วันอังคาร, ธันวาคม 09, 2568

นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษา กมธ.การทหารฯ ชี้ให้เห็นว่าในตอนนี้มีเพียงกองทัพเท่านั้นที่ไม่เชื่อในเรื่องสันติภาพ เห็นได้จากโพสต์ที่ใช้แฮชแท็กว่า "สันติภาพไม่มีอยู่จริง" แล้วรัฐบาลละ ทิ้งแนวทาง "สันติภาพ" และเดินตามกองทัพอย่างเดียวหรือไม่ ในเหตุปะทะชายแดนกัมพูชาล่าสุด


ชาวบ้านใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เข้าไปหลบในหลุมหลบภัย หลังเกิดการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.

รัฐบาลละทิ้งแนวทาง "สันติภาพ" และเดินตามกองทัพอย่างเดียวหรือไม่ ในเหตุปะทะชายแดนกัมพูชาล่าสุด

จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 7 ชั่วโมงที่แล้ว

เกิดเหตุปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ช่วงบ่ายวานนี้ (7 ธ.ค.) ส่งผลให้พลเรือนของทั้งสองประเทศที่อยู่ประชิดแนวชายแดนจำเป็นต้องอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย

ความขัดแย้งทางอาวุธครั้งนี้ ถือเป็นการปะทะกันครั้งที่ 2 ที่ต่างฝ่ายต่างใช้อาวุธหนัก โดยกองทัพของไทยใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 เพื่อโจมตีเป้าหมายทางทหาร ขณะที่กัมพูชาใช้อาวุธยิงวิถีโค้งอย่างจรวด BM-21

ด้าน พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก กล่าวกับผู้สื่อข่าวสายทหารว่า "เป้าหมายคือกองทัพบกจะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา"

นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล บอกว่ามั่นใจในแสนยานุภาพของกองทัพ และปิดช่องการเจรจากับกัมพูชาแล้ว

"เที่ยวนี้น่าจะชัดเจนแล้วว่าการตอบโต้ของเรา ไม่ใช่การตอบโต้เพื่อส่งสัญญาณใด ๆ แต่เป็นการตอบโต้ให้เขาเห็นว่าเขาไม่ควรเข้ามาคุกคามอธิปไตยของประเทศไทย ดังนั้นการเจรจาก็จะไม่มีแล้ว จากนี้ไปถ้ากัมพูชาจะหยุดสู้รบกัน ก็ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด" นายกฯ อนุทิน กล่าวกับสื่อมวลชน

รัฐบาลพลเรือนเป็นฝ่ายนำกองทัพจริงหรือไม่ ?

ในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งนำโดยอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ยึดถือหลักพลเรือนต้องควบคุมกองทัพ ทำให้มาตรการการตอบโต้ต่าง ๆ ยึดตามเป้าหมายทางทหารเป็นหลัก

ก่อนการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันนี้ (8 ธ.ค.) นายอนาลโย กอสกุล ที่ปรึกษากรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร แสดงความเห็นว่า "จะรบหรือไม่รบต้องเป็นหน้าที่รัฐบาลตัดสินใจ เรื่องนี้โยนให้กองทัพไม่ได้" ซึ่งเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลต้องเป็นผู้นำในการตัดสินใจ มากกว่ามอบหมายให้กองทัพรับบทบาทนำเหมือนที่เป็นมา

ภายหลังการประชุม สมช. นายอนุทิน แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า รัฐบาลขอยืนยันว่าประเทศไทยจะดำรงความมุ่งมั่นสูงสุดในการปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และสิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม

รัฐบาลจะดำเนินการตามมติ สมช. คือ จะมีปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่น ๆ ที่มีความจำเป็น

"รัฐบาลมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความสามารถของกองทัพไทย ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบตามกฎการใช้กำลัง และยึดหลักมนุษยธรรมในการปกป้องพี่น้องประชาชน และรักษาความสงบเรียบร้อยตลอดแนวพื้นที่ชายแดน" นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายอนาลโยมองว่ารัฐบาลทำถูกแล้วที่ดำเนินการผ่าน สมช. เนื่องจากยุทธศาสตร์การรบและการป้องกันประเทศจำเป็นต้องพิจารณาและสั่งการผ่านกลไกนี้ ไม่ควรไฟเขียวให้กองทัพตัดสินใจโดยลำพัง

"การนำของพลเรือนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่ารัฐบาลเป็นผู้กำหนดว่าต้องบุกไปที่ไหน แต่พลเรือนเป็นผู้กำหนดว่านโยบายคืออะไร เช่น ในกรณีนี้ หาก สมช.หรือนายกรัฐมนตรีให้นโยบายว่าเราจะใช้กำลังทางทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยหรือยึดพื้นที่ที่อ้างสิทธิ์คืน ผมก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการให้พลเรือนควบคุมกองทัพ" เขากล่าวกับบีบีซีไทย


นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพต่าง ๆ ร่วมกันแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หลังประชุม สมช. วันนี้ (8 ธ.ค.)

ด้านนายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษา กมธ.การทหารฯ ให้ความเห็นกับบีบีซีไทยว่า จากสิ่งที่นายอนุทินแถลงทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้อยู่เหนือกองทัพ แต่ยืนอยู่เคียงข้างกองทัพ

"ถ้อยคำที่ใช้ก็เป็น narative (เรื่องเล่า) ในมุมทหาร ไม่ใช่ถ้อยคำจากรัฐบาลพลเรือนที่มีความรับผิดชอบต่อสเถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาคโดยรวม ดูได้จากถ้อยคำที่บอกว่า 'ดำเนินการตามมติ สมช.' ซึ่งเรารู้ว่านายกฯ นั่งเป็นประธาน สมช. จริง แต่องค์ประกอบอื่นไม่ใช่ องค์ประชุมส่วนใหญ่มาจากฝ่ายความมั่นคงเป็นหลัก"

เขามองว่านับตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วจนถึงรัฐบาลชุดนี้ สมช. ถูกใช้สร้างความชอบธรรม (justified) ให้กับปฏิบัติการทางทหารเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

"ในครั้งนี้การปะทะเกิดขึ้นแล้ว เครื่องบิน F-16 บินขึ้นแล้ว แต่คุณบอกว่าคุณทำตามมติ สมช. ?" นายสุภลักษณ์ตั้งคำถาม

"สรุป สมช. มีมติให้ F-16 ขึ้นบินเมื่อไร เราไม่ทราบ มารู้อีกทีก็ตอนบินไปแล้ว ทิ้งระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว สมช. จึงมีหน้าที่แค่ justified สิ่งที่กองทัพปฏิบัติไปเรียบร้อยแล้ว"

อย่างไรก็ดี พลอากาศโทจักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ชี้แจงว่าปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเป้าหมายทางทหารในพื้นที่ปฏิบัติการของกัมพูชา ถูกวางแผนและดำเนินการภายใต้หลักปฏิบัติด้านความมั่นคง รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากข้อมูลทางยุทธการพบว่ามีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนัก การจัดกำลังรบ และเตรียมการสนับสนุนด้านการยิงของกัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชน

ย้อนมองสถานการณ์ราว 1 เดือนก่อนหน้า เกิดความตึงเครียดอะไรขึ้นบ้าง

ไทยกับกัมพูชาลงนามใน "ถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา" โดยมีผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซียเป็นสักขีพยาน

วันที่ 26 ต.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์" ขณะที่ไทยเรียกว่า "ถ้อยแถลงร่วม (joint declaration) ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา"

ในพิธีการนั้น นายอนุทิน นายกรัฐมนตรีของไทย และสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นผู้ลงนามในถ้อยแถลงดังกล่าว

ผู้นำทั้งสองประเทศยืนยันความมุ่งมั่นต่อสันติภาพ ความมั่นคง และการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี โดยเคารพกฎหมายและเขตแดนระหว่างประเทศ พร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC)

ในวันนั้น ไทยและกัมพูชาประกาศยืนยันความมุ่งมั่นต่อสันติภาพและความมั่นคง พร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงชายแดนที่มีอยู่ ทั้งสองฝ่ายลงนามจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team - AOT) เพื่อกำกับการหยุดยิง

ทั้งสองฝ่ายยังตกลงถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน งดเผยแพร่ข้อมูลเท็จ สร้างความเชื่อมั่น ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต และดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดโดยไม่กระทบการจัดทำหลักเขตแดน และเมื่อมาตรการเหล่านี้มีผล ไทยจะปล่อยเชลยศึกทันที

นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังตกลงเพิ่มความร่วมมือด้านข้อมูลและการควบคุมชายแดนเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติด้วย


กองทัพบกได้รับแจ้งเหตุ เมื่อเวลา 9.30 น. ของเช้าวันที่ 10 พ.ย. จากกองกำลังสุรนารี ว่ามีทหารไทยเหยียบกับระเบิด

แต่ทั้งหมดก็สะดุดลงในวันที่ 10 พ.ย. เมื่อมีรายงานว่าทหารไทย 2 นายได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีษะเกษ โดยหนึ่งในนั้นสูญเสียเท้าขวา ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเป็นทหารไทยรายที่ 7 ในรอบ 5 เดือนที่สูญเสียขาหรือเท้าจากเหตุเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

ทางไทยระบุว่าเป็นทุ่นระเบิดที่เข้ามาลักลอบวางใหม่ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายืนยันว่าเป็นระเบิดตกค้างสมัยสงครามกลางเมืองช่วงทศวรรษ 1970-1980

ในวันเกิดเหตุ นายกรัฐมนตรีอนุทินสั่งให้ชะลอการส่งตัวเชลยศึกชาวกัมพูชา 18 นาย ออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยให้เหตุผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้น "ทำให้ความเป็นปฏิปักษ์ต่อภัยความมั่นคงชาติที่เราคิดว่าจะลดลงไป มันไม่ได้ลด"

จากนั้นผลการประชุม สมช. ในวันที่ 11 พ.ย. มีมติว่าให้ระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมฯ ที่ทำไว้กับกัมพูชาทุกข้อ เพราะถือว่าเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดนั้น เป็นการละเมิดข้อตกลงดังกล่าว และยืนยันการชะลอส่งทหารเชยศึกออกไปก่อน

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม บอกว่าการระงับข้อปฏิบัติตามถ้อยแถลงฯ ดังกล่าว ถือเป็นการยกระดับการตอบโต้ของฝ่ายไทย และพร้อมกันนี้มีปฏิบัติการทางทหารในเขตอธิปไตยเกิดขึ้นด้วย แต่ขอสงวนสิทธิ์ไม่เปิดเผยรายละเอียด

"เรามีกฎการใช้กำลังอยู่ เข้ามาทำอะไร…เตือน…ยิงด้วยอาวุธเบา ยิงด้วยอาวุธหนัก ผมไม่ขอชี้แจงรายละเอียดตรงนี้ แต่ขอให้มั่นใจว่าหลังจากนี้แล้ว ปฏิบัติการทางทหารได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติว่าให้สามารถดำเนินการได้ตามสถานการณ์" พล.อ.ณัฐพล แถลงต่อสื่อเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เชื่อว่า "กัมพูชากำลังใช้ทุ่นระเบิดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาสแกมเมอร์" และเสนอให้ไทยไม่ตกหลุมพราง เดินหน้าเปิดปฏิบัติการเชิงรุกเน้นไปที่เครือข่ายสแกมเมอร์ที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลกัมพูชาต่อ เช่น เครือข่ายนายเบน สมิธ - ยิม เลียก


ภาพจากเอกสารประชาสัมพันธ์ของสำนักข่าวกัมพูชา (AKP) แสดงให้เห็นผู้บาดเจ็บได้รับการรักษาพยาบาล หลังสื่อกัมพูชารายงานเหตุปะทะในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 12 พ.ย.

จากนั้นในวันที่ 12 พ.ย. เกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ใกล้บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ใกล้กับหมู่บ้านเปรยจัน จ.บันเตียเมียนเจย ของกัมพูชา ซึ่งต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน

ไม่มีรายงานผู้ได้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากฝั่งไทย แต่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา อ้างว่ามีชาวกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย

ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นติดต่อกันในช่วงกลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ทำให้หลายพื้นที่ในแนวชายแดนเริ่มกังวลว่าสถานการณ์จะยกระดับขึ้น

สื่อต่าง ๆ ของไทยรายงานว่าเกษตรกรใน จ.ศรีสะเกษ และ จ.สุรินทร์ ยอมขาดทุน เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวก่อนกำหนด เพราะกลัวว่าจะเกิดการปะทะขึ้น และพร้อมอพยพหากรัฐออกคำสั่ง

ขณะที่ จ.ตราด ชาวบ้านตุนสินค้าและอาหารแห้ง เพื่อเตรียมรับมือหากไทยมีปะทะกับกัมพูชารอบสอง

วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโส กล่าวในรายการเรื่องใหญ่ไลฟ์ทอล์ก ช่องพีพีทีวี เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า ก่อนเกิดน้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ นายกรัฐมนตรีอนุทินทยอยคุยกับ ผู้บัญชาการเหล่าทัพต่าง ๆ รวมถึง พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ)

ผู้สื่อข่าวอาวุโสรายนี้ อ้างว่ามีรายงานข่าวระบุว่า ผบ.ทบ. ยืนยันกับนายกฯ ว่ากองทัพพร้อมรบ 100%

"ตอนนี้รอแค่อะไร ? คือจริง ๆ ถ้าจะบอกว่ารอแค่เขมรเปิด ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเขมรจะเปิด เขมรเขาก็ระวังตัว ถ้าไม่จำเป็น เขาก็ไม่เปิด… อันที่สอง คือ รอความชอบธรรม เช่น มีเหตุผลเพียงพอที่เราจะใช้อาวุธหรือใช้กำลัง ตอนนี้เขาสันนิษฐานกัน คือเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด อย่างที่พี่เคยบอกว่าถ้าเมื่อไรเราเก็บกู้ในพื้นที่เราหมดเกลี้ยงแล้ว เราก็จะเข้าไปในพื้นที่ปัญหา และเขมรเขาจะไม่ยอม แล้วพอไม่ยอม เขาก็ยิง" วาสนา กล่าว

วันที่ 7 พ.ย. เกิดเหตุปะทะระลอกใหม่ในพื้นที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน จ.ศรีสะเกษ ซึ่งพล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก อ้างว่าทหารกัมพูชาเข้ามาเกาะลวดหนามและใช้อาวุธยิงชุดรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของชุดทหารช่างที่กำลังปรับปรุงเส้นทางจากฐานภูผาเหล็กไปยังจุดตรวจเพียงฟ้า

ขณะที่ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แจ้ง AOT ว่าทหารไทยเปิดฉากยิงก่อน โดยทางกองทัพกัมพูชาไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ กลับไป

ในวันนี้ (8 พ.ย.) การปะทะขยายวงไปในหลายพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี, อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ และยังมีพื้นที่อื่น ๆ เริ่มได้รับผลกระทบ เช่น อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์

มีรายงานด้วยว่าฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธยิงวิถีโค้งในช่วงเช้าตรู่บริเวณช่องอานม้า ขณะที่ไทยส่ง F-16 ทำลายเป้าหมายทางทหารในพื้นที่เดียวกัน และการปะทะยังดำเนินต่อเนื่องจนถึงตอนนี้



นายอนาลโยวิเคราะห์ว่า การลงนามในข้อตกลงสันติภาพซึ่งมีประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้ผลักดันหลัก ไม่ได้ยุติปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยังคงตึงเครียดมาโดยตลอด โดยจะเห็นได้ว่ามีสัญญาณบ่งชี้ออกมาเป็นระยะ ๆ ว่าจะเกิดการปะทะรอบสองขึ้น

"สัญญาณการปะทะรอบสองมีมาตลอด มากน้อยตามเวลา ไม่มีใครเชื่อว่าการปะทะเมื่อเดือน ส.ค. จะเป็นการปะทะครั้งสุดท้าย" นายอนาลโย กล่าว

เขามองว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่บรรลุความต้องการและวัตถุประสงค์ของแต่ละฝ่าย อธิบายอย่างง่าย ๆ คือ ไทยยังไม่ได้พื้นที่ฝ่ายไทยอ้างสิทธิคืนมา เช่น ปราสาทตาควาย เนิน 677 ที่ช่องอานม้าก็ยึดไม่ได้ รวมถึงปราสาทอื่น ๆ ที่ยังมีปัญหาอยู่ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเสียพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารค่อนข้างเยอะก่อนหน้านี้ และต้องการให้กลไกระหว่างประเทศเข้ามามีบทบาทมากกว่านี้

"ทั้งสองฝ่ายเห็นว่ายังทำ [ตามเป้าหมาย] ไม่ได้ทั้งคู่ แต่ต้องหยุดไปเพราะทรัมป์บอกให้หยุด แต่ไม่ได้แก้ปัญหา มันจึงมีความเสี่ยงสูงแล้วที่การปะทะรอบสองจะเกิดขึ้น"


ทั้งนี้ นายอนาลโยเน้นย้ำว่าเป้าหมายที่ทั้งสองฝ่ายต้องการนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์สำหรับปฏิบัติการทางทหาร ไม่ใช่การชิงยึดพื้นที่อ้างสิทธิเพื่อจัดการข้อพิพาทเขตแดน

คำถามต่อรัฐบาล ไทยมียุทธศาสตร์จัดการความขัดแย้งหรือไม่ ?

นายสุภลักษณ์ตั้งข้อสังเกตว่าในสมัยรัฐบาลอนุทิน เหตุการณ์ภาคสนามกลับเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจทางนโยบายของรัฐบาล เช่น เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่ห้วยตามาเรีย ก็นำมาสู่การฉีกข้อตกลงสันติภาพที่ลงนามในกรุงกัวลาลัมเปอร์โดยฝ่ายไทย

"ทุก narative ของคุณอนุทิน คือ เราจะใช้มาตรการทางทหาร เราจะรักษาดินแดนของเรา ลองสังเกตว่าไม่มี narrative เรื่องสันติภาพ"

นายสุภลักษณ์ชี้ให้เห็นว่าในตอนนี้มีเพียงกองทัพเท่านั้นที่ไม่เชื่อในเรื่องสันติภาพ เห็นได้จากโพสต์บนเพจเฟซบุ๊กของกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ที่ใช้แฮชแท็กว่า #สันติภาพไม่มีอยู่จริง โดยแฮชเท็กนี้ปรากฏในเพจกองทัพบกทันกระแสด้วย

เพจดังกล่าวไม่ใช่สื่อทางการของกองทัพบก แต่โฆษกกองทัพบกเคยบอกว่าเพจนี้มีบทบาทในการสื่อสารข่าวสารให้ทันต่อสถานการณ์ เน้นภาษาเข้าใจง่าย เข้าถึงคนรุ่นใหม่

"เขา (หมายถึงกองทัพ) ไม่ยอมรับในสันติภาพ นั่นหมายความว่าเขาจะใช้สงคราม ตอนนี้ narative ที่ออกมาจากฝ่ายไทยมันชัดเจนว่าไม่เชื่อในสันติภาพ"

"ไม่มีสุ้มเสียงเรื่องสันติภาพออกจากนักการเมืองไทยเลยสักคนเดียว ทุกคนยินยอมพร้อมใจให้เราใช้กำลัง ซึ่งมันทำให้เห็นว่ากองทัพสามารถ manipulate (จัดการ) การเมืองไทยได้เบ็ดเสร็จเมื่อเป็นประเด็นนี้" นายสุภลักษณ์ กล่าว


ตัวอย่างโพสต์ที่ติดแฮชแท็กว่า #สันติภาพไม่มีอยู่จริง ซึ่งปรากฏในเพจทางการของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.

เขากล่าวต่อว่าเมื่อนายอนุทิน "improvised (ด้นสด) ไปตามกองทัพ" ซึ่งมีแนวคิดตั้งอยู่บนพื้นฐานหาความได้เปรียบทางยุทธวิธี ในตอนนี้รัฐบาลจึงไม่มียุทธศาสตร์ ทั้งที่รัฐบาลควรกำหนดให้ชัดว่าประเทศจะอยู่กับกัมพูชากันอย่างไร ไทยมีผลประโยชน์อะไรบ้างกับกัมพูชา และสิ่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างเศรษฐกิจและแรงงานของทั้งสองประเทศจะเดินหน้ากันอย่างไรต่อ

"ถ้ารัฐบาลมียุทธศาสตร์ มันจะนำไปสู่การยุติเหตุความขัดแย้งทางอาวุธโดยเร็ว เพราะมันสร้างความสูญเสียให้กับสองฝ่าย แต่ไทยเสียหายเยอะกว่าในแง่ขนาดทางเศรษฐกิจ ดร.สุทัศน์ เศรษฐบุญสร้าง อดีตรองเลขาธิการอาเซียน คำนวนเบื้องต้นมาแล้ว opportunity cost (ต้นทุนค่าเสียโอกาส) ที่ไทยจะสูญเสียไปอยู่ที่ราว 200,000 ล้านบาท หากสถานการณ์ขัดแย้งยืดเยื้อถึงหนึ่งปี" นายสุภลักษณ์ กล่าว


นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล บอกว่ายุทธศาสตร์ของไทยเป็นเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้

นายอนาลโย บอกว่าเท่าที่ติดตามสถานการณ์มา ตนเองยังไม่เห็นความชัดเจนเรื่องยุทธศาสตร์จากนายกรัฐมนตรี

"ถ้าเป้าหมายของคุณอนุทินบอกว่าจะเอาคืนทุกพื้นที่อ้างสิทธิที่ยังไม่ได้คืน อันนี้บอกตรง ๆ ว่าน่าจะอีกหลายวันกว่าจะสงบ แต่ถ้าเป้าหมายของคุณอนุทินต้องการแค่ป้องกันตัว ไม่ต้องการให้การปะทะขยายวงเพิ่ม ผมคิดว่าตรงนี้คุณอนุทินทำได้โดยการ activated กลไกปฏิญญากัวลาลัมเปอร์กลับมาใช้ได้"

บ่ายวันนี้ นักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลถามนายอนุทินว่าถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกฯ ไทย-กัมพูชา จะต้องฉีกไปเลยใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า "ไม่มีแล้วครับ จำไม่ได้"

เมื่อนักข่าวถามต่อว่าฝ่ายความมั่นคงเปิดเผยได้หรือไม่ว่าปฏิบัติการปกป้องอธิปไตยรอบนี้ กี่วันปิดจบ นายกฯ บอกว่า ยุทธศาสตร์เป็นเรื่องบอกไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีความขัดแย้งหรือสู้รบกัน พร้อมกับขอความร่วมมือผู้สื่อข่าวด้วยว่า "คำถามเหล่านี้ไม่ควรจะถาม เพราะถามปุ๊บก็เท่ากับสาวไส้ให้กากิน"

ขณะเดียวกัน นายอนาลโยยืนยันว่ารัฐบาลแจ้งเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ให้ประชาชนทราบได้ โดยยกตัวอย่างกรณีสงครามในอิรักหรือยูเครน ประเทศที่ทำสงครามก็แจ้งเลยว่าปฏิบัติการรบเพื่อทำลายขีดจำกัดความสามารถทางทหารของอีกฝ่าย

เขาบอกว่า ถ้านายกฯ แจ้งเป้าหมายทางยุทธศาสตร์มาให้ชัดว่าคืออะไร อย่างน้อยประชาชนก็สามารถคำนวณได้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน

"เราต้องถามว่าเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลนายอนุทินคืออะไร" นายอนาลโยกล่าวกับบีบีซีไทย

https://www.bbc.com/thai/articles/cgken1m8n38o