
การผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 กำหนดให้ใช้ "เสียงข้างมาก" ของรัฐสภา แต่ในวาระ 3 ต้องใช้เสียง "เกินกึ่งหนึ่ง" ของรัฐสภา และต้องมีเสียง สว. เห็นด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา หรือ 66 เสียง จาก สว. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 198 คน
เปิด 3 เงื่อนไข สว. "ยอมไม่ได้" ก่อนรัฐสภาถกแก้รัฐธรรมนูญ วาระ 2
หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
7 ธันวาคม 2025
การประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระ 2 (พิจารณาเรียงลำดับรายมาตรา) จะเกิดขึ้นวันรัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค. โดย สว. จากกลุ่มใหญ่ได้ออกมาตั้งเงื่อนไข 3 ข้อให้ปรับเปลี่ยนเนื้อหา ซึ่งจะส่งผลต่อการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขั้นสุดท้ายในวาระที่ 3 (ขอความเห็นชอบทั้งฉบับ) เพราะต้องอาศัยเสียงของ สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 66 เสียงขึ้นไป
คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่มีนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เป็นประธาน เสนอร่างกฎหมาย 43 มาตรา พร้อมรายงานซึ่งมีเนื้อหา 94 หน้า ต่อประธานรัฐสภาแล้ว
ในระหว่างการพิจารณาของ กมธ. ได้ใช้ร่างที่เสนอโดยพรรค ปชน. เป็นร่างหลัก ทว่าหลายหลักการสำคัญได้เปลี่ยนแปลงไปจากร่างแรก เนื่องจากพวกเขาแพ้โหวตกลางห้องประชุม กมธ. ซึ่งมีสมาชิก 43 คน
เฉพาะมาตรา 4 ซึ่งเป็นการเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ มีเนื้อหาทั้งสิ้น 39 มาตรา (มาตรา 256/1 ถึงมาตรา 256/39) ปรากฏว่ามีการแก้ไขเกือบทุกมาตรา
อย่างไรก็ตามบรรดา กมธ. เสียงน้อย ได้ขอสงวนความเห็นในหลายประเด็น และมีสมาชิกรัฐสภาอีก 6 คนขอสงวนคำแปรญัตติ เพื่อใช้สิทธิอภิปรายยืนยันความเห็นของพวกเขากลางรัฐสภา 10-11 ธ.ค. นี้
ที่น่าสนใจคือ การสงวนความเห็นของ กมธ. จากสัดส่วน สว. ให้คงเงื่อนไขเรื่องการผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องมี สว. เห็นชอบด้วย "ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3" ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา ภายหลัง กมธ. เสียงข้างมากยืนตามร่างของพรรค ปชน. ให้ปลดล็อกเงื่อนไขนี้ โดยให้ใช้คะแนนเสียงเห็นชอบ "เกินกึ่งหนึ่ง" ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภาเท่านั้น
นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์ สว. และ กมธ. ผู้ขอสงวนความเห็นในประเด็นนี้ ประกาศผ่านบีบีซีไทยว่าเป็นเรื่องที่ "ยอมไม่ได้"
นอกจากนี้เขายังขอให้เขียนบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า ให้ สว. และกรรมการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2560 อยู่ทำหน้าที่ต่อไปได้จนกว่าจะครบวาระ ซึ่งหากไม่มีทั้ง 3 ข้อนี้ "ก็คงเหนื่อยหน่อยละกัน"

นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล พูดคุยกับ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ ในระหว่างการประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อ 14-15 ต.ค.
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และให้นายกรัฐมนตรียุบสภาภายใน 4 เดือน เป็นเงื่อนไขสำคัญตามบันทึกข้อตกลงร่วม (Memorandum of Agreement - MOA) ระหว่างพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับพรรค ปชน. เพื่อแลกกับเสียงโหวตสนับสนุนของ 143 สส. พรรคสีส้ม ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกฯ คนที่ 32
ต่อมารัฐบาล "อนุทิน" ย้ำ-ยืนยันว่า จะมีการยุบสภาภายใน 31 ม.ค. 2569 และคาดว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปพ่วงการออกเสียงประชามติแก้รัฐธรรมนูญได้ วันที่ 29 มี.ค. 2569 ทว่าได้เกิดปัจจัยแทรกซ้อนขึ้นเมื่อพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งเป็นอีกพรรคฝ่ายค้านต้องการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151
หากฝ่ายค้านยื่นซักฟอก ผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อยอาจยุบสภาก่อนกำหนดเดิมที่ลั่นวาจาไว้ โดยให้เหตุผลว่า "คงไม่ปล่อยให้ใครมาด่ารัฐบาลเล่น ๆ ฟรี ๆ" นั่นหมายความว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาสภาอยู่นี้จะตกไปพร้อมการหมดอายุขัยของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26
แต่ทั้งหมดนี้คือการสื่อสารในช่วงก่อนเกิดวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา ช่วงปลายเดือน พ.ย. ส่งผลให้กระแสนิยมของพรรค ภท. ตกต่ำ และขณะนี้กำลังเร่งฟื้นฟูเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัย พร้อมกับการลดความเสียหายทางการเมือง
สถานการณ์จึงเดินมาถึงจุดที่ 3 พรรคหลัก ได้แก่ พรรคสีส้ม แดง น้ำเงิน ต้องเจรจาต่อรองกันว่าจะทำอย่างไรให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านรัฐสภาในวาระที่ 2 และ 3 ก่อนการยุบสภาจะเกิดขึ้น
โมเดลผู้ร่างรัฐธรรมนูญเปลี่ยนไปอย่างไร
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐสภามีมติ "รับหลักการ" ในวาระที่ 1 เมื่อ 14-15 ต.ค. มี 2 ฉบับ เสนอโดยพรรค ปชน. และพรรค ภท. ขณะที่ร่างของพรรค พท. ถูกโหวตคว่ำไปฉบับเดียว เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของ กมธ. จึงเกิดการ "ยำใหญ่-ยำรวม" ในห้องประชุมเล็ก
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 เมื่อ 10 ก.ย. ห้ามไม่ให้ "ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง" จึงไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงเป็นผู้จัดทำรัฐธรรมนูญอีกต่อไป แต่พยายามหาโมเดลเพื่อทำให้เกิดการยึดโยงกับประชาชนทางอ้อม
บีบีซีไทยสรุป "สิ่งที่หายไป" "สิ่งที่เหลืออยู่" และ "สิ่งที่งอกขึ้นใหม่" ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ กมธ. พิจารณาเสร็จแล้ว โดยเปรียบเทียบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ที่ผ่านความเห็นของรัฐสภาในวาระแรก ซึ่งเจ้าของร่างใช้คำว่า "สู้เต็มที่ แต่ผลักดันได้ 1 จาก 3 ข้อเสนอหลัก"
.webp)
เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ (Con For All) พร้อมด้วยกลุ่มสมัชชาคนจน ร่วมยื่นหนังสือถึงนายกฯ ที่ทำเนียบฯ เมื่อ 25 พ.ย. เรียกร้องให้ ครม. มีมติตั้งคำถามประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือคำถามที่ 1 ทันที โดยมี ภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล มารับเรื่อง
หนึ่ง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน มาจากการเลือกของประชาชน 70 คน โดยใช้ระบบเลือกตั้งคล้ายกับ สส.บัญชีรายชื่อ ก่อนส่งชื่อให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 35 คน (เนื้อความในมาตรา 256/1 และมาตราอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน)
กมธ. มีมติ 14 ต่อ 8 ให้ตัดกลไกตามรูปแบบที่พรรค ปชน. เสนอออก โดยมี กมธ. 8 คนจากสัดส่วนพรรค ปชน. ลงมติให้คงไว้ และ 12 คนงดออกเสียง (แต่ให้มี กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาด้วยวิธีการอื่นแทน)
สอง สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ไม่มีอำนาจในการร่าง แต่มีอำนาจในการรับฟังรวบรวมความเห็นของประชาชน (เนื้อความในมาตรา 256/1 และมาตราอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน)
กมธ. มีมติ 23 ต่อ 8 ให้ตัดสภาที่ปรึกษาออก โดยมี กมธ. 8 คนจากสัดส่วนพรรค ปชน. ลงมติให้คงสภาที่ปรึกษาไว้ และ 3 คนงดออกเสียง
สาม กลไกที่จะมาแทนที่คือ กมธ. 2 ประเภทคือ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน (เนื้อความในมาตรา 256/2) และ กมธ.รับฟังความเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน จำนวน 35 คน (เนื้อความในมาตรา 256/7 และมาตรา 256/9/1) โดยผู้ประสงค์จะสมัครรับการคัดเลือกเป็น กมธ. ต้องยื่นใบสมัคร วิสัยทัศน์ และแนบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 100 คนที่ให้การสนับสนุนตนเป็นผู้สมัคร ต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากนั้น กกต. จะตรวจคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัคร แล้วส่งบัญชีรายชื่อพร้อมด้วยหลักฐานไปยังประธานรัฐสภา
จากนั้นเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกของรัฐสภาภายใต้สูตร "20 หยิบ 1" ตามที่พรรค ปชน. เสนอเอาไว้ (เนื้อความในมาตรา 256/5)
สำหรับสูตร "20 หยิบ 1" หมายถึง สส. และ สว. รวมกลุ่มกัน 20 คน เสนอชื่อบุคคลที่ควรได้รับการคัดเลือกให้เป็น กมธ. ต่อประธานรัฐสภาได้ 1 คน ส่วนเหตุที่ใช้ตัวเลข 20 เป็นเพราะสมาชิกรัฐสภามี 700 คน (สส. 500 คน สว. 200 คน) ขณะที่คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญมี 35 คน กมธ. ในสัดส่วนพรรค ปชน. จึงเสนอให้สมาชิกรัฐสภาที่รวมตัวกันได้ 20 คนเลือกผู้ร่างได้ 1 คน เพื่อเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะถ้าใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา เช่น สส. และ สว. รวมกันเกิน 350 คน ก็อาจใช้เสียงข้างมากผูกขาดการคัดเลือกผู้ร่างได้ทั้ง 35 คน หรือ 100% แบบเบ็ดเสร็จ
อย่างไรก็ตาม กมธ. ในสัดส่วนพรรค พท. เห็นว่า กลไก กมธ. 2 ประเภท ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงกับประชาชน และเสี่ยงทำให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญของรัฐสภาเสียงข้างมาก จึงเสนอให้มี สสร. โดยให้ประชาชนเลือกตั้ง 300 คน และให้รัฐสภาเลือกเหลือ 100 คน โดยใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก จากนั้น สสร. จะตั้ง กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ
แต่เมื่อข้อเสนอของ กมธ. สัดส่วนพรรค พท. ถูกตีตก พวกเขาจึงหันไปเสนอให้ใช้สูตร "28 หยิบ 1" ในการเฟ้นหา กมธ. ทั้ง 2 กลไก โดยให้ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญมาจากรัฐสภา 25 คน และมาจากการแต่งตั้งโดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ 10 คน เพื่อให้ได้ความรู้ความสามารถมาถ่วงดุลใน กมธ.ร่างฯ เช่นเดียวกับ กมธ.รับฟังความเห็นฯ ที่ให้มาจากรัฐสภา 25 คน และมาจากการคัดเลือกขององค์กรหรือสมาคมต่าง ๆ 10 คน
สุดท้าย กมธ. มีมติ 19 ต่อ 0 เห็นด้วยกับสูตร "20 หยิบ 1" และ 10 คนงดออกเสียง
นายพริษฐ์ระบุว่า การผลักดันสูตร "20 หยิบ 1" ได้สำเร็จ เป็นการรับประกันได้ว่าการคัดเลือกผู้ร่างโดยรัฐสภาจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และประชาชนยังมีส่วนร่วมได้บ้างในการกำหนดผู้ร่างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส. ส่วนที่มีความพยายามในการสร้างความเข้าใจจากบางภาคส่วนว่า การไม่เติม สสร. ตามข้อเสนอของ กมธ. สัดส่วนพรรค พท. ทำให้ผู้ร่างยึดโยงกับประชาชนน้อยลง ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า 1. สสร. ที่ กมธ. พรรค พท. เสนอให้เติมเข้ามา ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน 2. ในการลงมติว่าจะเติม สสร. หรือไม่ ก็ไม่ได้เป็นการลงมติว่า สสร. จะมีที่มาอย่างไร เพียงแต่เป็นการลงมติว่ากลไกผู้ร่างจะมี 1 ระดับ (กมธ.ร่างฯ) หรือ 2 ระดับ (สสร. และ กมธ.ร่างฯ)

พริษฐ์ วัชรสินธุ บอกว่า การที่ กมธ. สัดส่วนพรรค ปชน. สามารถผลักดันสูตร "20 หยิบ 1" ได้สำเร็จ เป็นการรับประกันได้ว่าการคัดเลือกผู้ร่างโดยรัฐสภาจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และประชาชนยังมีส่วนร่วมได้บ้างในการกำหนดผู้ร่างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส.
สี่ นอกจากกำหนดให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ กมธ. จัดทำและรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ต้องมีเนื้อหาสำคัญ 9 ข้อ (เนื้อความในมาตรา 256/26) ยังมีการเพิ่มเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา โดยให้ยกเนื้อหาของ 2 หมวดแรกในรัฐธรรมนูญ 2560 มาใส่เอาไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เนื้อความที่ กมธ. มีมติให้เพิ่มใหม่คือ "ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้นำบทบัญญัติในหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาบัญญัติไว้โดยมิให้มีการแก้ไข" (เนื้อความในมาตรา 256/26/1)
ห้า เมื่อ กมธ.ร่างฯ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเสร็จ ให้ประธาน กมธ. เสนอต่อประธานรัฐสภา และให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่ออภิปรายให้ความเห็นหรือข้อเสนอแนะโดยไม่มีการลงมติ จากนั้นให้ส่งความเห็นของ สส. และ สว. คืนให้ กมธ.ร่างฯ เพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมใน 30 วัน โดยพิจารณาร่วมกับความเห็นของ กมธ.รับฟังความคิดเห็นฯ จากนั้น กมธ.ร่างฯ ส่งร่างที่แก้ไขแล้วกลับมารัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ (เนื้อความในมาตรา 256/27)
ในการลงมติของรัฐสภา ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย โดยต้องได้เสียงเห็นชอบ "เกินกึ่งหนึ่ง" ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา (เนื้อความในมาตรา 256/28)
กรณีรัฐสภาไม่เห็นชอบ ให้ถือว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะตกไป (เนื้อความในมาตรา 256/29) แต่ถ้ารัฐสภาเห็นชอบ ให้ประธานรัฐสภาส่งร่างให้นายกฯ และ กกต. เพื่อดำเนินการออกเสียงประชามติต่อไป (เนื้อความในมาตรา 256/30)
สว. ให้คงเงื่อนไขใช้เสียง 1/3 สว. ผ่าน รธน.
นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์ สว. และโฆษก กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ขอสงวนความเห็น (ขอแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา 256/28) โดยให้ยึดเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กล่าวคือ ในการผ่านความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ใช้มติเห็นชอบของรัฐสภา "เกินกึ่งหนึ่ง" ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา ซึ่งในจำนวนนี้ต้องมี สว. เห็นชอบด้วย "ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3" ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
นายพิสิษฐ์กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ทุกวันนี้อำนาจ สว. ไม่ต่างจาก "ตราประทับ" ในการพิจารณาร่างกฎหมายทั่วไป เมื่อผ่านสภาผู้แทนฯ มาแล้ว หาก สว. ต้องการแก้ไข แต่ สส. ไม่เอาด้วย ก็ต้องตั้ง กมธ.ร่วมฯ ขึ้นมาพิจารณา ถ้า สว. ไม่เห็นด้วย สภาผู้แทนฯ ก็ยืนยันกลับไปใช้ร่างของ สส. ได้ จึงดูเหมือนว่า สว. จะไม่มีอำนาจหน้าที่ยับยั้งกฎหมายได้เลย ขณะที่การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ควรต้องให้ยุ่งยากกว่ากฎหมายทั่วไป ดังนั้นถ้าตัดเสียง 1 ใน 3 ของ สว. ออก แล้วใช้เสียงกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา วันนี้ 2 พรรคใหญ่ พรรค พท. กับพรรค ปชน. ร่วมกันก็ 300 เสียงแล้ว ก็ต้องถามว่าแล้วจะมี สว. ไว้ทำไม การตัดเงื่อนไขนี้ออกมันมามัดมือชกเรา
ในห้องประชุมวุฒิสภา ไม่ปรากฏว่านายพิสิษฐ์ "แพ้โหวต" เพราะเขามักลงมติในทิศทางเดียวกับ สว. กลุ่มใหญ่ที่ถูกเรียกขานว่า "สว. สีน้ำเงิน" และมักรับบทผู้อภิปรายหลักของ สว. กลุ่มนี้ แต่ในห้องประชุม กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีสมาชิก 43 คน ข้อเสนอของเขาถูก "ปัดตก" แม้มีเพื่อนร่วมสภาจันทราเข้าไปนั่งเป็น กมธ. 12 คน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่โหวตสนับสนุนให้คงเงื่อนไข 1 ใน 3 เอาไว้
"ก็ต้องบอกว่าเราแพ้... สส. ส่วนใหญ่ให้คงตามเดิม ตามร่างของคุณพริษฐ์ สว. เราก็สู้นะ แต่ไม่ใช่ทุกคน ใน 12 คนมีคนไม่ได้ยกให้ผมด้วย มันเลยไม่ผ่าน ผมจึงต้องสงวนความเห็นเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ต้องการให้มีการถ่วงดุลกันของ 2 สภา" นายพิสิษฐ์กล่าวและบอกด้วยว่า เขาได้หยิบยกประเด็นนี้มาพูดตั้งแต่ในการประชุม กมธ. นัดแรก ๆ และบอกว่า "นี่เป็นสาระสำคัญ"

พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์ บอกว่า การตัดอำนาจ สว. ในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 1 ใน 3 เป็นสิ่งที่เขา "ยอมไม่ได้"
ในการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 (พิจารณาเรียงมาตรา) รัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้ "เสียงข้างมาก" เป็นประมาณ ซึ่งลำพังเสียงของ สส. น่าจะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ กมธ. พิจารณาแล้วเสร็จ ผ่านการพิจารณาไปไม่ยาก
หลังจากนั้นต้องพักร่างไว้ 15 วัน ก่อนกลับเข้ารัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบในวาระ 3 (ให้ความเห็นชอบทั้งฉบับ) ซึ่งต้องอาศัยเสียง "เกินกึ่งหนึ่ง" ของรัฐสภา, ต้องมี สส.ฝ่ายค้าน เห็นด้วยไม่น้อยกว่า 20%, และต้องมีเสียง สว. เห็นด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
คำถามที่เกิดขึ้นคือ หากเงื่อนไขให้คงอำนาจ สว. 1 ใน 3 ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญของนายพิสิษฐ์ ไม่พลิกกลับมาชนะในการลงมติวาระ 2 บรรดา สว. เสียงส่วนใหญ่จะโหวตอย่างไรในวาระ 3 นายพิสิษฐ์ขอรอดูผลวันที่ 10-11 ธ.ค. ก่อนว่าออกมาอย่างไร แต่เขาสังเกตเห็นว่าการลงมติของ สส. ส่วนใหญ่ถ้า กมธ. ยกมือมาอย่างไร สภาก็จะยกไปตามนั้น แต่เจตนารมณ์ของ สว. ต้องการอย่างนี้ เพราะเป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของเรา
"ถ้าถามเสียงส่วนใหญ่ (ของ สว.) ไม่มีใครอยากลดทอนอำนาจตัวเองหรอก ถ้าจะทำแบบนั้น มันไม่ต่างจากสภาเดี่ยวเลย ผมไม่ยอม ยอมไม่ได้" สว.พิสิษฐ์ กล่าว
จากการหยั่งเสียงเพื่อน สว. ของนายพิสิษฐ์พบว่า หลายคนต้องเห็นควรให้คงอำนาจ 1 ใน 3 เอาไว้ หากเป็นไปตามนี้ คิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีโอกาสจะผ่าน "แต่ถ้าไม่ ก็คงจะเหนื่อยหน่อย"
หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องตกไปทั้งฉบับ เพราะ สว. ไม่พอใจมาตรานี้มาตราเดียว จะอธิบายกับสังคมอย่างไร นายพิสิษฐ์กล่าวว่า อย่าลืมว่า สว. มีเอกสิทธิ์ในการออกเสียงตามรัฐธรรมนูญ 2560 ถ้าคุณมี 500 คน ผมมี 200 คน โหวตยังไงก็ไม่มีทางชนะ แต่ถ้ามีจำนวนเท่ากัน ไม่ติดเลยถ้าจะใช้เสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา เพราะมันมีน้ำหนักเท่ากัน
"ถ้าเอาอย่างที่พรรคประชาชนว่า เขาตั้งเป้ามี สส. 250 คน เพื่อไทย 200 คน ถ้า 2 พรรครวมกันก็แก้รัฐธรรมนูญได้แล้ว แก้ตามเขาได้แล้ว แล้วถ้าไปเอาสูตร '20 หยิบ 1' มันก็ได้คนของเขาทั้งนั้น ถ้าไม่มี สว. ไว้ถ่วงอำนาจ ไม่กลายเป็นเผด็จการรัฐสภาเลยหรือ ที่รัฐธรรมนูญวางเงื่อนไขนี้ไว้ก็เพื่อป้องกันเผด็จการรัฐสภา แล้วทำไมต้องไปยกเลิกด้วย" เขาตั้งคำถาม
ยื่นเงื่อนไขใหม่ ขอเฉพาะกาลให้ สว.-องค์กรอิสระอยู่ต่อจนครบวาะ
สว.พิสิษฐ์ยังขอสงวนความเห็นประเด็นอื่น ๆ ที่ไม่ปรากฏในร่างแรกของรัฐธรรมนูญฉบับที่รัฐสภารับหลักการ (ขอเพิ่ม (10) (11) และ (12) ของมาตรา 256/26) ได้แก่
- ประเด็นแรก เขียนบทเฉพาะกาล ให้มีการรับรองสมาชิกสภาพของ สว. ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 ให้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ 5 ปี
- ประเด็นที่สอง เขียนบทเฉพาะกาล ให้มีการรับรองวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 ให้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ
- ประเด็นที่สาม เปิดโอกาสให้ สว. ที่พ้นจากวาระแล้ว สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ได้ โดยไม่มีข้อจำกัดระยะเวลาภายหลังจากสมาชิกภาพของ สว. สิ้นสุด แต่จะลงสมัครรับเลือกเป็น สว. อีกไม่ได้
สว. ชุดที่ 13 มาจากการเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ และเลือกไขว้กลุ่มอาชีพ ซึ่งขณะนี้ 3 ใน 4 ของสมาชิกยังอยู่ระหว่างถูกตรวจสอบ "คดีฮั้วเลือก สว." ในชั้น กกต.
การขอสงวนความเห็นทั้งหมดนี้ คล้ายไปเพิ่มน้ำหนักให้ข้อครหาที่ว่า "พรรคสีน้ำเงิน" เป็นเจ้าของ สว. และกำลัง "แทรกซึม-สร้างฐานกำลังใหม่" ผ่านการคัดสรรบุคคลไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่าง ๆ หรือไม่ บีบีซีไทยถาม
คำตอบของนายพิสิษฐ์คือ เรื่องที่คนวิจารณ์ หรือสิ่งที่นักข่าวเขียน คงไม่ไปก้าวล่วง แต่โดยเนื้อแท้ เราเป็นอิสระ ไม่ได้สังกัดพรรคใด ไม่มีกลุ่มอำนาจใดมาบีบบังคับเราได้ อันนี้คือสิ่งที่ สว. 200 คนเป็นอยู่ ใครจะคิดว่ามาจากสีนั้นสีนี้ คงไปห้ามไม่ได้ และไม่รู้จะไปแก้ตัวทำไม แต่เราไม่ได้ทำ เราเป็นอิสระและไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด
สว. รายนี้ยังปฏิเสธด้วยว่า ความเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้เป็นไปเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้พรรค ภท. ท่ามกลางกระแสข่าวฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยย้ำว่าเป็นเรื่องที่ขอสงวนความเห็นเอาไว้ เพราะมองว่าทั้ง 3 ประเด็นนี้สำคัญและเกี่ยวข้องกับอำนาจของวุฒิสภาโดยตรง
อนึ่ง หากการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 เสร็จสิ้นในวันที่ 11 ธ.ค. การพิจารณาในวาระที่ 3 จะเกิดขึ้นได้อย่างเร็วที่สุดคือ 29 ธ.ค. ตามการเปิดเผยของนายศิโรจน์ แพทย์พันธุ์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งบอกว่าประธานรัฐสภาไม่ได้ขัดข้อง พร้อม แต่เนื่องจากเป็นวันสิ้นปี ก็ต้องดูความพร้อมของสมาชิก หรือถ้าจะพิจารณาช่วงหลังปีใหม่ วันที่ 5-6 ม.ค. 2569 ประธานรัฐสภาก็พร้อม
https://www.bbc.com/thai/articles/c5yjk02nle1o
การขอสงวนความเห็นทั้งหมดนี้ คล้ายไปเพิ่มน้ำหนักให้ข้อครหาที่ว่า "พรรคสีน้ำเงิน" เป็นเจ้าของ สว. และกำลัง "แทรกซึม-สร้างฐานกำลังใหม่" ผ่านการคัดสรรบุคคลไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่าง ๆ หรือไม่ บีบีซีไทยถาม
คำตอบของนายพิสิษฐ์คือ เรื่องที่คนวิจารณ์ หรือสิ่งที่นักข่าวเขียน คงไม่ไปก้าวล่วง แต่โดยเนื้อแท้ เราเป็นอิสระ ไม่ได้สังกัดพรรคใด ไม่มีกลุ่มอำนาจใดมาบีบบังคับเราได้ อันนี้คือสิ่งที่ สว. 200 คนเป็นอยู่ ใครจะคิดว่ามาจากสีนั้นสีนี้ คงไปห้ามไม่ได้ และไม่รู้จะไปแก้ตัวทำไม แต่เราไม่ได้ทำ เราเป็นอิสระและไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด
สว. รายนี้ยังปฏิเสธด้วยว่า ความเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้เป็นไปเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้พรรค ภท. ท่ามกลางกระแสข่าวฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยย้ำว่าเป็นเรื่องที่ขอสงวนความเห็นเอาไว้ เพราะมองว่าทั้ง 3 ประเด็นนี้สำคัญและเกี่ยวข้องกับอำนาจของวุฒิสภาโดยตรง
อนึ่ง หากการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 เสร็จสิ้นในวันที่ 11 ธ.ค. การพิจารณาในวาระที่ 3 จะเกิดขึ้นได้อย่างเร็วที่สุดคือ 29 ธ.ค. ตามการเปิดเผยของนายศิโรจน์ แพทย์พันธุ์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งบอกว่าประธานรัฐสภาไม่ได้ขัดข้อง พร้อม แต่เนื่องจากเป็นวันสิ้นปี ก็ต้องดูความพร้อมของสมาชิก หรือถ้าจะพิจารณาช่วงหลังปีใหม่ วันที่ 5-6 ม.ค. 2569 ประธานรัฐสภาก็พร้อม
https://www.bbc.com/thai/articles/c5yjk02nle1o
