ผู้ดำเนินรายการถึงกับสะดุ้ง “อะไรนะ” สรยุทธย้อนให้จักรภพขยายความอีกหน่อย ได้ว่า “ปฏิรูปนี่ก็คือค่อยเป็นค่อยไป ถนอมสิ่งที่มีอยู่ ไม่ต้องทะเลาะกันมาก ปฏิวัติก็คือเปลี่ยน ถอนรากถอนโคน แล้วก็ไม่อยากได้โครงสร้างเดิมมากนัก”
ถ้าไปถามเจ้าทฤษฎีนักปฏิวัติ เขาจะบอกว่าขนาดพรรคประชาชนนี่ยังไม่ใช่นะ ฉะนั้น ‘ลิซ่า’ ภคมน หนุนอนันต์ ถึงได้เขียนโต้ทันใด “พรรคการเมืองที่เสนอการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง กลายเป็นพรรคที่มีแนวความคิดปฏิวัติ ไปได้ยังไง”
และ “แบบนี้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขัดแย้งกันมาเป็น ๒๐ ปี คืออะไร จริงๆ แค่ท่านยอมรับว่าตอนนี้ผลประโยชน์มันลงตัวเลยต้องมารวมกัน หยุดทะเลาะกันชั่วคราว ยังจะดูตรงไปตรงมากว่า” ก็ถูกของลิซ่านั่นละ
จักรภพ ยังพยายามอธิบายความเห็นของตน โดยยกเอาประวัติศาสตร์ยุโรปมาอ้าง “ตอนที่คอมมิวนิสต์เปลี่ยนเป็นทุนนิยมใหม่ๆ ในยุโรป คือมันมีทฤษฎีขึ้นมาสองอย่าง คือทฤษฎี ‘บิ๊กแบง’ เปลี่ยนเกลี้ยงเลย ฉับพลันเลย ไม่ต้องรอ...
ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเรื่องว่ากันตลอด ทางบิ๊กแบงก็บอกว่าค่อยเป็นค่อยไป มันซื้อเวลา สุดท้ายก็ไม่ได้เปลี่ยน –ไม่ดีก็คือว่าแค่อยากจะเอาตัวรอด- ส่วนค่อยเป็นค่อยไปก็บอกว่าบิ๊กแบงเนี่ยพลาดแล้วก็ตกเหวเลย” ถ้าแค่ทฤษฎีอาจใช่
แต่ดูจากความเป็นตัวของตัวของพรรคประชาชน ไม่น่าจะใช่ แม้แต่ความเป็นมาก็ยังไม่ใช่อยู่ดี เพียงว่าต้องการปฏิรูป ม.๑๑๒ ให้มันไม่ ‘Draconian’ ไม่ถูกนำไปใช้กลั่นแกล้ง ทำร้าย และทำลายกันทางการเมือง แก้เรื่องโทษแรงเกินไป คนฟ้องมั่ว
กลับถูกบิดเบี้ยวว่า ‘ล้มเจ้า’ หากอย่างนั้น เจ้าก็ยิ่งกว่ามาเฟียละสิ จักรภพเองควรจะรู้ดีกว่านี้ แต่พอได้ดีลดีกลับไทย เลิกทะเลาะ เลยเปลี่ยนสีผิวได้เหมือนกิ้งก่า เอาทฤษฎีสุดโต่งมายัดใส่คู่แข่งการเมืองของนายเสียอย่างนั้นแหละ
คำของลิซ่าเสียอีก ยังตรงกับไขสันหลัง และจุดยืนในความเป็นประชาธิปไตยของเธอเองยิ่งกว่า เมื่อเธอบอกว่า “วันนี้ไม่เรียกร้องอะไรกับคุณจักรภพเลยค่ะ แค่อยากถามว่าจำได้มั้ยในอดีตเคยยืนตรงและทรนงแค่ไหน”
