิด ตามถ่ายรูป หรือตามขบวนรถ จนทำให้ทหารต้องเบาบางความเข้มข้นในการเกาะติด และกลายเป็นช่องโหว่

แถมทั้งชายแดนรอบบ้านที่ยาวกว่า 5.6 พันกิโลเมตรนั้นก็ยังมีช่องโหว่ในการเล็ดลอด หรือหากมีประสบการณ์ หรือคุ้นเคย หรือมีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ ก็สามารถอำพรางตน นั่งรถตู้ออกไปกัมพูชาได้แบบไม่ลำบาก

หรือแม้แต่การหลบหนีทางทะเล ที่ใช้เรือแล่นออกน่านน้ำกัมพูชาด้านเกาะช้าง จ.ตราด แล้วไปขึ้นฝั่งกัมพูชา อย่างที่ พล.อ.ประวิตร สันนิษฐานก่อนหน้านี้เองก็ตาม

ที่สำคัญที่สุด ทั้ง 3 คีย์แมนความมั่นคง ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.เฉลิมชัย ยอมรับเหมือนกันว่า “คาดไม่ถึง” ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะหนี





“ผมนึกว่าจะเป็นคนกล้าหาญ” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

“ใครจะไปคิดว่าคุณยิ่งลักษณ์จะยอมเสียเงินประกัน 30 ล้าน อีกทั้งได้พูดมาตลอดว่า จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม และยืนยันว่าจะไม่หนี” บิ๊กเจี๊ยบระบุ

ก่อนชี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทีมวางแผน ก็ใช้กลยุทธ์ “ลับลวงพราง” ที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจว่าจะไม่หนี อีกทั้งคุณยิ่งลักษณ์ก็ตีบทได้แนบเนียน

แต่ที่เรียกว่าขั้นเทพคือการเลือกที่จะหนีใน 48 ชั่วโมงก่อนวันพิพากษาเท่านั้น ที่ก็กลายเป็นห้วงเวลาที่ฝ่ายความมั่นคงคาดไม่ถึงด้วยนั่นเอง

งานนี้ไม่ใช่แค่นายตำรวจติดตามเท่านั้นที่ถูก คสช. ตั้งข้อสงสัย แต่มีตำรวจมะเขือเทศ และทหารแตงโม อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบด้วย

ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์เรียกว่าเป็น “คนชั่วบางคน” และประกาศที่จะต้องหาตัวมาให้เจอให้ได้

แต่ที่แน่ๆ ผลพวงของเรื่องนี้ ทำให้เกิดความหวาดระแวงกันเองใน คสช. และฝ่ายความมั่นคงด้วย

แต่คนที่ถูกพาดพิงเสมอคือ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ งานนี้รับไปเต็มๆ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ที่คุมทั้งตำรวจ ทหาร หน่วยข่าวกรองมากมาย

ที่สำคัญ ถูกฝ่ายต่อต้ายระบบทักษิณสงสัย ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เพราะขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ในยุคทักษิณ และตกเป็นจำเลยสังคมในเรื่องดีลกับนายทักษิณมาตลอด

จะเห็นได้ว่า เมื่อ พล.อ.ประวิตร ไปต่างประเทศ ก็มักจะถูกสงสัยว่าไปเจรจาลับกับนายทักษิณ เพื่อเคลียร์ปัญหา หรือต่อรองอะไรกันเสมอๆ

“ผมไม่เคยติดต่อคุณทักษิณเลย ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ ผมก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพูดจา ไม่เคยคุยด้วยเลย” พล.อ.ประวิตรลั่น

ไม่แค่นั้น เริ่มมีการกลับมามองที่สุขภาพที่ไม่แข็งแรงและอายุมากขึ้นของ พล.อ.ประวิตร ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดูแลความมั่นคงต่อไปหรือไม่






แม้ว่าในวันเกิดของ พล.อ.ประวิตร 11 สิงหาคมที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จะส่งสัญญาณว่า “ท่านก็จะอยู่กับผมไปทั้งชาติ” แล้วก็ตาม แต่ผลพวงของเรื่องนี้ อาจทำให้อะไรก็ไม่แน่นอน

จนทำให้เกิดการจับตามองว่า ในขณะที่โผโยกย้ายทหารยังไม่ประกาศออกมา แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะส่งขึ้นขั้นตอนการทูลเกล้าฯ แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีข่าวลือสะพัด ทั้งๆ ที่เป็นขั้นตอนที่ไม่สามารถแก้ไขใดๆ ได้แล้วก็ตาม แต่ข่าวลือก็ยังคลอกระแสอยู่

แต่สถานการณ์เพลี่ยงพล้ำของกองทัพและ คสช. ครั้งนี้ ทำให้มีการปลุกกระแสหาคนรับผิดชอบ จากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หนีไปได้

ในแง่ของการปรับเปลี่ยนตัวคนที่ดูแลฝ่ายความมั่นคงและหน่วยการข่าวกรอง ตั้งแต่ระดับหัวลงมาเลยทีเดียว

โดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประวิตร เปรยๆ ว่า “เดี๋ยวดูก่อน ว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนตัวใครคนใดหรือไม่”

เพราะมีข่าวสะพัดเรื่องการแก้ไขในบางตำแหน่ง ยังคงมีอยู่ตลอดเวลา ทั้งในระดับผู้บัญชาการกองพลและแม่ทัพภาค แต่ในระดับ ผบ.เหล่าทัพ คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แล้วนับจากนี้

แต่ตราบใดที่โผทหารยังไม่คลอด กระแสข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวจริง ก็ยังคงสะพัดกันต่อไป