ภาพจากข่าวสด
เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak
9h ·
[ จดหมายเปิดผนึกจากเพนกวิน]
28 มกราคม 2565
วันนี้ (28 ม.ค.) เป็นอีกวันที่ผมถูกเบิกตัวจากเรือนจำมารับฟังการสืบพยานโจทก์คดีชุมนุมม็อบเฟสที่ผมถูกฟ้องข้อหา 112 อันที่จริงตั้งแต่เด็ก ๆ ผมเคยมีโอกาสมาสังเกตการสืบพยานในคดีทั่ว ๆ ไปมาหลายครั้งแล้วแต่ครั้งนี้เมื่อได้มาสัมผัสบรรยากาศในฐานะจำเลยที่ถูกคุมขังก็เป็นอีกอารมณ์นึง
พยานในวันนี้มาจากกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศ.ป.ป.ส.) ให้การค่อนข้างสับสนเมื่ออัยการโจทย์ถามตอบอย่างหนึ่ง ทนายจำเลยถามตอบอย่างหนึ่ง บางทีตอบผิด บางทีตอบไม่ได้ก็ต้องให้คนอื่นตะโกนบอกซึ่งจริง ๆ แล้วก็คงทำไม่ได้ตาม มาตรฐานการสืบพยานทั่ว ๆ ไป มีจังหวะหนึ่งที่พยานหลุดปากเรียกผมว่า "หนักแผ่นดิน" ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าอคติที่เขามีต่อผมจะมากน้อยขนาดไหนและถามอะไรก็ตอบแต่ว่าไม่รู้ จำไม่ได้ แถมยังหลุดปากพูดขึ้นมาด้วยซ้ำว่าจำเหตุการณ์การชุมนุมที่เขาเอามาฟ้องผมไม่ได้ เพราะต้องทำมาหากินหลายอย่าง ไม่ได้ทำงานอย่างนี้อย่างเดียวอยากรู้เหลือเกินทำงาน “อย่างนี้” คืออะไร คืองานรับบทบาทแจ้งความ 112 กับคนที่เรียกร้องประชาธิปไตยหรือเปล่า
อีกประสบการณ์หนึ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอที่ศาลคือการถูกกดดัน คุกคาม เมื่อวานนี้ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ใส่เสื้อศ.ป.ป.ส. มานั่งใกล้ห้องพิจารณาคดีส่งตาเขียวเขม็งมาที่ผมและแม่ นอกจากนี้ก็มีชายฉกรรจ์เดินตามแม่ผมในเขตศาล จนแม่พูดติดตลกว่าทุกวันนี้ตำรวจก็มาที่บ้านแทบจะทุกวันอยู่แล้วยังจะมาเดินตามกันที่ศาลอีกเหรอ
ถ้าเป็นคดีทั่วไปสิ่งเหล่านี้ก็อาจไม่เกิดขึ้น แต่อย่างว่าคดีการเมืองเป็นเรื่องของการใช้กฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้ามของผู้มีอำนาจ ป่วยการจะถามหาความกลับด้วยซ้ำ เพราะถ้ายุติธรรมก็คงไม่ขังผมไว้ตั้งแต่แรก แต่ถึงจะถูกจับขังไว้ ก็ยังต้องสู้ต่อไปเพื่อเอาความจริงมาเปิดเผยกลางศาลเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมปราศรัยนั้นเป็นความจริง ต่อให้ขังผมไว้อยู่ก็เป็นความจริง ท้ายที่สุดแล้วจะถูกตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด ก็คงต้องรอดูว่าศาลประเทศเราจะมองว่าการพูดความจริงเป็นอาชญากรรมร้ายแรงหรือไม่
แต่ความจริงย่อมเป็นความจริงและคนย่อมเป็นคน