วันพุธ, ตุลาคม 15, 2568

รัฐบาล-กองทัพ ทำถูกหรือไม่ ปล่อย "กันจอมพลัง" เปิดเสียงผีป่วนกัมพูชา - เรามาถูกทางจริงๆหรือเอาแค่สะใจจนคลั่ง

นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กันจอมพลัง" เปิดปฏิบัติการเผยแพร่ "เสียงหลอน" ต่าง ๆ ในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ช่วงคืนวันที่ 10 - 13 ต.ค. ที่ผ่านมา

รัฐบาล-กองทัพ ทำถูกหรือไม่ ปล่อย "กันจอมพลัง" เปิดเสียงผีป่วนกัมพูชา

เมื่อ 7 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย

ช่วง 4 คืนที่ผ่านมา ปฏิบัติการเปิดเสียงต่าง ๆ อาทิ เสียงผีโหยหวน หมาหอน และเสียงเครื่องบินในพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ที่นำโดย นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กันจอมพลัง" ซึ่งมีผู้ติดตามทางเฟซบุ๊กกว่า 9 ล้านผู้ใช้ ก่อให้เกิดกระแสตอบรับ-คัดค้าน จากหลายฝ่าย

ฝั่งทางการกัมพูชานำเรื่องนี้ร้องเรียนต่อคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team - IOT) และข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ขณะที่ฝ่ายไทยมีเสียงจากนักสิทธิมนุษยชนที่ออกมาแสดงความกังวลว่าการปฏิบัติเช่นนี้อาจเข้าข่ายการทรมานทางจิตวิทยา ตามอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลและกองทัพไม่ได้ออกมาแสดงท่าทีห้ามปรามอย่างชัดเจนต่อปฏิบัติการนี้

ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก แต่ขับเคลื่อนและดำเนินการด้วยอินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงนี้มีนัยอะไร และอาจสร้างบรรทัดฐานอะไรตามมาบ้าง บีบีซีไทยพูดคุยกับหลายฝ่ายเพื่อหาคำตอบในรายงานชิ้นนี้

เหตุใด "อินฟลูฯ" จึงเข้าไปเปิด "เสียงผี" ในพื้นที่เขตกฎอัยการศึกได้ ?

บีบีซีไทยตั้งคำถามนี้ ซึ่งก็เป็นข้อสงสัยที่นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาและอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน

"สิ่งที่ตั้งคำถามไว้นะคะ ก็คือพื้นที่บริเวณนั้นเป็นบริเวณที่ประกาศกฎอัยการศึก แล้วในเมื่อเป็นพื้นที่กฎอัยการศึก ปกติก็จะประกาศเคอร์ฟิวด้วย คือไม่ให้คนนอกเข้าเด็ดขาด... ก็เลยถึงได้ตั้งคำถามค่ะว่าทำไมถึงเข้าไปได้ หรือว่าเป็นการอนุญาตหรืออย่างไร" นางอังคณา ระบุ

ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มองว่าเพราะวิธีการทาง "จิตวิทยา" เช่นนี้ สอดคล้องกับภารกิจของกองทัพที่ต้องการขับไล่ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ที่รุกล้ำไทยเข้ามาพอดี

"มันเป็นการปฏิบัติการแบบที่ว่าเราต้องสนธิกำลังของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกำลังภาครัฐ ภาคประชาชน ร่วมกันที่จะต้องไปเผชิญเหตุ ฉะนั้นตรงนี้มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติการจิตวิทยา มันเป็นไปตามขั้นตอนที่เกิดขึ้นว่า เราเริ่มส่งสัญญาณจะผลักชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ ก็เริ่มต้นตั้งแต่การไปเคลียร์ทุ่นระเบิด... แล้วก็มีการปฏิบัติการจิตวิทยา ซึ่งทางฝ่ายราชการทำอยู่แล้ว อันนี้ฝ่ายภาคประชาชนเข้ามาเสริม" เขากล่าวกับบีบีซีไทย

ย้อนกลับไปในวันที่ 10 ต.ค.ที่อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามเพจเฟซบุ๊กกว่า 9 ล้านผู้ใช้รายนี้ นำรถแห่ 2 คันเข้าพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว ก่อนจะเปิดเสียงดังไปถึงฝั่งกัมพูชาติดต่อกันเป็นเวลา 4 คืนนั้น เขาระบุว่าได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ให้จัดหารถแห่ที่มีคุณสมบัติสำคัญ คือ "เครื่องเสียงดี เปิดได้ทั้งวันทั้งคืน และพร้อมปะทะ" จากการรายงานของสำนักข่าวพีพีทีวี

พล.ท.ภราดร มองว่าปฏิบัติการของกันจอมพลังอาจไม่ถึงขั้น "รู้กัน" กับทหาร แต่เป็นการที่กองทัพเข้าใจอารมณ์ของประชาชนที่นำหน้ากองทัพและรัฐบาลไปแล้ว ซึ่งหากไม่ปล่อยให้ระบายหรือลดความร้อนแรงลดบ้างก็อาจเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างประชาชนสองฝั่งประเทศได้ ในขณะเดียวกันฝ่ายรัฐก็ได้ประโยชน์ในแง่จิตวิทยา เพราะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความสามัคคี ทั้งฝ่ายรัฐและประชาชนเป็นเนื้อเดียวกัน

"มันเป็นตัวแสดงให้เห็นว่าที่เจ้าหน้าที่รัฐของเรากำลังจะปฏิบัติผลักดันคนของฝ่ายกัมพูชาออก ให้กัมพูชาเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้มาทำโดยพลการเลยนะ ของเราทำโดยมีความสามัคคี ประชาชนมาร่วมมือเต็มที่ เพราะพูดง่าย ๆ ว่า พอเจ้าหน้าที่ยันอยู่ข้างหน้ากับทางฝ่ายกัมพูชา กัมพูชาก็จะเห็นข้างหลังว่าประชาชนจะอยู่เต็มไปหมด มันก็เป็นสิ่งบอกเหตุว่าเจ้าหน้าที่ก็บอกยังไงผมก็ต้องปฏิบัติ ที่ขีดว่าไม่เกินสิ้นเดือนนี้ วันที่ 31 ตุลาคม เอาแน่" เขาระบุโดยอ้างถึงกำหนดการที่นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน และชาวบ้านหนองจานกลุ่มหนึ่งขีดเส้นไว้ว่าหากทหารไม่สามารถขับไล่ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำพื้นที่ออกไปได้ กลุ่มของพวกเขาจะดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่เอง

ด้านนายอนาลโย กอสกุล ที่ปรึกษา กมธ. การทหาร สภาผู้แทนราษฎร มองว่าการที่ทั้งรัฐบาลและกองทัพปล่อยให้อินฟลูเอนเซอร์ผู้ใช้ชื่อว่า "กันจอมพลัง" สามารถเข้าไปเปิดปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนได้ ส่วนหนึ่งเพราะต้องการเกาะกระแสความนิยมในตัวอินฟลูเอนเซอร์คนนี้ด้วย และอีกส่วนคือก่อนหน้านี้อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวได้บริจาคสิ่งของต่าง ๆ ให้กับกองทัพจำนวนมาก ซึ่งอาจมีส่วนทำให้กองทัพหรือรัฐบาลไม่ได้ห้ามปรามเมื่อเขาเข้ามาดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ยังพื้นที่ชายแดน

"คือกองทัพได้ของบริจาคมาตั้งเยอะ จากองค์กรหลาย ๆ อย่าง แล้วอย่างที่ 2 ก็คือว่าคุณกันจอมพลังก็ถือเป็นอินฟลูฯ ที่มีชื่อเสียงมาก การเกาะไปกับอินฟลูฯ ที่มีชื่อเสียงระดับนี้ ผมก็รู้สึกว่ากองทัพอาจจะมองว่ามันได้ภาพลักษณ์ที่ดีในแง่ว่า คนไทยมีชื่อเสียงมาช่วยกันปกป้องประเทศไทย ช่วยกันปกป้องสนับสนุนงานของกองทัพ มันก็เป็นภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพ ผมรู้สึกว่าเขาคิดในมุมนั้น เขาเลยปล่อยให้คุณกันจอมพลังเล่นได้เต็มที่" นายอนาลโย วิเคราะห์ให้บีบีซีไทยฟัง

"แต่ว่าคุณกันจอมพลังก็เล่นได้มากกว่าคนอื่นอย่างมีนัยสำคัญ แล้วกองทัพก็ให้การสนับสนุน ให้ทั้งการอนุญาต การอํานวยความสะดวก หรือแม้แต่ให้นั่งรถ ให้นั่งเฮลิคอปเตอร์ คือทำได้ทุกอย่างเลย มันก็เลยดูแปลก ๆ อยู่ ซึ่งผมจะพยายามไม่สงสัยเจตนาของใคร มันก็ถือว่าทุกคนอยากจะช่วย แต่การช่วยแบบนี้มันควรจะมีขอบเขตบ้าง" เขาระบุ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ที่รัฐสภาในวันนี้เกี่ยวกับกรณีที่กันจอมพลังเปิดเครื่องเสียงบริเวณชายแดน ว่ากองทัพเป็นผู้อนุญาตหรือไม่ แต่ พล.อ.ณัฐพล ไม่ตอบ และให้ผู้สื่อข่าวไปถามแม่ทัพภาคที่ 1 แทน

ท่าทีทางการไทย-กัมพูชา ต่อการเปิด "เสียงผี" ของกันจอมพลัง

ย้อนไปวันที่ 11 ต.ค. สำนักข่าวเฟรชนิวส์ของกัมพูชารายงานว่ากระทรวงกลาโหมของกัมพูชาได้ประสานงานกับคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ลงพื้นที่หมู่บ้านโจกเจยและหมู่บ้านเปรยจัน จ.บันเตียเมียนเจย ของกัมพูชา เพื่อสังเกตการณ์และตรวจสอบกรณีการใช้เครื่องขยายเสียงจากฝั่งไทยเปิดเสียงโหยหวนรบกวนพลเมืองชาวกัมพูชา

ในวันเดียวกัน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (Cambodia Human Rights Commitee - CHRC) ส่งหนังสือถึงนายโวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ขอให้ตรวจสอบและให้ไทยยุติการคุกคามทางจิตใจทุกรูปแบบต่อพลเรือนชาวกัมพูชา โดยเฉพาะการเปิดเสียงรบกวนในยามวิกาล โดยระบุว่าเป็นการละเมิดเจตนารมณ์ของข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทย ฉบับวันที่ 28 ก.ค. 2568, บันทึกข้อตกลง 13 ข้อจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2568 และตราสารสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายฉบับ

บีบีซีไทยสังเกตว่าในจดหมายฉบับดังกล่าว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ระบุว่าผู้ที่เปิดเสียงดังรบกวนพลเรือนชาวกัมพูชาในยามวิกาลนั้นคือ "หน่วยงานของกองทัพไทย" (units of the Royal Thai Armed Forces)

นายอนาลโยให้ความเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทางการกัมพูชาจะคิดว่าปฏิบัติการนี้มาจากหน่วยงานในกองทัพเอง เพราะจากการวางตัวในการลงพื้นที่ของนายกัณฐัศว์ หรือ กันจอมพลัง อาจสร้างความเข้าใจได้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ

"ถ้าเราสังเกตคุณกันจอมพลังโพสต์เนี่ย คุณกันจอมพลังเดินกับทหารประหนึ่งว่าเป็นผู้บังคับบัญชาทหารแถวนั้นมาโดยตลอด ดังนั้นหากผมอยู่อีกฝั่งหนึ่งผมก็อ้างว่าผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขามาด้วยจิตอาสาหรือว่ากองทัพใช้ เพราะว่าสุดท้ายพื้นที่แบบนั้นมันไม่มีใครเข้าได้นอกจากทหารนะ ถ้าทหารยอมให้คุณกันจอมพลังเข้า เขาก็มองได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ" นายอนาลโยระบุกับบีบีซีไทย


ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก "กันจอมพลัง" ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ก.ย. แสดงให้เห็นนายกัณฐัศว์กับทีมงานของเขาเดินสำรวจพื้นที่พร้อมกับเจ้าหน้าที่ทหาร โดยเขาระบุเป็นการลงพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว

ขณะที่ท่าทีจากฝ่ายการเมือง วันนี้ (14 ต.ค.) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้โดยระบุว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีโดยตรงในการบริหารจัดการให้ทุกความช่วยเหลือมีแต่การยกระดับทำให้ประเทศไทยเข้มแข็งขึ้น ไม่ทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำหรือเสียเปรียบในเวทีโลก

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีดังกล่าวจะทำให้การต่างประเทศของไทยเดินหน้ายากขึ้นหรือไม่ ผู้นำฝ่ายค้านบอกว่าต้องถามไปยังนายกรัฐมนตรีหรือนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

เขาให้เหตุผลว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อัยการศึก ซึ่งการที่รัฐบาลปล่อยให้มีการดำเนินการแบบนี้ แม้จะเป็นการดำเนินการที่มีเจตนาดี ก็อาจถือว่าหน่วยงานภาครัฐไทยให้การสนับสนุนการดำเนินการเช่นนี้ ทั้งที่อาจจะละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศหรือทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในเวทีการต่างประเทศหรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศต้องตอบให้ชัด

ก่อนหน้านี้ (12 ต.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวโดยระบุว่า คนไทยทุกคนไม่มีใครชอบที่มีคนรุกรานอธิปไตย พร้อมกล่าวชมนายกัณฐัศว์ว่าเขาเคยเห็นว่าสามารถระดมความช่วยเหลือได้ ในระดับที่มากกว่ารัฐบาลด้วยซ้ำ

"คุณกันจอมพลังเวลาเขาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เราก็ต้องยอมใจเขานะ ตอนที่ผมเป็นฝ่ายค้านอยู่แล้วก็มีเหตุที่ต้องอพยพชาวบ้านตั้ง 3-4 จังหวัด... ผมเจอแต่รถกันจอมพลังทั้งนั้นจนผมตกใจว่า โอ้โห คน ๆ เดียวทำไมถึงระดมความช่วยเหลือได้มาก เผลอ ๆ ต้องบอกว่ามากกว่ารัฐอีกนะ" นายอนุทินระบุ พร้อมบอกว่าตอนนี้เมื่อเขาเป็นรัฐบาลแล้ว ความช่วยเหลือแรกต้องมาจากรัฐบาล และ "คนที่ดี ๆ อย่างคุณกันจอมพลังมาเสริม"

และเมื่อเขาถูกถามประเด็นนี้ซ้ำอีกครั้งในวันนี้ถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาระบุว่าการเปิดเสียงรบกวนเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง นายอนุทินกล่าวว่า "ระเบิดที่เข้ามา จรวดที่ยิงเข้ามาในไทยจากฝั่งกัมพูชา ก็เป็นการทำอันตรายกับประชาชนคนไทย โดรนที่บินเข้ามาในเขตไทย นายกฯ ไทยก็มองว่าเป็นสิ่งที่ละเมิดอธิปไตยเช่นกัน"

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตอบชัดว่าคำพูดของเขาหมายความว่ารัฐบาล "ไฟเขียว" ให้นายกัณฐัศว์ปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนดังกล่าวหรือไม่ โดยระบุว่า "ทุกคนต้องทำตามกฎหมาย"

ขณะที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยในวันนี้ (14 ต.ค.) ว่าเขา "ไม่ได้กังวล" กรณีที่ทางการกัมพูชาร้องนานาชาติว่าไทยฉายภาพยนตร์ และเปิดเสียงหลอนในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยบอกว่าเขากังวลใน 4-5 ประเด็นที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า ขณะนี้ขอมุ่งเรื่องการเจรจากับทางกัมพูชาก่อน ซึ่งการเจรจาก็กำลังเดินหน้า

ไทยทำถูกหรือไม่ ปล่อยอินฟลูฯ เปิดเสียงป่วนกัมพูชา ?

จากมุมมองผู้ที่เคยทำงานในฝ่ายความมั่นคงอย่าง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร มองว่าเป็นความ "ชอบธรรม" ของไทยแล้วในการใช้วิธีการทางจิตวิทยาเช่นนี้เพื่อตอบโต้การที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาก่อน ซึ่งเขามองว่าฝ่ายราชการทำถูกต้องแล้ว และทำให้ประเทศ "ได้มากกว่าเสีย"

"แน่นอนฝ่ายปฏิบัติการทางนี้ กระทรวงต่างประเทศก็ต้องอธิบายถึงความชอบธรรม เหตุผลความจำเป็นที่เกิดขึ้นตรงนี้ว่า ที่คุณคิดว่าเป็นการยั่วยุ มันไม่ใช่ มันยังอยู่ในขอบเขต อยู่ในวิสัยที่เรากระทำได้ เพราะอยู่ในราชอาณาจักรไทย 100 เปอร์เซ็นต์นะครับ แล้วก็เป็นการที่ปลดปล่อยให้พี่น้องประชาชน [ที่]เจ้าหน้าที่รัฐจะไปห้ามประชาชนที่มีความร้อนแรงตรงนี้ไม่ได้" อดีตเลขาธิการ สมช. อธิบายกับบีบีซีไทย

"ถ้าเกิดไปห้าม แทนที่จะคลี่คลาย ทำให้ดูดี ให้ไม่ไปยั่วยุ ที่ไหนได้ การยั่วยุอาจจะหนักขึ้นกว่าเดิมเลย เพราะว่ากลายเป็นประชาชนแซงหน้าฝ่ายผู้บังคับใช้กฎหมายไปแล้ว ไปเผชิญหน้ากันโดยตรง ฉะนั้นตรงนี้สิ่งที่ฝ่ายราชการทำถูกต้องแล้ว เพื่อปลดปล่อยให้มันเบาลง แล้วก็เป็นระยะเวลาสั้น ๆ แล้วตอนนี้ก็กลับมาปฏิบัติการตามปกติ" เขาระบุ


ทหารไทยเข้าควบคุมพื้นที่ที่ระบุว่าชาวกัมพูชาได้รุกล้ำดินแดนเข้ามา บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ทางการไทยกำหนดเส้นตายให้ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่

ขณะที่นางอังคณา นีละไพจิตร มองว่าปฏิบัติการเช่นนี้นั้นควรเป็นกองทัพกระทำเองมากกว่าจะมาจากอินฟลูเอนเซอร์ โดยควรคำนึงถึงหลักสากล ทั้งในเรื่องระดับเสียงที่ใช้และไม่เปิดในยามวิกาล

"หนึ่งก็คือถ้ากองทัพอยากจะทำ กองทัพก็ทำเองนะคะ เช่น ถ้าเปิดเสียงก็ต้องคำนึงถึงว่าเรามีมาตรฐานสากล ที่ระบุว่าจะเปิดเสียงได้ไม่เกินกี่เดซิเบล เป็นมาตรฐาน WHO เพราะฉะนั้นตรงนี้สมมุติกองทัพอยากจะใช้วิธีการนี้กดดัน กองทัพก็ต้องเคารพตามหลักสากล" เธอกล่าวกับบีบีซีไทย

นอกจากนี้ เธอยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าวิธีการเช่นนี้ที่ไม่มีใครตอบได้ว่าจะได้ผลในการขับไล่ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่หรือไม่ ส่งผลให้ไทยอาจต้องตอบข้อซักถามของต่างประเทศ เช่นกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาส่งหนังสือร้องเรียนไปที่ข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติ และสุดท้ายแล้วปัญหาต้องจบที่โต๊ะพูดคุยเจรจาอยู่ดี

"สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยให้ความสำคัญต่อเนื่องมาโดยตลอดก็คือการเจรจาแบบทวิภาคี ซึ่งตอนนี้กำลังดำเนินอยู่ การที่จะพิสูจน์ว่าพื้นที่ตรงไหนเป็นพื้นที่ของไทยหรือของกัมพูชา แล้วก็จะได้มีการดำเนินการปักปันเขต เท่าที่ทราบก็น่าจะมีหลักเกณฑ์เดิมอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อก็คือการดำเนินการตามวิธีทางทางการทูต" นางอังคณาระบุ

ด้านนายอนาลโย กอสกุล มองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้ส่งผลเสียกับฝ่ายไทยขนาดนั้น แต่เขามองว่าเป็นสิ่งที่ "ไม่ได้ประโยชน์อะไร"

"[ต่อให้]ขึ้นไปถึงยูเอ็น ผมก็เชื่อว่ายูเอ็นดูไป เขาก็คงเห็นว่าตลกดี เราอาจจะไม่ต้องไปชี้แจงด้วยซ้ำ มันคงไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เพียงแต่มันฉายภาพที่ว่า กองทัพให้อินฟลูเอนเซอร์ควบคุมปฏิบัติการทางทหารในระดับหนึ่งด้วยซ้ำ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน" เขาวิเคราะห์

ที่ปรึกษา กมธ. การทหารฯ รายนี้ มองว่าการเปิดเสียงทางลำโพงเช่นนี้เป็นหนึ่งในปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่หลายประเทศก็ใช้เป็นปกติ เพียงแต่เนื้อหาที่เปิดควรจะมีวัตถุประสงค์ให้ได้ประโยชน์อะไรบางอย่าง

"ผมยังหาคําตอบหรือคุณประโยชน์ของการเปิดเสียงผีในบ้านหนองจานไม่ได้ นอกจากความสนุกหรือความสะใจ ซึ่งโดยทฤษฎีและในทางปฏิบัติด้วยซ้ำ การปฏิบัติการทหารมันไม่ควรจะเอาความสนุกหรือความสะใจเข้าว่า" เขาระบุ

"ถ้าเกิดจะมองกลาง ๆ ก็คือว่าวันที่ 2 ที่เขาเปิดสารคดี แคมป์ 511 อันนั้นน่ะ ผมรู้สึกว่ามันจะได้ประโยชน์มากกว่าเยอะ ซึ่งผมก็รู้สึกว่ากองทัพอาจจะชะล่าใจแล้วก็เล่นกับกันจอมพลังมากเกินไป จนลืมมองประโยชน์ที่มันจะได้รับ แล้วพอมันถูกวิจารณ์มันก็กลายเป็นว่ากองทัพก็โดนไปด้วย" นายอนาลโยกล่าว

เขายังให้ความเห็นถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่ไม่ได้ห้ามปราม ทั้งยังชื่นชมอินฟลูเอนเซอร์รายนี้ว่าเป็นการเล่นกับกระแสฐานเสียงของตัวเอง และทำตามสิ่งที่ตัวเองเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเรื่องชายแดนให้ทหารดูแล

"คุณอนุทินเป็นคนที่อ่านกระแสการเมืองได้ดีที่สุดคนหนึ่งอย่างที่เราเห็นกันนะครับ คุณอนุทินกราฟขาขึ้นมาหลายปีเพราะว่าคุณอนุทินจับจังหวะการเมืองถูกต้อง จับจังหวะสังคมได้อย่างถูกต้องเสมอ" นายอนาลโยระบุ

"ให้วัดกันตรง ๆ เลยก็คือว่า ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ที่เป็นฐานเสียง สนับสนุนคุณกันจอมพลังมากกว่าคัดค้านอยู่แล้ว ทั้งด้วยกระแสชาตินิยม ด้วยความเห็นอกเห็นใจ รวมถึงการสนับสนุนที่คุณกันจอมพลังเคยทำงานด้านสังคมช่วยเหลือนู่นช่วยเหลือนี่มา ถ้าผมเป็นคุณอนุทิน ผมก็จะไม่ขัดคุณกันจอมพลังเพราะ FC เยอะ งั้นผมก็ play along ก็คือว่าก็เล่นไปตามเกมดีกว่า"

"คุณอนุทินก็ไม่ได้เสียอะไรด้วยซ้ำ เพราะสุดท้ายจริง ๆ แล้วคือคุณอนุทินก็ไม่ได้ให้นโยบายอะไรกับชายแดน คุณอนุทินบอกว่าให้ทหารว่าไป ดังนั้น การที่ให้ทหารว่าไป ถ้าคุณอนุทินมาพูดขัดมันก็จะเหมือนกับขัดในสิ่งที่ตัวเองพูดไป" เขาวิเคราะห์

อย่างไรก็ตาม เขามองว่าท่าทีที่ไม่ได้ห้ามปรามปฏิบัติการของกันจอมพลังของทั้งกองทัพและรัฐบาลจะสร้าง "บรรทัดฐาน" ให้อินฟลูเอนเซอร์คนอื่น ๆ เข้ามามีบทบาทในสถานการณ์ความขัดแย้งในอนาคต

"ต่อไปถ้ามีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่ดังพอ ๆ กับคุณกันจอมพลังหรืออาจจะดังกว่าเนี่ย อยากจะเข้ามาทำอย่างนี้บ้าง แล้วถ้ากองทัพไม่ยอมให้เขาเข้ามา มันก็จะเกิดคำถามว่าคุณกันจอมพลังทำไมถึงได้อยู่คนเดียว ทำไมคนนี้ไม่ได้บ้าง เขาก็อยากทำเพื่อชื่อเสียง อาจจะเพื่อสนับสนุนกองทัพ แต่ในอีกมุมหนึ่งของเขาก็เพื่อชื่อเสียงของทุกคนเหมือนกัน" นายอนาลโยกล่าว "มันก็จะกลายเป็นต่อไปกองทัพต้องจัดการอินฟลูเอนเซอร์ แล้วก็ต้องมาเลือกว่าอินฟลูเอนเซอร์ไหนที่ควรจะเข้าได้เข้าไม่ได้ ซึ่งมันก็จะไปกันใหญ่เลย มันจะกลายเป็นว่าต่อไปอาจจะมีฝ่ายอินฟลูเอนเซอร์ที่กองทัพรับรอง หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่กองทัพไม่รับรอง"

"มันอาจจะส่งผลในอนาคตนะ อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้มันส่งผลให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมแล้ว ถ้าเกิดว่าเราให้พลเรือนที่อาจจะไม่ต้องมีความรู้ทางทหารควบคุมปฏิบัติการได้ แปลว่าทุกคนก็ทำได้ แล้วแบบนี้ต่อไปมันจะยากขึ้น แล้วมันอาจจะควบคุมปฏิบัติการ รวมถึงควบคุมผลลัพธ์ของการทำงานในพื้นที่ความมั่นคง ซึ่งเป็นพื้นที่กฎอัยการศึกไม่ได้เลย อันนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวลครับ" ที่ปรึกษา กมธ. การทหารฯ กล่าวสรุป

https://www.bbc.com/thai/articles/cql9v33gnero