และ “เรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่”
ทำไมถึงลง จะได้หรือไม่ได้ ไม่สำคัญเท่าเป้าหมายว่า “ปีหน้า (นี้) เรายังขับเคลื่อนให้ยกเลิกมาตรา ๑๑๒ และปล่อยเพื่อนเรา ซึ่งจะดุเดือดและเข้มข้น เราจะ ‘ราษฎร Strike Back’ ตอบโต้ทุกรูปแบบ “ที่ผ่านมา
เป็นเพียงการร้องขอเศษเสี้ยวความยุติธรรมที่ไม่เคยได้รับ”
ทั้งกำหนด “นโยบายมาเหนือเมฆ เป็นนโยบายที่ทุกฝ่ายต้องรับฟังเพราะเป็นทางออกของ กทม. ทุกคนหาเสียงเพื่อชิงชัยการเลือกตั้ง แต่ ครย.หาเสียงเพื่อต้องการแก้ปัญหา”อย่างไรก็ดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการเฟ้นหาตัวแคนดิเดท
จะเป็นใครก็แล้วแต่ ได้คะแนนเท่าไรไม่สำคัญเท่า ได้เสนอนโยบายและหลักการให้ประชาชนในท้องที่ตระหนักและใส่ใจ มันสะท้อนเจตนารมณ์คืนส่งท้ายปีเก่าหน้าเรือนจำ ที่ว่า “ในปีหน้า การเคลื่อนไหวจะดุดัน
หากอยากให้เราหยุด ไม่เพียงยกเลิก ม.๑๑๒ แต่ต้องปฏิรูปสถาบัน”
ข้อตกลงนี้ “จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลัง COVID-19 ของไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน” อันรวมถึง “ยกเลิกภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้าไทย จำนวน ๓๙,๓๖๖ รายการ โดยลดภาษีเหลือ ๐% ทันที จำนวน ๒๙,๘๙๑ รายการ
ในส่วนของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จะลดและยกเลิกภาษีศุลกากรกับสินค้าที่ส่งออกจากไทย เพิ่มเติมจาก FTA ที่มีอยู่ในสินค้า เช่น ผลไม้สดและแปรรูปสินค้าประมง น้ำผลไม้ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และส่วนประกอบ พลาสติกเคมีภัณฑ์”
สำคัญแต่ว่าข้อตกลงดีๆ อย่างนี้ที่เริ่มพยายามทำให้เกิดเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว พอได้มาในปีนี้ต้องเจอกับผู้บริหารจัดการมือใหม่หัดขับมาแล้ว ๘ ปี มีแต่ทำให้จมลง จมลง ถ้างั้นต้องเปลี่ยนตัวผู้บริหารให้ได้ก่อนจะสาย อย่าให้เด็กหัดใหม่เล่นต่อ
ดูท่าการเลือกตั้งอันควรมาในปีนี้ จะถูกยื้อหรือเลี่ยงอีกไม่ได้แล้ว ดังนั้นเราทั้งหลายซึ่งอดทนดูเขาปู้ยี่ปู้ยำมาหลายปี จักต้องออกมาช่วยกันยับยั้งให้ได้ ง่ายๆ และหวังผลก็คือการหย่อนบัตรลงคะแนน แม้กระทั่งบนเวทีเล็ก เลือกผู้ว่าฯ กทม.
(https://www.nationtv.tv/news/378858815 และ https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/3190010524582659)
