...
เอาอีกจนได้ เข้าวันที่ห้า ‘ชุดดำ’ รักพ่อเยอะเกินพอดี ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ปรี่ตบป้าชุดสีฟ้าหน้าหงาย
สี่ทุ่มครึ่งวันที่ ๑๗ ตุลา เวลาประเทศไทย ‘ข่าวสด’ ตี (พิมพ์) ข่าวประกอบคลิป “คนบนรถเมล์กำลังต่อว่าผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง สวมชุดกระโปรงลายสีฟ้านั่งอยู่บนรถเมล์ โดยระบุว่าผู้หญิงคนนี้พูดจาไม่บังควรมาตั้งแต่เยาวราชแล้ว”
(http://giphy.com/gifs/3o7TKRtOmst3F9sXSM)
ได้มีการบอกให้คนขับจอดแล้วเรียกตำรวจมาจัดการนำตัวหญิงดังกล่าวลงจากรถไป แต่ขณะหญิงคนนั้นกำลังเดินไปยังฟุตปาต “ปรากฏว่ามีหญิงสาวสวมเสื้อดำได้ปรี่เข้าไปตบหน้าอย่างจัง ทั้งยังตะโกนด่าทอผู้หญิงรายนี้ว่าไม่เหมาะสม สมควรแล้วที่โดนแบบนี้เพราะมาพูดจาไม่บังควร”
(https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_58516)
เอาละสิ ตานี้เป็นดราม่า แชร์กันระงมสื่อโซเชียล มีคนเขียนตอบคุณ Mai K. Phakaporn เจ้าของโพสต์ที่บอกว่า “ป้าแกนั่งด่าพ่อหลวงและพระองค์อื่นๆ ตลอดทาง”
ความจริงจึงปรากฏว่าป้าชุดลายสีฟ้านั่นแกประสาทไม่ค่อยดี “เจอแกบนรถเมล์ขากลับจากสนามหลวง คือแกเป็นคนเสียสติอะ เรานั่งฟังแกมาตลอดทาง แกพูดไม่รู้เรื่องเลย ด่าเองคนเดียว พูดเองคนเดียว หัวเราะคนเดียว คือแกเสียสติเต็มขั้นนะ”
อีกรายเล่าละเอียด “คือป้าเค้าสติไม่สมประกอบ เค้าทานข้าวที่ร้านแถวบ้านก็พูดคนเดียวเสียงดัง...บ้านป้าเค้าอยู่หลังถนนหลวง ซอยด้านหลังวัดพลับพลาชัย ลองไปถามหาดูคนแถวนั้นรู้จักแกดีว่าแกเสียสติ”
อ้าว ตายห่ แล้วคนที่เข้าไปตบไม่เสียสติยิ่งกว่าเรอะ
จริงอย่างที่ Somsak Jeamteerasakul คอมเม้นต์ไว้เมื่อ 5 hrs ago “ความรักประเภทใดกันที่นำมาซึ่งการใช้ความรุนแรง? ก็คือความรักประเภทที่ขาดสติ ขาดเหตุผล
ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ การลงมือทำร้ายคนเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้ ‘ความรัก’ ที่ว่านั้น มีความสูงส่งขึ้นมาได้”
โดยเฉพาะเมื่อเขานำคลิปบนรถเมล์ที่ว่ามาลงซ้ำให้พิสูจน์กันว่าป้านั่งด่ามาตลอดทางจริงไหม “แต่คลิปนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่ามีการด่าจริงหรือไม่” ถึงกระนั้นคนที่ลงคลิปกล่าวหาอาจกลัว ๑๑๒ เลยไม่กล้าลงตอนที่ด่าจริงก็ได้
“ที่น่าสงสัยคือ สมมุติป้าดังกล่าวทำเช่นนั้น” สศจ.ตั้งข้อสันนิษฐาน “อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ว่าเธอมีปัญหาทางจิตเวชบางอย่าง คนที่สติปกติ ต่อให้ไม่รักเจ้า จะ ‘นั่งด่า..มาตลอดทาง’ ท่ามกลางผู้คนบนรถเมล์เต็มไปหมดหรือ?
ซึ่งโดยสามัญสำนึก แม้แต่คนที่ไม่พอใจก็น่าจะฉุกใจคิดได้ว่า อาจจะมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับป้าคนนี้จริงๆ ก็ได้” ซึ่งความจริงก็ปรากฏออกมาเช่นนั้น
แต่อนิจจา ‘ความรัก’ ไม่เพียงทำให้คนตามัวเท่านั้น ความรักอย่างคลั่งไคล้ทำให้คนสติปัญญามืดบอดไปด้วย
นั่นคือความรักอย่างลุ่มหลงนำไปสู่ความเกลียดชัง และตั้งตัวเป็นศัตรูต่อกัน ดังปรากฏมากมายในช่วงสี่ห้าวันที่ผ่านมาด้วยการแสดงออกทางสื่อสังคมออนไลน์ เป็นการก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น เช่นเรื่องสีเสื้อที่ยังเดือดพล่านจนวันนี้
เมื่อสามวันก่อนมีเจ้าของหน้าเฟชบุ๊คคนหนึ่งใช้ชื่อว่าวิชัย นามสกุล Chaleepab เขียนข้อความว่าถ้าเห็นใครใส่เสื้อแดง “ผมและกลุ่มเพื่อนผมจะกระทืบมันทันที” ก็มีคนตอบ คนคอมเม้นต์ สะใจไป
แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่าบางรายเขียนกันดั่งว่าสังคมไทยนี้ไม่มีอารยะใดๆ อีกแล้ว เจ้าของเพจซึ่งลงรูปส่วนตัวในชุดเครื่องแบบ ลงภาพถ่ายอั้ม เนโกะ เต็มไปด้วยรอยกระสุน พร้อมทั้งคำบรรยายว่า “ว่างๆ เลยมาซ้อมยิงปืน”
เห็นว่าในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชสวรรคต อั้มได้ออกคลิปเฟชบุ๊คไล้ว์กล่าวถ้อยคำรุนแรง “อันเต็มไปด้วย hate speech” เป็นเหตุให้ นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ประธานมูลนิธิเก็บขยะแผ่นดิน ประกาศล่าตัว ขอให้คนที่อยู่ในกรุงปารีสเสาะหาที่พักของเธอ
มีคนเข้าไปเสริมข้อความทำนองให้ล่าสังหาร จ้างพวกซ่องโจรไปจัดการเสีย จ่ายค่าจ้างงามๆ บ้างแนะให้ถามหาที่อยู่ของพ่อแม่เธอในประเทศไทยไปเยี่ยมกันหน่อยด้วย
(http://prachatai.org/english/node/6658)
ไม่ว่าคำพูดของอั้มจะก้าวร้าวบาดใจเพียงไร (ขออภัยไม่ได้ชมและฟังด้วยตนเอง) การตอบโต้ด้วย hate speech ชนิดที่นำไปสู่การก้าวร้าวในทางกายภาพ หรืออาจเป็นความรุนแรงถึงขั้นฆาตกรรม ก็ไม่ใช่วิสัยที่ ‘มนุษย์’ ซึ่งเรียนรู้อารยธรรมได้ดีกว่าสัตว์ดิรัจฉานพึงกระทำ
ซ้ำร้ายมหันต์เป็นที่สุด ตรงที่มีผู้เรียกตัวเองว่า ‘อาตมา’ ใช้รูปอวตารแทนตัวเป็นบุคคลศีรษะโล้น ห่มผ้าคลุมร่างเหมือนจีวร เข้าไปต่อความยาวในโพสน์ของนักแม่นปืนว่า
“ดีมาก ยิงที่ปากมันนะ...ขอให้ท่านได้ยิงจริงๆ ด้วยเทอญ” ครั้นมีคนท้วงว่าเป็นผู้ถือครองบรรพชิตออกความเห็นไม่เหมาะสม กลับย้อนอีกว่า
“อาตมาเป็นพสกนิกรเหมือนกัน หรือท่านชอบให้คนอื่นมาด่าว่าพ่อท่าน...”
ถ้าบุคคลนี้เป็นพระจริง ย่อมแสดงว่าความรักพ่อทำให้ละเมิดศีลได้ด้วย (ตีความศีลข้อ ‘มุสาฯ’ แบบก้าวหน้าด้วยสติปัญญาของศตวรรษที่ ๒๑ ว่าการพูดคำโหดเหี้ยมให้ร้าย เป็น toxic อันตราย เข้าข่ายละเมิด)
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้เสนอทางแก้ มีคนแนะนำให้ไปดูข้อเขียนของ ดร.ชาญชัย ชัยสุขโกศล อาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ทำการวิจัยเรื่อง 'Hate Speech และข้อมูลที่อันตราย : ทางเลือกวิธีตอบโต้ทางการเมือง' (Hate Speech & Harmful Information : Alternatives for Political Response) เอาไว้
(http://themomentum.co/momentum-feature-hate-speech)
“หลักการสำหรับ Hate Speech ที่ผมใช้คือ Do No Harm Principle คือคุณสามารถใช้เสรีภาพมากเท่าที่จะมากได้ ตราบใดที่ไม่ไปก่ออันตรายกับคนอื่น” ดร.ชาญชัยว่า
“ความหมายคือ เริ่มมีการเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรงต่อบุคคล หรือยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรง ไอ้คนนั้นมันเลวร้ายอย่างนั้นอย่างนี้ เราต้องไปจัดการมัน เจอมันที่ไหนต้องเอายาพิษให้มันกิน ตัดคอมัน เข้าไปชกมัน แบบนี้มันเริ่มเกินความเป็น Hate Speech แล้ว”
“หลายคนรับมือกับคำด่าหรือคำกล่าวหาด้วยการด่ากลับ โดยใช้คำพูดที่รุนแรงและเสียดแทงยิ่งกว่าเดิม วิธีนี้อาจจะดีในแง่ของการได้ระบายอารมณ์ แต่กลับทำให้บทสนทนาดำดิ่งสู่วังวนของความรุนแรง...
มึงด่ากู กูด่ามึงกลับ อันนี้ก็จะพาลงเหวกันไปเรื่อยๆ ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
อีกแบบคือการใช้ Counter Speech คือให้ข้อมูลที่ให้แง่มุมโต้แย้งกับเขา และหักล้างเหตุผลกัน เพื่อที่จะให้คนเห็นว่าอะไรคือของจริง อะไรคือความจริง แล้วให้คนเขาพิจารณากันเอง”
ข้อสำคัญ ดร.ชาญชัยเน้นย้ำ “ต้องใช้ตบะแก่กล้าในการทนรับฟัง Hate Speech ให้ได้ แล้วทำความเข้าใจว่าที่เขาด่าเราเพราะอะไร เราไปทำอะไรให้เขาเจ็บใจขนาดนั้น...”
ก็เป็นหลักการอันน่าชื่นชมอยู่ แต่ว่ายังจะต้องมี ซ.ต.พ. รอการพิสูจน์ เพราะไม่มีคำตอบให้แก่กรณีที่เป็น Hate Speech ชนิดใช้ถ้อยคำว่าร้ายแล้วยังเรียกร้องให้คนที่มีแต่ความเกลียดชังเหมือนตน ไปกลุ้มรุมทำอันตรายต่อเหยื่ออีกด้วย