วันอาทิตย์, ตุลาคม 23, 2565

Butterfly Effect ของการลี้ภัย 1.การโทษเหยื่อที่ลี้ภัย 2.”น้ำใจ” ที่มีต่อคนที่ยังต้องติดอยู่ในประเทศเฮงซวยนั่น


Prontip Mankhong 
5h

เรื่องนี้มันแบ่งเป็นสองส่วน
1.การโทษเหยื่อที่ลี้ภัย
เรื่องการลี้ภัยคือสิทธิที่ทุกคนสามารถเรียกร้องได้เราสามารถร้องขอลี้ภัยได้ในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่ความปลอดภัยเมื่ออยู่ในประเทศของตัวเอง ตามหลักการสิทธิมนุษยชนทั่วไปทุกทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้ลี้ภัยได้
และนี่ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา ไม่ใช่ความผิดของคนที่โดนคดีไม่ใช่ความผิดของคนที่คิดจะหนี แต่เป็นความผิดของรัฐที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถที่จะอยู่ในประเทศได้อย่างปลอดภัย 
2.”น้ำใจ” ที่มีต่อคนที่ยังต้องติดอยู่ในประเทศเฮงซวยนั่น
มันคือการคิดถึงคนที่ยังออกไปไหนไม่ได้ของคนที่ออกไปแล้วในฐานะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ความเป็นห่วงเป็นใยคนข้างหลัง
ในหลายครั้งสิ่งที่เราจะต้องคิดก่อนที่เราจะทำอะไรคือ ทำไปแล้วมันจะกระทบคนที่ยังอยู่ไหม จะกระทบกับคนที่อยู่ข้างหลังหรือเพื่อนที่อยู่ในกระบวนการการต่อสู้เดียวกันไหม
ไม่ว่าจะเป็นการประกาศว่าเราหนีออกมาได้ยังไงแล้วเราใช้วิธีการไหนหนี มีใครช่วยเราบ้าง
สิ่งเหล่านี้จะทำให้  เกิดผลกระทบตามมาหลายอย่างด้วยกัน เช่น
-ช่องทางที่ใช้หลบนี้จะต้องถูกปิด หรือ ถูกจับตามองมากขึ้น กวดขันมากขึ้น และถ้าจะมีคนอยากจะหนีไปอีกก็อาจจะไม่มีทางหนีออกไปได้แล้ว 
-ศาลอาจจะเห็นว่ามีการหนีคดีและอาจจะเอาคนที่ได้ใส่กำไล EM หรือได้ประกันตัวกลับไปเข้าคุกเพราะว่าใช้ข้ออ้างว่ามีคนนึงหนีไปจึงเลิกใช้มาตรการให้ประกัน
ดังนั้นไม่ต้องใช้คำว่าก็ไปด่าศาลสิ เพราะยังไงก็ต้องด่าอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือสิ่งที่เราทำได้ก็คือการลดความเสี่ยงไม่ให้เพื่อนของเราต้องกลับไปติดคุกอีก ใช่ไหม
หรือพอเรานี้ได้แล้วเราก็ไม่แคร์ว่าใครจะต้องติดคุกอีกอันนี้ก็ไม่มีปัญหาถ้าคิดแบบนั้นจริงๆ  เรื่องนี้เราอาจจะโยนไปให้ศาลว่าศาลเป็นคนสั่งให้พวกเขาติดคุกไม่ใช่เราแต่ถ้าหากว่าเราทำได้เราอาจจะทำให้เขามีความเสี่ยงที่จะติดคุกน้อยลงดีไหม ???
-การคุกคามคนอื่นๆที่ให้ความช่วยเหลือตอนคุณหนี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็อาจจะต้องใช้วิจารณญาณในตัวเองว่าจะทำให้เขานั้นที่เขาช่วยเราต้องเดือดร้อนไปด้วยหรือเปล่า 
ถามว่าเราจะไม่ต้องสนใจก็ได้ใครจะกลับไปติดคุกอีกครั้งก็เรื่องของพวกมัน เพราะไม่ใช่ความผิดเราเป็นความผิดของระบบและเป็นระบบที่เฮงซวยเป็นกฎหมายที่ไม่มีความยุติธรรมแต่ความจริงที่เราไม่แคร์เขาอาจจะเพราะว่า เพราะว่าอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกันหรืออาจจะไม่ได้ถูกนับว่าเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่ทำงานร่วมกันก็อาจจะเป็นไปได้ 
ด้วยความที่ว่าปัจจุบันนี้มันไม่เหมือนกับการเคลื่อนไหวสมัยก่อนที่มันมีการปกป้องกันและกัน มันมีการจัดตั้งที่แน่นหนาเพียงพอที่จะบอกให้ทุกคนมีวินัยแล้วก็ใส่ใจชีวิตของคนอื่นที่อยู่ในขบวนรวมกันดังนั้นมันก็เลยเป็นแบบนี้ 
ความจริงหลายเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายก็ได้
โดยส่วนตัวเราเองจากการโดนคดีที่ผ่านมาเราต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อปกป้องคนบางคน แต่สิ่งที่เราทำส่วนใหญ่ก็ได้รับการรับรู้จากคนที่แข็งแรงกว่าเราอยู่แล้วเพราะว่าพวกเขาเป็นคนสอนเราเองว่าถ้าเรารู้ตัวว่าเราแข็งแกร่งกว่าเราก็แค่จะต้องทำให้คนที่อ่อนแอกว่าเรารอด
แต่ประเด็นก็คือมันอาจจะไม่มีการส่งต่อไอเดียแบบนี้ให้กันและกัน
มันกลายเป็นการเคลื่อนไหวแบบตัวใครตัวมันมากกว่า 
นอกจากการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่านี้ เพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของกูแล้ว
บางคนเค้าอาจจะถนัดขยับด้วยการเป็นแสงดาวบนท้องฟ้าแต่บางคนอาจจะถนัดที่จะเป็นแสงของฝูงหิงห้อยที่ไปด้วยกัน
แต่แสงดาวก็ไม่จำเป็นต้องดับแสงของหิงห้อยก็ได้
แต่ก็นั่นแหละเมื่อดาวกับหิงห้อยมันไม่เคยคุยกัน หรือมันอาจจะไม่อยากคุยกัน หรือมันอาจจะเกลียดกัน หรือมันอาจจะไม่ถูกกันมันก็ทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
สิ่งที่ต้องทำต่อไปต้องเตรียมตัวต่อไปก็คือทำยังไงให้คนที่ยังอยู่ไม่ถูกถอนประกันแล้วทำยังไงให้คนที่หนีออกไปแล้วมีชีวิตที่ดีเพียงพอที่จะชดเชยหรือว่าหันมา Supportคนที่ยังอยู่ข้างไหนได้บ้าง
ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว เพราะว่าถ้าจะบอกให้ไปหรือสร้างขบวนการเคลื่อนไหวใหม่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันต่อไป 
เอวัง
.....

Jaran Ditapichai
11h

ขณะฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่ลงตัว กองทัพบกคงทำงานการเมืองควบคุมประชาชนอย่างเข้มข้น
ข้างล่างเป็นตัวอย่างหนึ่ง