The101.world
6 hours ago
·
“กระแสเรียกร้องในสังคมให้รัฐบาล ‘เปิดปฏิบัติการทางการทหาร’ เพื่อให้เรื่อง ‘จบๆ ไป’ กลายเป็นเสมือนสามัญสำนึกของคนจำนวนมาก แต่แท้จริงแล้วคำว่า ‘ทำให้จบๆ ไป’ คือปัญหาใหญ่ที่สุด เพราะหากไทยเลือกใช้กำลังทางทหาร ความรุนแรงย่อมถูกยกระดับจนกลายเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ นอกจากจะไม่ยุติความตึงเครียดเดิม ยังเสี่ยงทำให้สถานการณ์บานปลายยิ่งกว่าเดิม”
.
หลังการสู้รบหว่างไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้งในเช้าวันที่ 8 ธันวาคม วันโอวันชวน สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักเขียนและนักวิจัยอิสระด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาช่วยคลี่ภาพสถานการณ์ ทำความเข้าใจการสู้รบระลอกใหม่ ตลอดจนประเมินว่าความขัดแย้งครั้งนี้กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด และเราควรมองเรื่องนี้อย่างไรในฐานะประชาชนที่อยู่ร่วมภูมิภาคเดียวกัน
.
อ่านได้ที่ https://www.the101.world/dangerous-thai-war-mindset/
.
“คำถามว่าใครเป็นฝ่ายยิงก่อนจึงไม่ใช่ประเด็นหลักเท่ากับข้อเท็จจริงที่ว่า ประเทศไทยได้ส่งสัญญาณถึงความพร้อมหรือความตั้งใจที่จะใช้มาตรการทางทหารจัดการความสัมพันธ์กับกัมพูชา ส่งผลให้เมื่อเกิดเหตุการณ์บริเวณชายแดน ทั้งการเหยียบกับระเบิดและการปะทะด้วยอาวุธเบา ซึ่งหากเป็นในอดีต เรื่องเหล่านี้อาจไม่ถูกขยายใหญ่โต แต่เพราะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาขณะนี้อยู่ในภาวะเปราะบางเป็นพิเศษ เหตุการณ์ที่ควรจะสามารถจัดการได้ตามปกติจึงถูกทำให้กลายเป็นประเด็นรุนแรงขึ้นกว่าเดิม”
.
“แม้ทั้งสองฝ่ายจะพูดคล้ายกันว่า ‘เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ’ และอ้างความชอบธรรมตามหลักสากล แต่หากพิจารณาจริงๆ แล้ว ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด การดำเนินการหลายอย่างของไทยควรจะเป็นไปในอีกทิศทางหนึ่ง เช่น หากมีการปะทะด้วยอาวุธเบาในพื้นที่ชายแดน สถานการณ์ระดับนี้ไม่จำเป็นต้องนำ F-16 ขึ้นบินเพื่อแสดงกำลังเลย แต่ไทยกลับเลือกใช้”
.
“หลายครั้งรัฐบาลไทยมักอ้างเรื่องกฎการใช้กำลัง แต่เราก็ต้องไม่ลืมอีกหลักการหนึ่งคือ ‘กฎการได้สัดส่วน’ (principle of proportionality) ว่าเราจะตอบโต้กลับอย่างไรจึงเหมาะสมและไม่ยกระดับหรือขยายความขัดแย้ง เช่น หากต่อสู้ด้วยปืนเล็กก็ต้องตอบโต้ด้วยปืนเล็ก เป็นต้น แต่กองทัพไทยกลับไม่คำนึงถึงประเด็นดังกล่าวเท่าไหร่นักและมักพูดเพียงเรื่องความชอบธรรมของการใช้กำลังเป็นหลัก”
.
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1398083545019781&set=a.523964969098314
