วันอาทิตย์, ตุลาคม 19, 2568

คนไทยควรรู้ ก่อนลงประชามติยกเลิก MOU43 หากยกเลิก เจ้ากรมแผนที่ทหาร ห่วงไม่มีกรอบทำงานปักปันเขตแดน-ที่สำรวจมา 20 ปีอาจเสียเปล่า



เข้าใจ MOU43 ก่อนลงประชามติยกเลิก คนไทยควรรู้อะไร?

17 ต.ค. 2568
ไทยรัฐออนไลน์

เข้าใจ MOU43 ก่อนลงประชามติยกเลิก คนไทยควรรู้อะไรบ้าง? "อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย-เจ้ากรมแผนที่ทหาร" ห่วงไม่มีกรอบทำงานปักปันเขตแดน-ที่สำรวจมา 20 ปีอาจเสียเปล่า

จากกรณีทางรัฐบาล อาจมีการเปิดให้ลงประชามติ ยกเลิก MOU43/44 ว่าด้วยการปักปันเขตแดนกับประเทศกัมพูชา

นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และ พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ให้ข้อมูลที่คนไทยควรรู้ก่อนเข้าคูหาลงประชามติ โดยเฉพาะ MOU43 สำหรับการปักปันเขตแดนทางบก ระยะทาง 798 กม.กินพื้นที่ชายแดน 7 จังหวัด

MOU 43 คืออะไร

นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เผยว่า MOU หรือ Memorandum of Understanding แม้มีชื่อเป็น “บันทึกความเข้าใจ” แต่มีสถานภาพเป็น “สนธิสัญญา” ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งการทำ MOU เพื่อปักปันเขตแดนระหว่างกันเป็นแนวปฏิบัติที่ทั่วโลกทำเป็นปกติ

MOU43 นี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นกรอบในการเจรจาในการสำรวจและทำหลักเขตแดนทางบก โดยกำหนดเนื้อหาหลักเกณฑ์ ข้อกฎหมายที่จะนำมาใช้ รวมถึงเอกสารหลักฐานที่จะเอามาเป็นพื้นฐานในการเจรจาร่วมกัน

กำหนดไว้ในข้อ 1 กำหนดให้ใช้สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 ให้ใช้แผนที่ที่จัดทำโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนจากสนธิสัญญาฉบับนี้ (แผนที่ 1:200,000) และบันทึกวาจาระหว่างเจ้าหน้าที่สองฝ่าย โดยต้องดูทุกองค์ประกอบให้ครบถ้วน
 

เบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย

พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร เผยว่า การปักปันเขตแดนในครั้งนี้ไม่ใช่การขีดเส้นเขตแดนใหม่ แต่เป็นการสำรวจเขตแดนที่ฝรั่งเศสและสยามได้จัดทำไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 120 ปี ก่อน และมีหลักฐานคือ สนธิสัญญา ที่กำหนดให้ใช้ลักษณะทางธรรมชาติ คือ แนวสันปันน้ำ (ในกรณีเทือกเขา) ลำคลอง หากไม่มีลักษณะทางธรรมชาติ เช่น พื้นที่ราบ ก็ให้แบ่งเป็น เส้นตรง โดยให้ปักหลักเขตและใช้เส้นตรงระหว่างหลักเขตเป็นแนวเขตแดน

สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส แบ่งออกเป็น 2 ฉบับ คือ อนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 ซึ่งใช้ในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ ระยะทาง 196 กม. กำหนดให้ใช้แนวสันปันน้ำ เทือกเขาพนมดงรัก ยังไม่มีการนำหลักเขตไปปัก

อีกฉบับคือ สนธิสัญญาปี ค.ศ.1907 กินพื้นที่ 5 จังหวัด คือ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ระยะทางประมาณ 600 กม. มีการปักหลักเขตแดนหลักแรก ตั้งแต่ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงหลักสุดท้ายที่ 73 ที่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด

จากสนธิสัญญาทั้งสองฉบับ ได้มีการทำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทั้งหมด 7 ระวางตลอดแนว และการปักหลักเขตในพื้นที่ 73 หลัก ซึ่งทุกการปักหลักเขตจะมีบันทึกวาจา ระบุไว้ว่า หลักอยู่ตรงไหน เดินทางไปอย่างไร มีสัญลักษณ์ใดบ่งชี้ เช่น ปักไว้ใต้ต้นไม้ชนิดหนึ่ง

แต่ปัญหาคือเมื่อเวลาผ่านไป หลักเขตแดนถูกเคลื่อนย้ายหรือสูญหาย รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ จึงพูดคุยและลงนาม MOU43 ว่าด้วยการสำรวจหลักเขตแดนทางบก วัตถุประสงค์เพื่อทำให้แนวเขตแดนที่เคยปักปันในอดีตชัดเจนมากขึ้น โดยการปักหลักเพิ่มเข้าไปให้มีความเด่นชัดและทำแผนที่เพื่อใช้งานร่วมกัน

พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร

แนวทาง-ความคืบหน้าการปักปันเขตแดน

MOU43 เป็นเพียงแค่กรอบการเจรจา แต่ไม่ได้ระบุวิธีปฏิบัติงาน จึงมีการการทำ TOR พ.ศ.2546 แผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ และเริ่มมีลงภาคสนามในปี 2549

ขั้นตอนใน TOR 2546 มีดังนี้

1. ลงพื้นที่สำรวจและหาที่ตั้งหลักเขตเดิม ในอดีต 74 หลัก ว่าจุดที่ถูกต้องอยู่ตรงไหน โดยอ้างอิงจากบันทึกวาจา

2. ใช้กล้องติดอากาศยานบินถ่ายภาพตลอดแนว ด้วยเทคโนโลยีชื่อว่า ไลดาร์ (LiDAR) ใช้เลเซอร์ยิงลงพื้นดินและวัดการสะท้อนกลับ ซึ่งจะสร้างภาพสามมิติที่ระบุความสูงของพื้นที่ได้

3. นำภาพจาก LiDAR มาเขียนลงบนแผนที่ภาพถ่ายระบุ เส้นสันปันน้ำ ลำคลอง เส้นตรง

4. ลงพื้นที่สำรวจภูมิประเทศอีกครั้ง

5. เมื่อได้เส้นที่แน่นอนก็จะมาสร้างหลักเขตแดน

เจ้ากรมแผนที่ทหาร เปิดเผยความคืบหน้าว่าตอนนี้ไทยและกัมพูชา เสร็จสิ้นในขั้นตอนที่ 1 คือลงพื้นที่สำรวจหลักเขตเดิมในอดีตครบทั้ง 74 หลัก แต่ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอนการบินสำรวจ

“ขั้นตอนแรกคือการหาหลักเขตแดน แม้ใช้เวลานานกว่า 20 ปีแต่ก็ได้ความยาวกว่า 600 กม.จากทั้งหมด 798 กม.โดยต้องเข้าใจว่าในพื้นที่ก็มีกับระเบิดเยอะ นอกจากนี้ลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ละหลักต้องใช้เวลาในการพิจารณาค่อนข้างนาน”



จาก 74 หลักที่สำรวจร่วมกัน ฝ่ายไทยและกัมพูชาเห็นตรงกัน 45 หลัก เห็นไม่ตรงกัน 29 หลัก ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่แบ่งแบบ “เส้นตรง” เนื่องจากลักษณะบ่งชี้ที่ระบุในบันทึกวาจาหายไป ทำให้ความเห็นของแต่ละฝ่ายไม่ตรงกัน

ในกรณีที่ประชาชนบางส่วนมองว่า ความคืบหน้าในการปักปันเขตแดนล่าช้าผ่านมา 20 ปียังไม่แล้วเสร็จนั้น อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ชี้แจงว่า ตอนนี้การปักปันเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านยังไม่แล้วเสร็จสักประเทศ โดยทุกประเทศมีขั้นตอนเหมือนๆ กัน ซึ่งการปักปันเขตแดนเป็นเรื่องทางเทคนิคมาก บางวันเดินสำรวจได้แค่ 100 เมตร ดังนั้นเขตแดนที่มีระยะกว่า 798 กม.จึงต้องใช้เวลา

นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความจริงใจและบริบทการเมืองภายในของประเทศอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในกรณีประเทศที่ไทยมีความสัมพันธ์อันดีด้วยอย่างมาเลเซีย ก็คืบหน้าไปแล้วกว่า 99% หรือลาว ที่คืบหน้าไป 97% ขณะที่กัมพูชาขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 60%

MOU ใช้แผนที่ 1:200,000 ทำให้ไทยเสียเปรียบ?

พล.ท.ชาคร แจงว่า แผนที่ปักปันเขตแดนทำตามเจตนารมณ์ของสนธิสัญญา ที่ตั้งใจให้ใช้แนวสันปันน้ำ แต่แผนที่ 1:200,000 ที่ทำไว้ในอดีตขาดเทคโนโลยีและความแม่นยำ ทำให้ไม่ตรงกับภูมิประเทศในปัจจุบันและทำให้เส้นเขตแดนผิดเพี้ยนไปด้วย

ดังนั้นในการสำรวจพื้นที่จริงต้องใช้หลายองค์ประกอบ อย่างที่ระบุตาม TOR 2546 คือ ใช้ LiDAR ในการหาแนวสันปันน้ำ ไม่ได้ใช้แผนที่ 1:200,000 เพียงอย่างเดียวตามที่สังคมเข้าใจ

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในการสำรวจและปักปันหลักเขตแดนตามความเป็นจริงแทบไม่มีการใช้แผนที่ 1:200,000 ส่วนแผนที่ 1:50,000 เป็นแผนที่ที่ทางไทยใช้ในการปฏิบัติการ เพื่อรักษาอาณาเขตอธิปไตยของไทย

“คำว่าเสียเปรียบได้เปรียบ ต้องสำรวจให้ได้ก่อนว่าเขตแดนอยู่ตรงไหน แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดเลย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้ได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ดังนั้นตอนนี้จึงอยู่ในกระบวนการที่ทำเรื่องนี้อยู่”


หากยกเลิก MOU อาจมีผลกระทบอะไร

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวว่า ปัจจุบันที่มี MOU เป็นข้อตกลงบังคับให้กัมพูชาต้องมาคุยเรื่องปักปันเขตแดนกับไทยยังขนาดนี้ หากไม่มีจะขนาดไหน

ใน MOU ยังมีข้อตกลง เช่น ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชาต้องแก้ไขด้วยกลไกทวิภาคี ห้ามมีบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากไม่มี MOU ก็แสดงว่าไม่มีกลไกในการแก้ไขระหว่างกัน โอกาสที่เรื่องราวจะไปสู่ระดับระหว่างประเทศ อย่าง "ศาลโลก" ก็อาจเพิ่มสูงขึ้น แม้ไทยจะประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก แต่อาจกระทบกับภาพลักษณ์ว่า ประเทศไทยไม่คำนึงถึงหลักยุติธรรมหรือไม่

หากยกเลิก MOU ได้สำเร็จจริงๆ ขั้นตอนต่อไปก็เป็นไปได้หลายทาง อาจเป็นการเจรจาหากรอบใหม่ในการปักปันเขตแดน ซึ่งก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะแตกต่างจากกรอบ MOU43 ที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างไร

หรือหากไม่มีกรอบ ก็อาจใช้แนวทางเจรจาไปเรื่อยๆ แต่การพูดคุยอาจไม่ง่าย หากไม่มีกรอบกำหนดว่าจะใช้เอกสารหลักฐานอะไรในการพูดคุยกัน จะใช้ทีมสำรวจอย่างไร หรือใช้เทคโนโลยีอะไร

“ส่วนตัวมองว่าการมีกรอบดีกว่าไม่มี เหมือนกับมีเวทีแล้วเปรียบเทียบเราเป็นนักแสดง หากมีความรู้สึกว่านักแสดงไม่ดีก็เปลี่ยนนักแสดง ไม่ใช่วิธีรื้อเวทีออกหมด ตอนนี้ต้องมาคิดว่าหากเราไม่มีเวทีนี้แล้ว เราจะสร้างเวทีที่ดีกว่านี้ได้รึเปล่า การรื้อเวทีเป็นทางออกหรือเปล่า ต้องมาดูผลประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่เป็นตัวตั้ง”

นอกจากนี้การยกเลิกสนธิสัญญาไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติแล้วสนธิสัญญามีทั้งแบบที่กำหนดวิธีการยกเลิกเอาไว้และแบบที่ไม่ได้กำหนด ซึ่ง MOU43 ของไทย-กัมพูชาเป็นอย่างหลัง จึงต้องใช้กฎเกณฑ์จากกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยสามารถริเริ่มการยกเลิกได้ แต่อีกฝ่ายต้องตอบสนองหรือต้องการยกเลิกด้วยเช่นกัน หากอีกฝ่ายไม่ต้องการยกเลิกก็อาจไปฟ้องศาลหรือหากลไกที่สามมาช่วย

“สนธิสัญญาไม่ได้เลิกกันง่ายๆ สิ่งที่น่ากังวลก็คือ สมมติว่าเรามีความตั้งใจจะยกเลิก อาจทำให้ภาพพจน์ของเราต่อระหว่างประเทศอาจจะดูไม่ค่อยดี ทำให้คนอื่นคิดได้ว่าในวันข้างหน้าประเทศไทยไม่พอใจเรื่องอะไร ก็ไปทำประชามติยกเลิก แล้วเขาจะเชื่อถือเราได้อย่างไร”

ขณะที่ เจ้ากรมแผนที่ทหาร มองว่า กระบวนการเดินมาได้ไกลพอสมควรแล้ว เพราะการสำรวจหลักเขตแดน 74 หลัก กินระยะทางประมาณ 600 กิโลเมตร เหลืออีกเพียง 196 กิโลเมตรที่ จ.อุบลราชธานี และศรีสะเกษที่ยังไม่เคยไปปักหลักเอาไว้ ซึ่งเป็นภารกิจที่กำลังจะทำต่อ กังวลว่าหากไปยกเลิก ที่ทำมาทั้งหมด 20 ปีจะหายไปทั้งหมด และเมื่อไม่มีแนวเขตแดนก็อาจสร้างความไม่แน่ชัดของเขตแดนและก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งกันอีก

“มองว่าทำอย่างไรก็ได้ให้แนวเส้นเขตแดนชัดเจนโดยเร็ว ก็จะลดปัญหา การพัฒนาประเทศก็เกิดขึ้นได้ แต่แนวเขตแดนที่ออกมานั้นต้องอยู่ในความเที่ยงธรรม เป็นสากล ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกับใคร สันปันน้ำอยู่ตรงไหนหาได้โดยวิทยาศาสตร์”



ชมคลิปhttps://youtu.be/ZGXewpK99Rg

https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2889713