
KruBen WarHistory
6 hours ago
·
ปอกเปลือกฟาสซิสต์
คำว่า “ฟาสซิสต์” (Fascism) มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคำว่าฟาสเซส fasces ซึ่งหมายถึง “มัดไม้” ที่มักจะมัดรวมกันรอบขวานเหล็ก เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นเอกภาพในจักรวรรดิโรมันโบราณ โดยผู้ถือ ฟาสเซส fasces มักจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายและลงโทษผู้ฝ่าฝืน ซึ่งแสดงถึงอำนาจของรัฐที่รวมศูนย์และการยอมสยบต่ออำนาจสูงสุด สัญลักษณ์นี้ถูกนำมาใช้ใหม่ในศตวรรษที่ 20 โดยกลุ่มการเมืองในอิตาลีที่มีแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งและต่อต้านลัทธิเสรีนิยม เพื่อสื่อถึงพลังของความสามัคคีแห่งชาติและการรวมตัวของประชาชนภายใต้อำนาจเดียว
.
.
เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) เป็นผู้ที่นำคำนี้มาใช้เป็นชื่อพรรคของตน คือ Partito Nazionale Fascista หรือ “พรรคชาตินิยมฟาสซิสต์” ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มุสโสลินีต้องการสื่อว่าการรวมชาติและความแข็งแกร่งของประชาชนสามารถเกิดขึ้นได้จากการยอมรับอำนาจของผู้นำและรัฐที่มีความเด็ดขาด การเลือกใช้คำนี้จึงมีความหมายทางสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งและมีเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน
.
.
นอกจากนี้ ฟาสเซส ยังสื่อถึงแนวคิดของการรวมพลังที่แต่ละส่วนเล็กไม่อาจต้านทานได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วจะเกิดพลังมหาศาล ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของลัทธิฟาสซิสต์ที่มองว่าความเข้มแข็งของรัฐและชาติสำคัญกว่าสิทธิปัจเจกชน แนวคิดนี้จึงมุ่งเน้นการรวมศูนย์อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมให้อยู่ในมือของรัฐและผู้นำเพียงผู้เดียว
.
.
ในช่วงศตวรรษที่ 20 คำว่า ฟาสซิสต์ ได้กลายเป็นคำที่มีนัยทางการเมืองอย่างรุนแรง ไม่เพียงหมายถึงลัทธิการเมืองเฉพาะของอิตาลีเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปใช้เรียกกลุ่มอำนาจนิยมในประเทศอื่นๆ ที่ยึดแนวทางชาตินิยมสุดโต่ง ต่อต้านประชาธิปไตย และนิยมความรุนแรงในการรักษาความสงบของรัฐ
.
.
ปัจจุบันคำว่า ฟาสซิสต์ ยังถูกใช้ในเชิงลบเพื่อโจมตีบุคคลหรือรัฐบาลที่มีลักษณะเผด็จการหรือใช้อำนาจกดขี่ แม้ว่าหลายครั้งอาจไม่เกี่ยวข้องกับแนวคิดดั้งเดิมของลัทธิฟาสซิสต์โดยตรง แต่ความหมายที่ฝังรากลึกในประวัติศาสตร์ได้ทำให้คำนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบและการปฏิเสธเสรีภาพของประชาชน
.
.
ระบอบการปกครองแบบฟาสซิสต์เป็นลัทธิทางการเมืองที่เน้นการรวมศูนย์อำนาจในรัฐและผู้นำ โดยมีลักษณะต่อต้านเสรีประชาธิปไตย ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และต่อต้านเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ ลัทธินี้ถือว่ารัฐมีความสำคัญสูงสุดเหนือปัจเจกชน และประชาชนทุกคนต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติภายใต้การนำของผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาด แนวคิดดังกล่าวปฏิเสธการแบ่งแยกอำนาจและมองว่าการรวมศูนย์อำนาจคือหนทางแห่งความมั่นคง
.
.
นักวิชาการบางคนอธิบายว่าฟาสซิสต์คือการผสมผสานระหว่างแนวคิดชาตินิยมแบบสุดโต่งกับอำนาจนิยมทางการเมือง โดยรัฐมีอำนาจควบคุมทั้งสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เพื่อสร้างเอกภาพและกำจัดความเห็นต่าง ในมุมมองของฟาสซิสต์ “ความแตกต่าง” คือภัยต่อความมั่นคงของชาติ ดังนั้นเสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็นจึงถูกจำกัดอย่างเข้มงวด
ฟาสซิสต์ยังเน้นแนวคิด “ผู้นำสูงสุด” หรือที่ฟาสซิสต์อิตาเลียนจะเรียกผู้นำว่า ดูเช่ (Duce) ซึ่งมุสโสลินีถือว่าตนเองเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่ประชาชนต้องเชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถาม แนวคิดนี้มองว่าผู้นำเป็นตัวแทนของชาติทั้งหมด และการวิจารณ์ผู้นำจึงเท่ากับการทรยศต่อชาติ
.
.
นอกจากนี้ฟาสซิสต์ยังมีองค์ประกอบของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างเข้มข้น โดยใช้สื่อมวลชน ศิลปะ และการศึกษาเพื่อปลูกฝังแนวคิดเรื่องความยิ่งใหญ่ของชาติ การภักดีต่อรัฐ และการเสียสละเพื่อส่วนรวม การปลูกฝังทางวัฒนธรรมจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการคงไว้ซึ่งอำนาจ
.
.
ลัทธิฟาสซิสต์ถือกำเนิดขึ้นในอิตาลีภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ความไม่พอใจของทหารผ่านศึก ความขัดแย้งทางชนชั้น และความหวาดกลัวต่อการปฏิวัติแบบคอมมิวนิสต์ ทำให้ประชาชนบางส่วนหันไปหาขบวนการการเมืองที่เสนอความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ของชาติ มุสโสลินีซึ่งเคยเป็นนักสังคมนิยมได้ปรับแนวคิดของตนเองและก่อตั้งพรรคฟาสซิสต์ขึ้นในปี 1919
.
.
มุสโสลินีใช้กำลังของ “กองกำลังเชิ๊ตดำ” (Blackshirts) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของพรรค เข้าปราบปรามฝ่ายซ้ายและกลุ่มแรงงาน เขาได้รับความสนับสนุนจากชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่หวาดกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์ จนสามารถยึดอำนาจได้ในปี 1922 หลังจากการเดินขบวนที่กรุงโรม (March on Rome) เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีโดยกษัตริย์วิกเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 และเริ่มสร้างระบอบเผด็จการอย่างเป็นระบบ
.
.
หลังจากนั้นมุสโสลินีได้สถาปนารัฐฟาสซิสต์อย่างเต็มรูปแบบ โดยกำจัดฝ่ายค้าน ควบคุมสื่อมวลชน และสร้างระบบองค์กรของรัฐที่แทรกซึมทุกด้านของสังคม แนวคิดฟาสซิสต์ยังถูกเผยแพร่ผ่านการศึกษาและการโฆษณาชวนเชื่อที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้นำว่าเป็น “บิดาแห่งชาติ”
.
.
ความสำเร็จของมุสโสลินีได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับลัทธิฟาสซิสต์ในประเทศอื่น โดยเฉพาะในเยอรมันซึ่งอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้นำแนวคิดนี้มาปรับใช้กับลัทธินาซีที่มีองค์ประกอบของการเหยียดเชื้อชาติและลัทธิต่อต้านยิวอย่างรุนแรง การขยายตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในยุโรปจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
.
.
หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงในปี 1945 ระบอบฟาสซิสต์ในอิตาลีและพันธมิตรทั้งหลายล่มสลาย มุสโสลินีถูกจับและประหารชีวิตโดยฝ่ายต่อต้าน การล่มสลายของลัทธินี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ยุโรปตะวันตกหันกลับมาสู่แนวทางประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
.
.
อย่างไรก็ตาม แนวคิดของฟาสซิสต์ไม่ได้สูญหายไปโดยสิ้นเชิง หลังสงครามยังคงมีขบวนการ “นีโอฟาสซิสต์” (Neo-Fascist) เกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยพยายามฟื้นฟูแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งและอำนาจนิยม แต่โดยทั่วไปถูกต่อต้านจากประชาคมระหว่างประเทศและสังคมส่วนใหญ่
.
.
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 21 นักวิเคราะห์บางคนยังใช้คำว่า “ฟาสซิสต์ใหม่” เพื่ออธิบายการเมืองที่มีลักษณะชาตินิยมรุนแรง การต่อต้านคนต่างชาติ และการรวมศูนย์อำนาจในผู้นำเดียว แม้จะไม่เหมือนฟาสซิสต์ยุคมุสโสลินี แต่ก็สะท้อนความกลัวต่อการกลับมาของแนวคิดอำนาจนิยมในรูปแบบใหม่
.
.
ในความเป็นจริงแล้ว ลัทธิฟาสซิสต์มีรากฐานอยู่บนความเชื่อในเรื่องชาตินิยมสุดโต่ง โดยถือว่าชาติเป็นสิ่งสูงสุดเหนือทุกสิ่ง ทุกคนต้องยอมเสียสละเพื่อความรุ่งเรืองของรัฐ ความเป็นปัจเจกถูกมองว่าเป็นภัยต่อเอกภาพและความมั่นคง แนวคิดนี้ทำให้ฟาสซิสต์ยกย่องการมีระเบียบวินัย ความภักดี และการเชื่อฟังผู้นำโดยปราศจากข้อสงสัย
.
.
อีกหลักสำคัญคือการรวมศูนย์อำนาจในรัฐและผู้นำสูงสุด ฟาสซิสต์ปฏิเสธแนวคิดการแบ่งแยกอำนาจตามหลักประชาธิปไตย แต่เชื่อว่าความมั่นคงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้นำที่เด็ดขาดและมีอำนาจควบคุมทั้งประเทศ โดยผู้นำจะถูกยกให้เป็นตัวแทนของเจตจำนงแห่งชาติ
.
.
ฟาสซิสต์ยังส่งเสริมแนวคิดของสงครามและความรุนแรงว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของชาติ การต่อสู้ถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการหล่อหลอมจิตวิญญาณของประชาชน และเป็นหนทางสู่เกียรติยศของประเทศ จึงไม่น่าแปลกที่ระบอบฟาสซิสต์มักขยายอำนาจด้วยการรุกรานและการพิชิต
.
.
ในด้านเศรษฐกิจ ฟาสซิสต์ไม่ยึดตามแนวทางทุนนิยมหรือคอมมิวนิสต์ แต่เน้นระบบ “corporatism” ซึ่งรัฐควบคุมภาคเศรษฐกิจทั้งหมดโดยให้แต่ละภาคส่วนทำงานร่วมกันภายใต้การกำกับของรัฐ ระบบนี้ถูกออกแบบเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งระหว่างนายทุนกับแรงงาน และสร้างเอกภาพทางเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ของชาติ
.
.
อัตลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของลัทธิฟาสซิสต์คือ “การยกชาติและรัฐให้เป็นสิ่งสูงสุดเหนือปัจเจกบุคคล” แนวคิดนี้มองว่าความสำเร็จของชาติยิ่งใหญ่กว่าความต้องการหรือเสรีภาพของประชาชนแต่ละคน ฟาสซิสต์เชื่อว่าประชาชนทุกคนเป็นเพียง “ฟันเฟือง” ของกลไกรัฐ ที่มีหน้าที่สนับสนุนความมั่นคง ความเป็นเอกภาพ และความรุ่งเรืองของชาติ การคิดต่างหรือการตั้งคำถามต่อรัฐถือเป็นการทรยศต่อผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงเกิดการเน้นความสามัคคีแบบบังคับ และการลดทอนเสรีภาพเพื่อแลกกับความเป็นระเบียบ
.
.
อีกอัตลักษณ์สำคัญคือ “การมีผู้นำสูงสุดที่เด็ดขาดและเป็นสัญลักษณ์ของชาติ” ฟาสซิสต์มองว่าผู้นำเป็นตัวแทนของเจตจำนงแห่งชาติ ผู้ที่มีวิสัยทัศน์และพลังทางจิตใจเหนือคนทั่วไป เช่น มุสโสลินีในอิตาลี หรือฮิตเลอร์ในเยอรมัน ภาพลักษณ์ของผู้นำจึงถูกสร้างขึ้นอย่างศักดิ์สิทธิ์และไร้ข้อผิดพลาด ประชาชนถูกปลูกฝังให้เชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถาม เพื่อให้รัฐสามารถดำเนินนโยบายได้โดยไม่ถูกขัดขวาง อัตลักษณ์นี้ทำให้ฟาสซิสต์มีลักษณะเป็นระบอบบุคคลนิยม (Cult of Personality) อย่างชัดเจน
.
.
ลัทธิฟาสซิสต์ยังมีอัตลักษณ์ด้าน “ความชาตินิยมสุดโต่งและการเชิดชูสงคราม” ฟาสซิสต์เชื่อว่าสงครามเป็นสิ่งที่หล่อหลอมความเข้มแข็งของชาติ และเป็นวิถีธรรมชาติของมนุษย์ การยอมจำนนหรือหลีกเลี่ยงความขัดแย้งถือเป็นความอ่อนแอ การรุกรานประเทศอื่นจึงถูกมองว่าเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของชาติที่แข็งแกร่ง แนวคิดนี้นำไปสู่การขยายอาณาเขตและการก่อสงครามในยุโรปช่วงทศวรรษที่ 1930 และกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของสงครามโลกครั้งที่สอง
.
.
อัตลักษณ์อีกด้านหนึ่งคือ “การควบคุมวัฒนธรรมและความคิดของประชาชน” ฟาสซิสต์ใช้สื่อ ศิลปะ และระบบการศึกษาเป็นเครื่องมือในการปลูกฝังอุดมการณ์ รัฐเป็นผู้กำหนดสิ่งที่ควรเชื่อ ควรพูด และควรทำ ศิลปะในยุคฟาสซิสต์มักยกย่องภาพลักษณ์ของชาติ ความเข้มแข็งของชายชาติทหาร และการเสียสละเพื่อรัฐ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความคิดถูกมองว่าเป็นภัยต่อเอกภาพ การโฆษณาชวนเชื่อจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้าง “จิตสำนึกร่วมแห่งชาติ”
.
.
อัตลักษณ์ที่ขาดไม่ได้คือ “การต่อต้านประชาธิปไตยและเสรีนิยม” ฟาสซิสต์มองว่าระบอบประชาธิปไตยทำให้ชาติอ่อนแอเพราะเปิดโอกาสให้มีความเห็นต่าง การประนีประนอม และการถกเถียง ซึ่งถูกมองว่าเป็นการสิ้นเปลืองเวลาและเป็นภัยต่อความมั่นคง รัฐฟาสซิสต์จึงปฏิเสธระบบพรรคการเมือง การเลือกตั้งเสรี และสิทธิมนุษยชนในรูปแบบตะวันตก เพื่อให้การตัดสินใจทั้งหมดอยู่ในมือของผู้นำผู้เดียว อัตลักษณ์นี้สะท้อนถึงแก่นแท้ของฟาสซิสต์ที่มุ่งสร้างรัฐที่มีพลังเด็ดขาดโดยแลกกับอิสรภาพของประชาชนทั้งหมด
.
.
อัตลักษณ์ที่สำคัญซึ่งถูกสร้างโดยฟาสซิสต์อิตาลีภายใต้การนำของเบนิโต มุสโสลินี คือแนวคิด “รัฐคือนิรันดร์ และชาติคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์” มุสโสลินีสร้างภาพลักษณ์ของอิตาลีให้เชื่อมโยงกับความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันโบราณ โดยเน้นความเป็นชาติที่เข้มแข็ง มีระเบียบ และมีผู้นำผู้ยิ่งใหญ่เป็นศูนย์กลาง รัฐฟาสซิสต์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นคืนอำนาจแห่งอดีต มุสโสลินีใช้สถาปัตยกรรมแบบโรมัน การสวนสนามทางทหาร และพิธีกรรมทางการเมือง เพื่อปลูกฝังความภาคภูมิใจในชาติ และให้ประชาชนรู้สึกว่าตนคือส่วนหนึ่งของ “จักรวรรดิใหม่แห่งอิตาลี”
.
.
ในด้านสังคม ฟาสซิสต์อิตาลีได้สร้างอัตลักษณ์ของ “ชายชาติทหาร” (uomo fascista) ซึ่งเป็นแบบอย่างของประชาชนในอุดมคติ บุรุษในระบอบนี้ต้องมีวินัย แข็งแกร่ง เชื่อฟัง และพร้อมเสียสละเพื่อชาติ ผู้หญิงในทางกลับกัน ถูกกำหนดบทบาทให้เป็น “ผู้ให้กำเนิดชาติ” ผ่านการเลี้ยงดูลูกหลานเพื่ออนาคตของรัฐ ฟาสซิสต์อิตาลีจึงสร้างสังคมที่ยึดถือเพศบทบาทแบบเข้มงวดและมองประชาชนเป็นเครื่องมือของอุดมการณ์แห่งชาติ
.
.
ส่วนในเยอรมัน อัตลักษณ์ที่สำคัญที่สุดซึ่งถูกสร้างโดยพรรคนาซีคือแนวคิดเรื่อง “เผ่าพันธุ์อารยันบริสุทธิ์” (pure Aryan race) ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเชื่อว่าชาวเยอรมันเชื้อสายอารยันคือเผ่าพันธุ์สูงส่งที่สุดในโลก และมีหน้าที่นำมนุษยชาติไปสู่ความยิ่งใหญ่ แนวคิดนี้ถูกใช้เพื่อสร้างเอกภาพของชาติผ่านการกีดกันและทำลาย “ศัตรูของชาติ” เช่น ชาวยิว ชาวสลาฟ และกลุ่มคนที่ถูกมองว่า “ไม่บริสุทธิ์” การโฆษณาชวนเชื่อและนโยบายของรัฐถูกออกแบบให้ยกย่องเชื้อชาติอารยันในทุกมิติ ตั้งแต่ศิลปะ กีฬา ไปจนถึงวิทยาศาสตร์
.
.
อัตลักษณ์อีกประการหนึ่งของนาซีเยอรมันคือ “ผู้นำผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งชาติ” หรือ Führerprinzip ที่ยกฮิตเลอร์ขึ้นเป็นศูนย์รวมของเจตจำนงแห่งเยอรมัน ผู้นำไม่ได้เป็นเพียงนักการเมือง แต่ถูกมองว่าเป็นบุคคลเหนือมนุษย์ ผู้มีภารกิจทางจิตวิญญาณในการฟื้นฟูเกียรติของชาติ หลังความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฮิตเลอร์ถูกสร้างภาพให้เป็นผู้กอบกู้เยอรมันจากความอัปยศของสนธิสัญญาแวร์ซาย และเป็น “บิดาแห่งชาติ” ที่ประชาชนต้องภักดีและถวายชีวิตให้โดยไม่ลังเล
.
.
ด้วยเหตุนี้ ทั้งฟาสซิสต์อิตาลีและนาซีเยอรมันต่างสร้างอัตลักษณ์ร่วมคือ “ชาติที่มีความยิ่งใหญ่เหนือปัจเจก” ผ่านพิธีกรรม การโฆษณาชวนเชื่อ และการควบคุมวัฒนธรรมทุกด้าน รัฐทั้งสองใช้ศิลปะ สถาปัตยกรรม และสื่อ เพื่อย้ำความรู้สึกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวและความศักดิ์สิทธิ์ของชาติ ภาพการสวนสนาม การชูสัญลักษณ์มือแบบฟาสซิสต์ และการจัดงานเฉลิมฉลองรัฐ ล้วนมีเป้าหมายเพื่อสร้างสำนึกแห่งชาติที่เหนือตัวตนส่วนบุคคล อัตลักษณ์เหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความภักดีอย่างลึกซึ้งต่อผู้นำและรัฐ ซึ่งท้ายที่สุดนำพายุโรปเข้าสู่สงครามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
.
.
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการควบคุมทางวัฒนธรรมของฟาสซิสต์ได้ทิ้งร่องรอยสำคัญไว้ในประวัติศาสตร์ ทั้งในเชิงศิลปะ สถาปัตยกรรม และแนวคิดเรื่อง “ความเป็นชาติ” ที่ยังคงส่งอิทธิพลต่อการเมืองและสื่อในยุคต่อมา แม้จะอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
.
.
ลัทธิฟาสซิสต์ถูกวิพากษ์อย่างรุนแรงจากนักวิชาการและนักการเมืองทั่วโลก เนื่องจากเป็นระบบที่ปฏิเสธเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งเสรีภาพในการพูด การแสดงความคิดเห็น และสิทธิปัจเจกชน การรวมศูนย์อำนาจในมือผู้นำเพียงคนเดียวเปิดโอกาสให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบและการปราบปรามอย่างกว้างขวาง
.
.
นักปรัชญาและนักสังคมวิทยามองว่าฟาสซิสต์เป็นผลผลิตของความหวาดกลัวและความไม่มั่นคงในสังคม โดยใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือในการควบคุมประชาชน ผ่านการสร้างศัตรูสมมุติ เช่น คอมมิวนิสต์ ชนกลุ่มน้อย หรือชาติอื่น เพื่อรวมความเกลียดชังให้มุ่งไปในทิศทางเดียวกับรัฐ
ในเชิงเศรษฐกิจ ลัทธิฟาสซิสต์ถูกวิจารณ์ว่าขัดขวางกลไกตลาดและสร้างระบบที่อำนวยประโยชน์แก่ชนชั้นนำและรัฐบาลมากกว่าประชาชน ระบบ “corporatism” ที่อ้างว่าเป็นการประสานผลประโยชน์กลับกลายเป็นเครื่องมือในการกดขี่แรงงานและเพิ่มอำนาจรัฐเหนือภาคเอกชน
.
.
นอกจากนี้ ฟาสซิสต์ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นรากฐานของการก่อสงครามและการล้างเผ่าพันธุ์ เนื่องจากแนวคิดที่ยกย่องสงคราม ความรุนแรง และความบริสุทธิ์ของชาติ ทำให้มันกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการรุกรานประเทศอื่นและการทำลายล้างชีวิตมนุษย์อย่างมหาศาลในสงครามโลกครั้งที่สอง
.
.
กล่าวโดยสรุป ลัทธิฟาสซิสต์เป็นดั่งเงามืดที่ถือกำเนิดจากความสิ้นหวังของยุคสมัย มันเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผู้คนเหน็ดเหนื่อยจากความโกลาหลของสงคราม ความยากจน และความสับสนทางอุดมการณ์ ฟาสซิสต์เสนอคำมั่นแห่งความยิ่งใหญ่ ความเป็นหนึ่งเดียว และระเบียบอันเข้มแข็ง ทว่าในความงดงามของถ้อยคำเหล่านั้น กลับซ่อนความโหดร้ายของการปฏิเสธเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ไว้เบื้องหลัง มันคือภาพลวงตาที่ทำให้ผู้คนศรัทธาว่าการก้มหัวต่ออำนาจคือหนทางแห่งความรุ่งเรือง
.
.
และเมื่อเงาแห่งฟาสซิสต์จางหายไปจากซากปรักของสงคราม สิ่งที่หลงเหลือไม่ใช่เพียงบทเรียนทางการเมือง แต่คือเสียงสะอื้นของยุคสมัยที่ตระหนักว่า ไม่มีอุดมการณ์ใดสูงส่งกว่าคุณค่าของชีวิตและเสรีภาพของปัจเจกชน ฟาสซิสต์จึงกลายเป็นอนุสรณ์แห่งความหลงใหลในอำนาจ ที่สอนมนุษย์ให้เข้าใจว่าความยิ่งใหญ่แท้จริงมิได้อยู่ในการบังคับผู้อื่นให้ศรัทธาเหมือนตน แต่อยู่ในการยอมรับความหลากหลายแห่งหัวใจมนุษย์ที่แตกต่างกัน และยังคงเต้นอย่างอิสระในโลกที่เคยถูกพันธนาการด้วยความกลัว
https://www.facebook.com/photo/?fbid=887952380405540&set=a.850442700823175