เขาคือ ผู้ประกาศความจริงเหตุล้อมปราบ6ตุลา ต้องทิ้งอาชีพสื่อแบบไม่มีวันหวนคืน
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
6 ตุลาคม พ.ศ.2559
เราอาจจะไม่รู้จัก เราอาจจะไม่เคยได้ยิน และเราอาจจะไม่เคยเห็นหน้า
เพราะเขาถูกถอดออกจากทุกตำแหน่งทันที ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ภายหลังจากที่มีการถ่ายทอดสด “การปราบ” ในวันนั้น
และนั่นคือผู้ชายที่ชื่อว่า “สรรพสิริ วิริยศิริ” ผู้บุกเบิกวงการโทรทัศน์ไทย
ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม เมื่อ “การปราบ” เกิดขึ้น
สถานีโทรทัศน์ “เพียงช่องเดียว” ที่เปิดทำการอย่างกล้าหาญ และนำเสนอข่าวความเป็นไปที่ธรรมศาสตร์คือ ช่อง 9
โดย สรรพสิริ เคยให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ว่า
“ในบริษัทตอนนั้น ผมเป็นคนเดียวที่สั่งเปิดวิทยุและโทรทัศน์ได้ ผมก็เลยสั่งเปิดเพื่อออกข่าวให้ประชาชนได้เห็นสภาพการที่แท้จริง โดยรักษาความเป็นกลางที่สุด เสนอภาพที่ตรงไปตรงมายกเว้นภาพรุนแรง สยดสยอง ก็ต้องตัดออกไป เราไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด เพราะเหตุการณ์ที่เกิด ฝ่ายหนึ่งอาจจะถูก อีกฝ่ายอาจจะผิด หรือไม่มีใครถูกเลย หรือไม่มีใครผิดเลย เราไม่มีหน้าที่จะไปวินิจฉัย ไม่มีหน้าที่ไปตัดสิน ไม่มีแม้แต่หน้าที่จะไปปิดบังความจริงเท่าที่เรามีอำนาจและประชาชนควรจะรู้”
สรรพสิริ ได้เคยกล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่าเขาไม่เคยเสียใจที่ได้เลือกที่จะทำเช่นนั้น
และเขาเชื่อว่าการกระทำของเขาได้ช่วยชีวิตคนจำนวนมาก
พร้อมทั้งยังได้เสนอ “ความจริง” ให้สังคมได้รับรู้
“สื่อควรเสนอความเป็นจริง ไม่ใช่ความเป็นกลางเพราะความเป็นกลางอยู่ที่ว่าใครเป็นคนตัดสินและขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนซึ่งอาจเอนเอียงไปบ้าง แต่ความจริงอย่างไรก็คือความจริง”
เคยมีคนบอกกับเราว่า “ไม่เคยมีคนตายที่ธรรมศาสตร์ ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519”
ถ้าหากไม่มี สรรพสิริ วิริยศิริ เราคงจะยังเถียงกันอยู่ว่า “ตกลงมีคนตายหรือไม่?”
ถ้าหากไม่มี สรรพสิริ วิริยศิริ เราอาจจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่สนามหลวงกันแน่ในวันนั้น
ถ้าหากไม่มี สรรพสิริ วิริยศิริ เราคงไม่มีทางรู้ว่า “อะไร” คือ “ความจริง”
ในทำนองเดียวกันถ้าไม่มี 6 ตุลา 2519 สรรพสิริ ก็อาจจะเป็นผู้ประกาศข่าวมือทองในตำนานไปแล้ว
เขาถูกปลดทันทีในวันเดียวกันที่การเผยแพร่ภาพออกไป
ถูกอายัดบัญชีทรัพย์สินทั้งหมด
ต้องหลบออกไปอยู่ที่อื่นนอกกรุงเทพ
และก็ไม่ได้กลับมาทำอาชีพนี้อีกเลย
ชีวิตของสรรพสิริ วิริยศิริ ในช่วงปี พ.ศ.2519 ทำให้เราเห็นว่าสังคมไทยในปีนั้นและในปี 2559 ยังคงเหมือนกันอย่างน่าประหลาด
เราอาจจะมีนิยามความสวยหล่อที่ต่างกัน
นิยมสะสมของคนละแบบกัน
มีไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนกัน
แต่บางทีเราอาจจะยังเป็นสังคมที่มีวิธีคิดแบบเดียวกัน
คือสังคมที่พิพากษาให้ใครอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้โดยง่าย
และคิดว่าใครที่ไม่ทำอย่างที่ตัวเองทำ เป็นฝ่ายตรงข้ามไปเสียหมด
เราอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า เราเห็นด้วยกับ สรรพสิริ วิริยศิริ
ที่เชื่อในการนำเสนอ “ความจริง” เพื่อให้สังคมได้ใช้ “วิจารญาณ”
ที่เชื่อในอาชีพ “สื่อมวลชน”
เพราะมันเป็นกุญแจที่นำความจริงออกไปสู่สังคม
เป็นประตูที่เปิดให้คนตัวเล็กๆ ได้มีสิทธิพูด ได้มีสิทธิออกความเห็น
เป็นหน้าต่างที่สังคมจะได้มองออกไปเพื่อเห็นโลกอย่างที่มันเป็น
เป็นเหมือนกล้องวิดิโอในรถทำข่าวคันเดียวคันนั้นของสรรพสิริ
ที่บันทึกเสียง ภาพ เรื่องราว ชีวิต ความเจ็บปวด
เพื่อให้ความทรงจำกลายเป็นประวัติศาสตร์ และได้รับใช้สังคมในฐานะเครื่องเตือนและเครื่องเรียนรู้
ในวาระครบ 40 ปี 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
เราอยาก “ขอบคุณ” สรรพสิริ วิริยศิริ
ผู้ที่ทำให้ความทรงจำไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเลื่อนลอย
แต่เป็นความจริงที่เราจำได้
“ขอบคุณ” สรรพสิริ วิริยศิริ
“ขอบคุณ” ประวัติศาสตร์ของคนตัวเล็กๆ ที่สร้างเรื่องใหญ่ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก แฟนเพจ 6 ตุลา 2519 เราไม่ลืม โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์งาน 40 ปี 6 ตุลา
ooo
'สรรพสิริ วิรยศิริ' ผู้กล้า-ผู้ยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย
นายสรรพสิริ วิรยศิริ ที่มาภาพ : https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net
โดย ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
3 พฤศจิกายน 2012
ที่มา Thai Publica
ถ้าจะมีใครสักคนที่เหมาะจะได้รับการนำภาพมาขึ้นปกและโปรยปกด้วยคำว่า คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย ในรอบปีที่ผ่านมา คนผู้นั้นเห็นจะหนีไม่พ้นคุณสรรพสิริ วิรยศิริ ผู้ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา สิริอายุรวม 92 ปี
เป็น 92 ปีที่ผ่านบททดสอบแห่งความเป็นมนุษย์มากมายและเป็นบททดสอบเดียวกับที่สังคมไทยต้องเผชิญในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา
สมัยเมื่อเริ่มต้นทำนิตยสารใหม่ๆ นั้น คุณวัฒนชัย วินิจจะกูล เพื่อนรุ่นพี่ของผมเคยชักชวนให้ไปนั่งสัมภาษณ์คุณสรรพสิริถึงที่บ้านย่านถนนสามเสน ใกล้ๆ กับโรงเรียนเซนต์คาเบรียล คุณสรรพสิริตอนนั้นก็เป็นคุณตาใจดีแล้ว ท่านได้เล่าประสบการณ์ชีวิตของท่านให้ฟังมากมาย ตั้งแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจในวัยเยาว์ ที่ท่านแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังในการดำเนินชีวิต และกลายเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของพระยามหาอำมาตย์ ที่ยังคงรักษาเกียรติประวัติแห่งวงตระกูลไว้ได้อย่างสง่างามตราบจนวันสุดท้ายแห่งชีวิต
ในเวลานั้น ผมยังเป็นเพียงนักข่าวหนุ่มผู้ไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาว ยังไม่เข้าใจประวัติศาสตร์และบททดสอบของชีวิต หลายต่อหลายเรื่องที่ได้ฟังจึงเพียงแต่ได้ยินที่หู จำได้เพียงเลาๆ แต่เรื่องเหล่านั้นมิได้เข้าไปจับที่ใจ และในที่สุดผมมิได้เรียบเรียงบทสัมภาษณ์ชิ้นนั้นออกตีพิมพ์ด้วยซ้ำไป
นั่นเป็นความเขลาในวัยเยาว์ ที่มีแต่ยาที่ชื่อว่าเวลาเท่านั้นที่จะช่วยรักษาได้
เมื่อย้อนคิดถึงวันนี้ วันที่ผมเข้าใจประวัติศาสตร์มากขึ้น ผ่านบททดสอบของชีวิตมาหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผ่านการดำเนินรายการโทรทัศน์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศมา 3 ปีเต็ม อันเป็น 3 ปีที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างรุนแรง ผมยิ่งซาบซึ้งว่า คุณสรรพสิริต้องใช้ความกล้าหาญเพียงใด ในการเผยแพร่ภาพข่าวเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐให้ผู้ชมทั่วประเทศได้รับทราบความจริง
ผ่านมาเกือบ 40 ปี ผมยังไม่เห็นคนกล้าเช่นนี้อีกในวงการโทรทัศน์ไทย
หากจะกล่าวไป โทรทัศน์นั้นเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อผู้ชมมากที่สุดสื่อหนึ่ง ตั้งแต่มีการคิดค้นสื่อขึ้นมาในโลกนี้ เมื่อมีอิทธิพลมาก จึงถูกแทรกแซงจากผู้มีอิทธิพลมาก ตั้งแต่ข้าราชการ เผด็จการทหาร กระทั่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พอมีอำนาจวาสนาก็สั่งสถานีโทรทัศน์ไปหมดทุกเรื่อง
สถานีโทรทัศน์ซึ่งควรจะเป็นกลางและรับใช้ประชาชน จึงกลายไปเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล ในช่วงหลัง เมื่อความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจึงจำเป็นต้องสร้างสื่อของตัวเองขึ้นมาสู้ ทำไปทำมา ทุกพรรคทุกค่ายทุกฝ่ายทุกสีจึงกลายเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์กันหมด
ยิ่งเทคโนโลยีดาวเทียมทำให้การเกิดของสถานีโทรทัศน์ง่ายขึ้น ในที่สุด ทุกสื่อเก่าต่างก็พากันพาเหรดเข้าสู่ตลาดโทรทัศน์ดาวเทียมกันอย่างคึกคัก
จนโทรทัศน์ดาวเทียมประเทศไทยนับสถานีได้เป็นร้อยช่อง
กระนั้น จะมีสักช่องที่จะเป็นหลักเป็นฐาน เป็นพื้นที่กลาง และทำงานอย่างมืออาชีพ ก็หาได้ยากเต็มที ยิ่งมีเงื่อนไขทางธุรกิจเข้ามากำกับ ใครเล่าจะอยากซัดกับรัฐบาลหรือทานกระแสโฆษณา เพราะเป็นที่รู้กันว่า นอกจากงบจากกลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ในประเทศแล้ว ในระยะหลัง งบประมาณจากภาครัฐมีส่วนอย่างยิ่งในการเกื้อหนุนให้สื่อเก่าหลายสื่อเชิดหน้าชูตาอยู่ได้ในโลกยุคใหม่
ผมเคยตั้งคำถามใหญ่กับผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้นมาในประเทศไทย สถานีจะรายงานข่าวอย่างไร?
จะรายงานเหตุการณ์สดๆ ตามที่เป็นจริง
หรือจะถ่ายทอดประกาศของคณะรัฐประหารอย่างเชื่องๆ
จะเลี่ยงไปเปิดมิวสิกวิดีโอกังนัมสไตล์ฆ่าเวลา
หรือจะทำเหมือนว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติ เหมือนที่ฟรีทีวีไทยชอบทำกันเวลาเกิดวิกฤติ
นี่เป็นคำถามที่ผู้บริหารสถานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานีข่าวต้องคิดว่า จะเลือกจุดยืนในการนำเสนอข่าวอย่างไรในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานของประเทศ ซึ่งแต่ละคนแต่ละค่ายคงจำเป็นต้องเลือกจุดยืนแตกต่างกันไป ตามเหตุ ตามผล และตามประโยชน์ที่แต่ละคนต้องรักษาไว้
ตั้งแต่ประโยชน์ตน จนกระทั่งถึงประโยชน์ท่าน (ผู้ถือหุ้น)
ส่วนประโยชน์ประชาชนอาจจะอยู่หลังสุด เพราะความอยู่รอดของสื่อในระยะสั้นนั้น มิได้มาจากยอดขายเหมือนในอดีต สื่อยุคใหม่จึงรู้ร้อนรู้หนาวกับผู้อ่านหรือผู้ชมน้อยลง แต่รู้ใจกลุ่มธุรกิจและคนในรัฐบาลมากขึ้น
คำถามเรื่องรัฐประหารจึงเป็นคำถามที่ต้องรอเวลาพิสูจน์เมื่อสถานการณ์จริงเผชิญหน้าและท้าทายให้ทุกคนต้องตัดสินใจ
เช่นเดียวกับอีกหลายคำถามในโลกแห่งการทำหน้าที่สื่อ
ก่อนวันที่ 6 ตุลา 2519 การเมืองในประเทศทวีความตึงเครียดขึ้น มีข่าวการนำจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร กลับเข้ามาในประเทศ คุณสรรพสิริเล่าไว้ในนิตยสารสารคดีว่า เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ท่าจะไม่ดี จึงเตรียมการตั้งรถเสนอข่าว ยิ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์มีทีท่าจะรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ จึงตัดสินใจลงไปจับเรื่องนี้เอง
“เพราะข่าวคือหัวใจและศักดิ์ศรีของสื่อสารมวลชน และเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ ที่ทุกคนมีสิทธิรู้ความจริง” คุณสรรพสิริกล่าวอมตะวาจาไว้เช่นนั้น
คืนวันที่ 5 ตุลาคม คุณสรรพสิริวางแผนทำข่าว โดยดึงช่างภาพทั้งมือเก่าและใหม่เข้าร่วมทีม พอถึงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม รถบัญชาการของ “ข่าวล่ามาเร็ว” กับ “ข่าวล่ามาทันที” ก็มาจอดอยู่ที่อนุสาวรีย์ทหารอาสา หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนสายเสียงปืนเริ่มดังมากขึ้น ความรุนแรงเพิ่มขึ้น เริ่มมีการลากศพออกมาจากธรรมศาสตร์ไปฝั่งสนามหลวง
ภาพเหตุการณ์ 6 ตุลามหาวิปโยคที่ถูกรายงานผ่านหน้าจอโทรทัศน์ สะกดผู้ชมทั้งประเทศให้หยุดนิ่ง คุณสรรพสิริได้ทำหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชนอย่างกล้าหาญเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว
ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นในวันนี้ คำถามสำคัญก็คือว่า จะมีโทรทัศน์ฟรีทีวีช่องไหนที่กล้าตัดรายการที่ออกอากาศอยู่เข้าสู่การรายงานสด เราไม่เคยได้รับความจริงท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองผ่านฟรีทีวีอย่างทันท่วงทีเลยใช่หรือไม่
ความสยดสยองของประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงหาใช่เพียงเหตุการณ์ความรุนแรงจากการใช้กำลังเข้าประหัตประหารกันบนท้องถนนเท่านั้น
หากแต่ความน่าสยดสยองกลับอยู่ที่ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้น ผู้ชมส่วนใหญ่ที่ชมฟรีทีวียังคงนั่งดูละครอยู่อย่างสบายใจ เพราะสถานีโทรทัศน์มิได้ทำหน้าที่รายงานข่าวอย่างฉับไวเท่ากับเทคโนโลยี 3G ที่เรียกร้อง
ถ้าการเพิกเฉยต่อความรุนแรงคืออาชญากรรม
เราจะเรียกการเพิกเฉยต่อการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาของสื่อมวลชนว่าอะไร
สถานีโทรทัศน์ยังคงเป็นสื่อมวลชนในเวลานั้น หรือสถานีโทรทัศน์จะลดบทบาทตัวเองไปเป็นเพียงโรงลิเกธรรมดา ที่ทำหน้าที่เสนอละครและโฆษณาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
ทั้งๆ ที่บนท้องถนนเจิ่งนองไปด้วยเลือด
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันไฟ
ทะเลกำลังจะเกิดคลื่นใหญ่
และแผ่นดินไหวกำลังเขย่าประเทศ
การตัดสินใจทำหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรีของคุณสรรพสิริในวันนั้น เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สื่อสารมวลชนของประเทศไทย และเราแทบจะไม่เคยเห็นความกล้าหาญทางจริยธรรมเช่นนั้นอีกแล้วในปัจจุบัน เพราะไม่มีใครกล้าเอาวิชาชีพตัวเองไปเดิมพันเช่นนั้นอีก
เราจึงเห็นสื่อมวลชนทำหน้าที่ได้หลายอย่างในปัจจุบัน ตั้งแต่ประชาสงเคราะห์ ประชาสัมพันธ์ กระทั่งประชานิยม ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อที่สื่อมวลชนจะได้มิต้องทำหน้าที่สำคัญ
นั่นคือการรายงานความจริงให้กับประชาชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความจริงนั้นสุ่มเสี่ยงต่ออนาคตแห่งวิชาชีพและธุรกิจของตน
ในวันนั้น คุณสรรพสิริรู้ทันทีด้วยประสบการณ์ว่า การรายงานข่าวชิ้นดังกล่าวจะส่งผลสะเทือนต่อหน้าที่การงานโดยตรง และความจริงอันโหดร้ายก็เป็นเช่นนั้น คุณสรรพสิริถูกปลดจากทุกตำแหน่งในสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ถูกอายัดทรัพย์สินทั้งหมด ทำให้ครอบครัวลูกเมียต้องเผชิญกับความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ต้องระเห็จไปทำไร่ในต่างจังหวัด และในที่สุดต้องคำพิพากษาให้กลายเป็นบุคคลล้มละลาย
นี่คือต้นทุนแห่งความกล้าหาญที่คุณสรรพสิริยอมจ่ายเพื่อรักษาความถูกต้องของวิชาชีพ นี่คือต้นทุนแห่งความกล้าหาญที่คุณสรรพสิริยอมจ่ายเพื่อให้สื่อมวลชนรุ่นหลังยังคงเชิดหน้าชูตาทำหน้าที่สื่อมวลชนได้อย่างสง่างาม
นี่คือต้นทุนที่คุณสรรพสิริยอมจ่ายเพื่อรักษาความถูกต้องเที่ยงธรรมให้กับประเทศนี้
และถ้าจะมีใครสักคนที่จะยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย
ท่านผู้นั้นก็คือ คุณสรรพสิริ วิรยศิริ โดยแท้
แต่ประเทศไทยจะทำได้แค่เพียงยกย่องคุณสรรพสิริเมื่อท่านจากไปกระนั้นหรือ
หรือเรามีภารกิจร่วมกันในการรังสรรค์สังคมที่มากกว่านั้น
การปล่อยให้คนกล้าต้องจ่ายราคาด้วยชีวิต จะยังมีใครคิดกล้าหาญในแผ่นดินนี้
การเชิดชูคนดีโดยดูจากชื่อเสียงและทรัพย์สิน จะยังมีใครแสวงหาสัจธรรมอื่นใดในชีวิต
ถ้าสังคมเข้มแข็ง ประชาชนตื่นตัว ภาคธุรกิจกล้าหาญ ผู้กล้าอย่างคุณสรรพสิริอาจมิต้องเผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้เหมือนในอดีต
ถ้าการยืนดูอาชญากรรมอย่างนิ่งเงียบคืออาชญากรรม
เราจะเรียกการปล่อยให้คนกล้าต้องประสบเคราะห์กรรมว่าอย่างไร
นี่คือคำถามใหญ่สำหรับประเทศไทย
ประเทศที่ขาดแคลนผู้กล้า เพราะทุกคนรู้แก่ใจว่า การเป็นผู้กล้านั้นจ่ายแพง
หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 2-8 พ.ย. 2555