
พริษฐ์ วัชรสินธุ - ไอติม - Parit Wacharasindhu
Yesterday
·
[ ถึงเวลาแล้วหรือไม่ ในการยกเลิก “หลักสูตรคอนเนคชัน” ที่หล่อเลี้ยงระบบอุปถัมภ์ และเสี่ยงกลายเป็น one stop service ให้กับผู้ประสงค์ร้ายในการเข้าถึงผู้มีอำนาจในประเทศจากทุกแวดวง ]
.
สังเกตไหมครับ ว่าหลังจากที่สังคมได้เห็นและตั้งคำถามต่อภาพที่มีการปรากฏตัวร่วมกันของบุคคลที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ กับเครือข่ายผู้มีอำนาจทางการเมือง-ธุรกิจ-ทหาร-ตำรวจ-ราชการ คำชี้แจงของผู้มีอำนาจหลายคนเกี่ยวกับที่มาของภาพ มักโยงกลับไปที่ #หลักสูตรอุปถัมภ์ หรือ #หลักสูตรคอนเนคชัน ตัวย่อต่างๆของหน่วยงานรัฐ
.
- รูปกับนายกฯ ที่หน้าโรงแรม ก็ถูกชี้แจง ว่าเป็นภาพระหว่างการเดินทางไปดูงานที่สิงคโปร์ของหลักสูตร วปอ.
- รูปกับรองนายกฯ ในงานเลี้ยง ก็ถูกชี้แจง ว่าเป็นกิจกรรมของหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
.
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราควรจะเอาจริงกับการทบทวนหรือยกเลิกการมีอยู่ของหลักสูตรเหล่านี้ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งมีอยู่อย่างแพร่หลายในหลายหน่วยงาน (เช่น วปอ. ของกระทรวงกลาโหม / นธป. ของศาลรัฐธรรมนูญ / บยส. ของศาลยุติธรรม / นยปส. ของ ป.ป.ช. / พตส. ของ กกต.)
.
ที่ผ่านมา ผมได้เคยนำเรื่องดังกล่าวหารือใน กมธ. พัฒนาการเมืองฯ ร่วมกับหน่วยงานเจ้าของหลักสูตร - แม้หน่วยงานพยายามให้เหตุผลว่าหลักสูตรต่างๆถูกริเริ่มด้วยเจตนาที่ดีในการส่งเสริม “การเรียนรู้” ระหว่างองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งคำถามมาโดยตลอด คือการมีอยู่ของหลักสูตรเหล่านี้ “ได้” คุ้ม “เสีย” หรือไม่ ?
.
1. หากหลักสูตรเหล่านี้สร้างประโยชน์ได้จริง และไม่ได้มีไว้เพื่อเส้นสายหรือ “คอนเนคชัน” เป็นหลัก ทำไมเราถึงไม่ค่อยได้รับรู้ถึงนวัตกรรมเชิงนโยบายหรือประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมของการร่วมมือกันระหว่างผู้เข้าเรียนจากแต่ละองค์กร ทั้งๆที่หลายหลักสูตรเหล่านี้จัดมาหลายสิบรุ่น?
.
2. หากหลักสูตรเหล่านี้สร้างประโยชน์ได้จริง และไม่ได้มีไว้เพื่อเส้นสายหรือ “คอนเนคชัน” เป็นหลัก ทำไมเราไม่เคยเห็นถึงความพยายามในการนำคลิปการสอนจากหลักสูตร (เฉพาะส่วนที่เป็นการบรรยาย ไม่ใช่ส่วนที่เป็นการทำกิจกรรม workshop) มาเผยแพร่ออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงองค์ความรู้บางส่วนที่ถูกถ่ายทอดในหลักสูตร?
.
3. หากหลักสูตรเหล่านี้สร้างประโยชน์ได้จริง และไม่ได้มีไว้เพื่อเส้นสายหรือ “คอนเนคชัน” เป็นหลัก ทำไมเราไม่เคยเห็นถึงความพยายามของหลักสูตรในการปรับรูปแบบเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องการสร้างระบบเส้นสายและระบบอุปถัมภ์ (เช่น จัดการเรียนการสอนเป็นรูปแบบออนไลน์เพื่อลดกิจกรรมสันทนาการ / เปลี่ยนจากหลักสูตรที่รับผู้เข้าเรียนเป็นรุ่นๆมาเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนหัวข้อและผู้เข้าร่วมเป็นครั้งๆตามความเหมาะสม / แยกกิจกรรมการเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนจากแต่ละองค์กรที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบกันและกัน หรือเสี่ยงจะเอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน)
.
4. แม้คุณเชื่อว่าหลักสูตรเหล่านี้สร้างประโยชน์ได้จริง มีใครกล้ายืนยันไหม ว่าประโยชน์ดังกล่าวคุ้มค่าจริง เมื่อเทียบกับงบประมาณจากภาษีประชาชนที่ต้องใช้ในการจัดหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งไม่ได้รวมถึงแค่ค่าวิทยากรหรือค่าดำเนินการจัดการสอนภายในประเทศ แต่ยังรวมถึงการนำพาผู้เรียนหลายสิบคนไปดูงานต่างประเทศพร้อมกันเกือบสัปดาห์?
.
5. แม้คุณเชื่อว่าหลักสูตรเหล่านี้สร้างประโยชน์ได้จริง มีใครกล้ายืนยันไหม ว่าประโยชน์ดังกล่าวคุ้มค่าจริง เมื่อเทียบกับความเสี่ยงในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อระบอบอุปถัมภ์ เนื่องจากหลักสูตรส่วนใหญ่ (1) มักมีผู้เข้าร่วมจากทั้งองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบกับภาคส่วนที่ถูกตรวจสอบ (เช่น ศาล & นักการเมือง-นักธุรกิจ) หรือจากกลุ่มองค์กรหรือภาคส่วนที่เสี่ยงจะเอื้อผลประโยชน์ให้กันและกัน (เช่น บริษัทผู้รับเหมา & หน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการ) และ (2) มีความเสี่ยงในการส่งเสริมค่านิยมให้เกิดการปกป้องหรือช่วยเหลือกันและกันในบรรดาผู้เข้าเรียน (เช่น การส่งเสริมความ “สามัคคี” หรือความเป็น “ครอบครัว” หรือ “พี่น้อง” เกินสมควร ระหว่างผู้เข้าร่วมในรุ่นเดียวกันและระหว่างแต่ละรุ่น)
.
ในการอภิปราย พ.ร.บ. งบประมาณ 2569 ผมได้พยายามทำงานใน กมธ. และอภิปรายในสภาเพื่อตัดงบประมาณสำหรับหลักสูตรดังกล่าว (link ใน comment) แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าว สส. ส่วนใหญ่ในสภา
.
ความจริงแล้ว ข้อเสนอในการทบทวนหรือยกเลิกหลักสูตรคอนเนคชันเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเพียงภาพไม่กี่ภาพวันนี้
.
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพไม่กี่ภาพดังกล่าว ยิ่งตอกย้ำถึงความเสี่ยงของหลักสูตรดังกล่าว ในการสร้างพื้นที่ทำเลทอง หรือ “ศูนย์บริการแบบครบวงจร” (one-stop service) ให้ผู้ที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนจากทรัพยากรรัฐ สามารถเข้าถึงผู้มีอำนาจในประเทศจากทุกแวดวงโดยตรง
.
เป็นเรื่องตลกร้ายที่หลักสูตรที่ถูกจัดโดยหน่วยงานความมั่นคง กลับกลายเป็นช่องทางในการเข้าถึงผู้มีอำนาจรัฐ ของบุคคลที่ถูกมองว่าเชื่อมโยงหรือใกล้ชิดกับเครือข่ายสแกมเมอร์นานาชาติ ซึ่งนับเป็นภัยคุกคามอันดับต้นๆต่อความมั่นคงของประเทศ
.
เป็นเรื่องตลกร้ายที่หลักสูตรที่ถูกจัดโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยประชาชน กลับกลายเป็นช่องทางในการเข้าถึงผู้มีอำนาจรัฐ ของของบุคคลที่ถูกมองว่าเชื่อมโยงหรือใกล้ชิดกับเครือข่ายที่หลอกลวงและคุกคามความปลอดภัยในทรัพย์สินของประชาชน
https://www.facebook.com/photo?fbid=1399687914859323&set=a.477705887057535
