Pipob Udomittipong
9h
“รู้สึกไม่เป็นธรรม เพราะเราไปค่ายเรียนรู้ ไปทำกิจกรรมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ แต่เรากลับถูกคุกคาม พอเราไปเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาขอโทษเรากลับถูกดำเนินคดี”
จะเอาผิดแม้กระทั่งเด็ก คือแม่งตลกมาก ไทยเป็นปท.แรก ๆ ในโลกที่ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาสิทธิเด็ก จนมีผลบังคับใช้ในปี 1990 แต่ไม่เคยคุ้มครองเสรีภาพเด็ก และต้องการเอาเด็กติดคุกเพียงเพราะเขาต้องการแสดงความเห็น ศาลเด็กและเยาวชนมีไว้ทำไมอะ? มีไว้ลิดรอนสิทธิเด็กเหรอ?
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
13h
25 ต.ค. 2565 “แซน” (นามสมมติ) นักเรียนมัธยมปลาย โรงเรียนภูเขียว จ.ชัยภูมิ และนักกิจกรรมเยาวชน ต้องเดินทางไปที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิที่อยู่ห่างจากบ้านเกือบ 100 กม. อีกครั้ง เพื่อฟังคำพิพากษา หลังจากเดินทางไปกลับมาแล้วเกือบ 10 เที่ยว นับจากวันที่ถูก สภ.ภูเขียว ออกหมายเรียกเพื่อดำเนินคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หลังแซนร่วมชุมนุมกับกลุ่ม “ราษฎร” เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 เรียกร้องให้ครูและตำรวจขอโทษกรณีคุกคามนักเรียนที่ลงชื่อไปค่าย “ราษฎรออนทัวร์”
.
แซนถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมทางการเมืองคดีนี้เป็นคดีแรก ขณะที่เธอมีอายุเพียง 15 ปี ครั้งนั้นเธอกล่าวว่า “ถ้าโดนคดีสักครั้งคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกในสถานการณ์ที่มีการแจกคดีแบบนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ควรปกติ แต่กลายเป็นเรื่องปกติ” แต่หลังจากนั้นมาแซนถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมกับกลุ่ม "ทะลุฟ้า" อีกถึง 10 คดี เป็นคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และข้อหาเกี่ยวกับการชุมนุม หลายคดีถูกฟ้องต่อศาลแล้ว หลายคดียังอยู่ในชั้นสอบสวน
.
คดีนี้นับเป็นคดีจากการแสดงออกทางการเมืองของเยาวชนคดีเดียวในภาคอีสานที่ถูกฟ้องต่อศาลเยาวชนฯ ในห้วงเกือบ 3 ปี ของการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยของเยาวชนคนรุ่นใหม่ และสำหรับแซนนี่เป็นคดีแรกของเธอที่ศาลจะตัดสินว่า การต่อสู้คดีของเธอ โดยยืนยันสิ่งที่ทำนั้นไม่ผิด เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และการถูกดำเนินคดีเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพนั้น ในมุมมองของศาลจะเป็นอย่างไร
.
“รู้สึกไม่เป็นธรรม เพราะเราไปค่ายเรียนรู้ ไปทำกิจกรรมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ แต่เรากลับถูกคุกคาม พอเราไปเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาขอโทษเรากลับถูกดำเนินคดี เราจึงเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ผิด และการต่อต้านความอยุติธรรมในสังคมเป็นหน้าที่หลักของพลเมือง” แซนกล่าวภายหลังให้การปฏิเสธต่อศาล และขอต่อสู้คดี
.
ภายหลังคดีความมากมายซึ่งกินเวลาชีวิตวัยเรียนของเธอไปไม่น้อย แซนยังยืนยันว่า จะต่อสู้ต่อไปเพื่อให้ได้สังคมที่ไร้การกดขี่
.
อัยการฟ้อง 2 ข้อหา ร่วมชุมนุมที่มีความแออัด-มั่วสุมเสี่ยงแพร่โรคในพื้นที่เฝ้าระวังสูงโดยไม่ได้รับอนุญาต
.
สำหรับคดีนี้ เล็ก หอมลมัย พนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิ ฟ้องแซนต่อศาลเยาวชนฯ ในความผิดฐาน “ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกําหนด ประกาศ คําสั่งที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยร่วมชุมนุมทํากิจกรรมที่มีการรวมคนที่มีความแออัดในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค และมั่วสุมในลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรคภายในเขตพื้นที่ควบคุมพื้นที่เฝ้า ระวังสูง หรือพื้นที่เฝ้าระวัง ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงประกาศกําหนดโดยไม่ได้รับอนุญาต”
.
โดยระบุการกระทำที่เป็นความผิดว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 จําเลยกับพวกจำนวน 11 คน ซึ่งพ้นเกณฑ์เยาวชนและได้แยกดำเนินคดีต่างหากแล้ว และพวกประมาณ 30-40 คน ได้ร่วมกันชุมนุม จัดเวทีปราศรัย และเล่นดนตรีผ่านเครื่องขยายเสียง โดยจำเลยและผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่สวมหน้ากากอนามัย มีการรวมกลุ่มกันถ่ายรูป ไม่รักษาระยะห่างตามสมควร และไม่มีการคัดกรองตามมาตรการควบคุมโรค บริเวณหน้าโรงเรียนภูเขียว และหน้า สภ.ภูเขียว ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เฝ้าระวังสูง โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ
.
พยานโจทก์ทุกปากรับที่ชุมนุมโล่งกว้างไม่แออัด แซนเพียงร่วมชุมนุมไม่มีหน้าที่ขออนุญาต ด้านแซนยืนยันมีการป้องกันโควิด-ใช้สิทธิชุมนุมตามกฎหมาย
.
การสืบพยานมีขึ้นในช่วงวันที่ 9-11 ส.ค. 2565 ในวันแรกแซนและแม่เดินทางมาศาล โดยแซนมีอาการอ่อนเพลีย และวิงเวียน เนื่องจากท้องเสีย อาเจียน จากเหตุอาหารเป็นพิษในวันก่อนหน้านั้น ด้านผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดีเต็มองค์คณะ 4 คน ได้แก่ ชโยธิตย์ ตรงจิตซื่อสกุล ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน, สุทธิพงษ์ กิจชัยเจริญพร องค์คณะ และผู้พิพากษาสมทบอีก 2 คน โดยบรรยากาศในการสืบพยานทั้ง 3 วัน เป็นไปแบบสบายๆ ไม่ตึงเครียด
.
อัยการคดีเยาวชนนำพยานบุคคลเข้าเบิกความรวม 8 ปาก ประกอบด้วย ตำรวจ 4 นาย ที่อยู่ในเหตุการณ์ชุมนุม รวมถึง ผกก.สภ.ภูเขียว, สาธารณสุขอำเภอที่ไปสังเกตการณ์บางช่วงเวลา, ปลัดอำเภอและรองผู้อำนวยการโรงเรียนภูเขียวที่เห็นการชุมนุมหน้า ร.ร.ภูเขียวในระยะไกล และพนักงานสอบสวนที่รวบรวมหลักฐานและสอบปากคำพยานบุคคล
.
พยานโจทก์เหล่านี้เฉพาะตำรวจ 4 นาย ที่เบิกความยืนยันว่า “แซน” เข้าร่วมการชุมนุมและขึ้นปราศรัยในวันเกิดเหตุ โดยภาพขณะแซนขึ้นปราศรัยและถ่ายรูปรวมกับผู้ชุมนุมคนอื่นนั้น แซนรวมถึงผู้ชุมนุมบางคนไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย พยานที่เห็นเหตุการณ์เบิกความทำนองเดียวกันว่า ในที่ชุมนุมผู้ชุมนุมบางคนไม่ใส่หน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่าง ไม่ปรากฏว่าในที่ชุมนุมมีเครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับคัดกรองและเจลแอกอฮอล์ล้างมือ ขณะ ผกก.สภ.ภูเขียว และพนักงานสอบสวน ยืนยันว่า ไม่พบว่ามีการขออนุญาตต่อผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนการชุมนุม
.
อย่างไรก็ตาม มีพยานโจทก์บางปากเบิกความว่า ผู้ชุมนุมได้รับการตรวจคัดกรองแล้ว โดยสาธารณสุขอำเภอภูเขียวระบุว่า หน่วยบริการปฐมภูมิอําเภอภูเขียวเข้าไปตรวจวัดอุณหภูมิที่หน้า สภ.ภูเขียว และแจกหน้ากากอนามัยให้ผู้ชุมนุมใส่จนครบทุกคน และรอง ผอ.โรงเรียนภูเขียว ระบุว่า ขณะเข้าโรงเรียนในตอนเช้า โรงเรียนได้จัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิ ให้นักเรียนล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และให้สวมหน้ากากอนามัยทุกคน ซึ่งหมายถึงแซนและนักเรียนที่ฟังปราศรัยผ่านการคัดกรองแล้ว
.
อีกทั้งเมื่อที่ปรึกษากฎหมายจำเลยถามค้านพยานโจทก์เหล่านี้โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนเองก็รับว่า แซนเพียงเข้าร่วมชุมนุม ไม่มีหน้าที่ในการขออนุญาตชุมนุม สถานที่ชุมนุมก็โล่งกว้าง ไม่แออัด โอกาสแพร่เชื้อน้อยกว่าในอาคาร หลังการชุมนุมไม่ปรากฏมีผู้ติดเชื้อในจังหวัดชัยภูมิ นอกจากนี้ ทั้งประกาศและข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ได้นิยามคำว่า “แออัด” “มั่วสุม” “เสี่ยงต่อการแพร่โรค” ไว้ชัดเจน การตีความว่า จำเลยร่วมชุมนุมที่มีความแออัด และมั่วสุมในลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรคนั้น จึงเป็นดุลยพินิจของเจ้าพนักงานเอง
.
ด้านจำเลยซึ่งมีข้อต่อสู้ว่า ไม่ได้กระทำผิด เนื่องจากในการเข้าร่วมชุมนุมมีมาตรการป้องกันโควิดแล้ว โดยได้นำพยานรวม 3 ปาก ได้แก่ แซน, แม่ของแซน และหนึ่งในผู้จัดค่ายราษฎรออนทัวร์ เบิกความยืนยันตามข้อต่อสู้ดังกล่าว ทั้งยังยืนยันว่า ในการจัดค่ายมีเยาวชนถูกคุกคามจากครูและตำรวจจริง จึงเป็นเหตุให้มีการชุมนุมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในวันเกิดเหตุ แซนชี้ด้วยว่า การเข้าร่วมชุมนุมดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญ, กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กให้การรับรอง ไม่ควรถูกดําเนินคดีหรือถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ
.
อ่านคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลย https://tlhr2014.com/archives/49827
อ่านเรื่องราวของแซน https://tlhr2014.com/archives/29994
.....
Pipob Udomittipong
1d
คำแถลงของ #เจ๊เขียว ผู้ต้องหา #คดี112 โดยสรุปนอกจากจะถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ต้องเจอกับเงื่อนไขการประกันตัวที่ขัดกับหลักเสรีภาพในการแสดงออก ยังต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศ การขู่ฆ่า การเฝ้าติดตามตัวของเจ้าหน้าที่ ส่งรูปคอนโดที่พักมาข่มขู่ “เพื่อให้เราหยุดเคลื่อนไหว”
เมื่อแจ้งความแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับเมินเฉย ไม่ได้รับการปกป้องจากรัฐ จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว ไม่มีอิสรภาพในการใช้ชีวิต “มันคือการละเมิดเสรีภาพความมนุษย์ของเราโดยการอ้างตนเป็นกระบวนการยุติธรรม” และผู้ต้องหายังไม่เชื่อมั่นในระบบยุติธรรไทย “เพราะศาลไทยมีส่วนได้ส่วนเสียกับคู่กรณี โดยเป็นองค์กรใต้อำนาจของผู้เสียหายในตัวบทแห่งคดี #มาตรา112 “ เป็นเหตุให้ต้องลี้ภัย
สองสัปดาห์มานี้ มีคนรุ่นใหม่รวมทั้งเยาวชนต้องลี้ภัยแล้วอย่างน้อย 4 คน เพราะ #คดี112 เพราะการคุกคามเสรีภาพในการแสดงออก เพราะการปล่อยให้มี “ศาลเตี้ย” “vigilante” ใครไม่ชอบใครก็แจ้งข้อหาเขา ใส่ความเขา กลั่นแกล้งเขา การฟ้องคดีต่อบุคคล 10+ คนไกลถึง #สุไหงโกลก มันเป็นการฟ้องโดยสุจริตหรือ? ตร.ส่งฟ้อง อัยการยอมรับว่าสำหรับ #คดี112 อัตราการฟ้อง 100% แสดงว่าไม่มีการกลั่นกรองใด ๆ ทั้งสิ้น แนวทางการพิพากษาช่วงหลังก็เน้นการลงโทษ
ประเทศไทยกำลังเป็นเหมือนรัสเซียและยุโรปตะวันออกอีกหลายประเทศ ฝ่ายค้านพึ่งพาระบบยุติธรรมในประเทศไม่ได้ ต้องหลบลี้หนีภัยไปทำการต่อสู้ในต่างประเทศหมด
เจ๊เขียว กิโยติน
1d
22 ตุลาคม 2565
เรื่อง แถลงการณ์ปฏิเสธอำนาจศาล
ถึง ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ตามที่ทราบกันว่าเราเป็นนักเคลื่อนไหวจากกลุ่ม”นาดสินปฏิวัติ” ผู้ต้องหาชั้นฝากขังในคดีหมายเลขดำที่ 360/2565 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เเละพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รวมทั้งสิ้นจำนวน 7คดี ซึ่งมีนัดหมายรายงานตัวครั้งที่2 ตามหมายศาลอาญากรุงเทพใต้เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเราได้รับการประกันตัวชั่วคราวระหว่างฝากขัง แต่เราไม่ได้เข้ากระบวนการรายงานตัวตามกำหนด ศาลอาญากรุงเทพใต้จึงได้ออกหมายจับเราและยึดเงินประกันจำนวน 2 เเสนบาท
จากเหตุการณ์ดังกล่าวเราจึงขอแถลงการณ์ดังต่อไปนี้
กิจกรรมทางการเมืองที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการปราศัย,การชูป้ายข้อความ หรือการแสดงออกผ่านปฎิบัติการทางศิลปะ การฟ้อนรำ การร้องเพลง ล้วนแต่เป็น กิจกรรมที่ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆต่อสาธารณชน หากแต่เป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์ความอยุติธรรมของกระบวนการยุติธรรมในไทยเท่านั้น
การวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิทธิเสรีภาพขึ้นพื้นฐานของประชาชนและเป็นอาวุธเดียวที่เราจะใช้ต่อกรกับอำนาจกลไกของรัฐจารีตที่มีกองทัพ อาวุธ กฎหมาย และเพื่อพูดถึงปัญหาสถานะและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ไทย
แต่เรากลับถูกกระบวนการยุติธรรมใช้ กฎหมายเป็นเครื่องมือปิดปาก ฟ้องร้องกลั่นแกล้ง และถูกศาลตั้งเงื่อนไขเพื่อทำลายเสรีภาพในชีวิตอย่างมากมายทั้งๆที่ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีใดๆ
- ห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหา
-ห้ามขัดขวางกระบวนการสอบสวนของพนง.สอบสวน
-ห้ามออกนอกเคหสถาน 19.00 - 06.00 น. ของอีกวัน
-ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่มุ่งหมายเพื่อปิดปากและจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการแสดงออกเหมือนกับที่นักเคลื่อนไหวหลายคนที่ได้รับการประกันตัวต้องเผชิญ มิหนำซ้ำเรายังได้รับจดหมายข่มขู่ โดยจดหมายมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรงการข่มขู่ฆ่า การย่ำยีศพและการคุกคามทางเพศ เป็นจดหมาย 2แผ่นไม่จ่าหน้าซอง โดยแผ่นหนึ่งเป็นภาพโป๊เปลือยกิจกรรมทางเพศแบบหมู่ นอกจากนี้ยังมีเฟซบุ๊กอวตารตามคอมเมนต์คุกคามทางเพศโดยถ่ายรูปคอนโดที่พักอยู่และโพสต์ข่มขู่ตลอดเวลา เพื่อให้เราหยุดเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการตั้งเงื่อนไขรูปแบบเดียวกับที่ศาลต้องการคือการให้เราหยุดการเคลื่อนไหว
นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ นอกจากเราจะไปแจ้งความแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจเมินเฉย เรายังไม่ได้รับการปกป้องจากรัฐและยังถูกเจ้าหน้าที่ความมั่นคง(เพศกำเนิดชาย)จำนวนมาก สะกดรอยติดตามตลอดเวลา จนเราไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนอื่นทั่วไป เราไม่มีพื้นที่ส่วนตัว ไม่มีอิสรภาพในการใช้ชีวิต มันคือการละเมิดเสรีภาพความมนุษย์ของเราโดยการอ้างตนเป็นกระบวนการยุติธรรม
อีกทั้งเรายังถูกฝ่ายขวาจัดอย่างกลุ่ม ศปปส.คอยแจ้งคดี112เพิ่มอยู่เรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบหรือยับยั้งการกระทำของกลุ่มขวาจัดดังกล่าวได้ เสมือนอำนาจรัฐรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำเหล่านั้น
และเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า ศาลกระทำการพิจารณาและพิพากษาคดีมาตรา 112 ในปรมาภิไธยแห่งกษัตริย์ ซึ่งเป็นการประกาศตนว่าเป็นองค์กรใต้อำนาจของกษัตริย์ แต่ปัญหาทางหลักการนิติปรัชญาในคดีที่เกิดขึ้นต่อเรานี้คือ
ในตัวบทคดีอาญามาตรา112 มีระบุในตัวบท ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อกษัตริย์ กษัตริย์เป็นผู้ถูกกระทำ โดยการดูหมิ่น การหมิ่นประมาท หรือการแสดงความอาฆาตมาดร้าย กษัตริย์จึงนับเป็นผู้เสียหายแห่งคดีนี้โดยตรง ดังนั้นพฤติการณ์ของศาลที่ประกาศตนเป็นองค์กรใต้อำนาจของกษัตริย์ดังกล่าวข้างต้นคือการ“พิพากษาคู่กรณีฝ่ายหนึ่งในนามแห่งคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง”หามีความเป็นกลางทางคดีไม่ เพราะศาลไทยมีส่วนได้ส่วนเสียกับคู่กรณี โดยเป็นองค์กรใต้อำนาจของผู้เสียหายในตัวบทแห่งคดีมาตรา112
ตามตัวบทกฎหมายมาตรา112นี้ ศาลจึงไร้สิ้นความเป็นกลางทั้งในทางพฤตินัยและนิตินัย ตามหลักนิติศาสตร์เบื้องต้น ไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ใดๆในการพิจารณา,ดำเนินกระบวนการยุติธรรมหรือการพิพากษาคดีมาตรา112นี้ ที่เราถูกแจ้งข้อกล่าวหาพิพาทกับคู่กรณีซึ่งดำรงค์ตำแหน่งกษัตริย์ผู้อยู่นอกอำนาจศาล
เราจึงขอประกาศต่อศาลและวิญญูชนทุกหมู่เหล่าว่า เราไม่ขอยอมรับอำนาจศาลที่เป็นองค์กรใต้อำนาจแห่งคู่กรณีดังกล่าวในการพิจารณาคดีอาญามาตรา112อีกต่อไป เราจึงไม่ขอเข้าร่วมในกระบวนการพิจารณาและกระบวนการพิพากษาคดีนี้ในทางใดๆทั้งสิ้นอีก โดยการแถลงปฏิเสธเงื่อนไขทุกประการของศาลดังกล่าว
โดยเฉพาะเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดคือห้ามเดินทางออกนอกประเทศ หากไม่ได้รับอนุญาตจากศาล เพราะเรารู้ว่าศาลเองไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนถึงความเป็นกลางทางคดีของตนระหว่างเราที่เป็นจำเลยกับกษัตริย์คู่กรณีพิพาทซึ่งเป็นเจ้านายของตนได้
เราจึงขอแสดงตนเป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจศาลไทย โดยการละเมิดทุกเงื่อนไขที่ศาลตั้งไว้ และปฏิเสธอำนาจศาลไทยในทุกมิติ ด้วยการเดินทางมายื่นลี้ภัยการเมืองในประเทศที่ไม่ยอมรับกฏหมายมาตราดังกล่าว
ปัจจุบันเราได้พำนักอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และได้รับความคุ้มครองในทางกฏหมายจากศูนย์แรกรับผู้ลี้ภัยของรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เราขอขอบคุณรัฐบาลฝรั่งเศสที่คุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้กับเรายิ่งกว่าประเทศแผ่นดินเกิดของเราเองเสียอีก
ขอขอบคุณ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่เข้าใจและแสดงความเป็นห่วงมาเสมอ และขอสัญญาว่า เมื่อมีรายได้แล้วจะทยอยส่งเงินประกันที่ถูกปรับ กลับเข้ากองทุนราษฏรประสงค์ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ถูกดำเนินคดีคนอื่นๆต่อไป
ขอขอบคุณมงซิเออร์ Yan Marchal ที่ให้ที่พำนักชั่วคราวกับเราและช่วยเหลือดำเนินการติดต่อกับศูนย์แรกรับผู้ลี้ภัย จนสำเร็จลุล่วงภายในเวลาเพียง2สัปดาห์
ขอขอบคุณพี่กอล์ฟ ที่ช่วยแนะนำขั้นตอนต่างๆให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่น
ขอขอบคุณพี่ จอมไฟเย็น ปฏิกษัตริย์นิยม ที่ให้คำปรึกษาในทุกเรื่อง
ขอขอบคุณครอบครัวที่ในท้ายที่สุดก็เข้าใจในอุดมการณ์ของเรา และให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้
และขอขอบคุณทุกคนที่ไม่เอ่ยนาม
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกกำลังใจและความห่วงใย
จากมวลชนทุกๆคน
เรายังคงยืนยันต่อสู้เพื่อประชาชนต่อไป
ด้วยรักแห่งอุดมการณ์
มิ้นท์ นาดสินปฏิวัติ
.....