วันพุธ, ตุลาคม 15, 2568

​มีเพื่อนบ้านดีกว่ามีศัตรู : ประวิตร โรจนพฤกษ์ นักข่าวไทย เขียนบทความร่วมกับ เลียง เดลักซ์ นักข่าวแนวหน้าชาวเขมร เสนอแผน 5 ขั้นตอนสู่สันติภาพ ส่งสัญญานว่า สื่อไทย–กัมพูชา จะร่วมกันสร้างสะพานความเข้าใจ และมองกันฉันท์เพื่อนบ้านไปข้างหน้า แทนที่จะจมปลักอยู่กับความเกลียดชัง


คัดข่าว
12 hours ago
·
สื่อไทย–กัมพูชาร่วมมือ! ประวิทย์–เลียง เดลักซ์ เรียกร้อง “เปิดด่าน” โจมตีอนุรักษนิยมไทย—ชี้อนุทิน “ประชด” ชาตินิยม หวังมนุษยธรรมนำสันติภาพ
หาดใหญ่, 14 ต.ค. 2568 —
บทความร่วมของ ประวิทย์ โรจนพฤกษ์ นักข่าวอาวุโสจาก Khaosod English และ เลียง เดลักซ์ ผู้สื่อข่าวจาก Thmey Thmey เผยแพร่ผ่าน Cambodianess เมื่อ 13 ตุลาคม สร้างแรงสะเทือนทางการเมืองและสื่อระหว่างไทย–กัมพูชา เมื่อทั้งคู่เรียกร้องให้ “เปิดใจ–เปิดพรมแดน” หลังการปิดด่าน 3 เดือนจากเหตุ “ศึก 5 วัน” (24–28 ก.ค. 2568) ที่คร่าชีวิตทหารทั้งสองฝ่ายรวม 43 นาย และบีบให้พลเรือนกว่าแสนคนต้องอพยพหนีตาย
บทความโจมตี “กลุ่มอนุรักษ์นิยมชาตินิยม” ในไทย ว่าเป็นอุปสรรคต่อสันติภาพ โดยอ้างคำพูดของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 3 ต.ค. ที่กล่าวเชิงประชดว่า “ใครอยากเปิดด่าน ยกมือขึ้น... จะโดนตีตายนะ!” ผู้เขียนตีความว่าเป็นการเหน็บแนมแนวคิด “ชาตินิยมสุดโต่ง” และเสนอให้ทั้งสองประเทศเลือก “มนุษยธรรม” เหนือการแก้แค้น เพื่อฟื้นการค้าชายแดนคลองลึก–ปอยเปต ซึ่งมีมูลค่ากว่า 5.44 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567
อย่างไรก็ตาม ฝั่งไทยตั้งคำถามถึง “ความเป็นกลาง” ของสื่อกัมพูชาแล้วผู้เขียนชาวไทย โดยชี้ว่าบทความนี้ “ไม่ตักเตือนฝ่ายตัวเอง” ต่อเหตุยั่วยุ เช่น การวางทุ่นระเบิด PMN-2 (28 พ.ค.) หรือการใช้ยุทธวิธีเสียงเพลงรบล้างสมอง รวมถึงการยื่นฟ้องไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เมื่อเดือนมิถุนายน (Khmer Times).
ประวิทย์ วิจารณ์วาทกรรม “ปกป้องอธิปไตย” ของกลุ่มอนุรักษนิยมไทยว่าเป็น “กับดักความกลัว” ที่ขัดผลประโยชน์ของชุมชนชายแดน ขณะที่ เลียง เดลักซ์ ยกคำกล่าวของ ฮุน มานี รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า “เราถูกทำร้าย ถูกอับอาย แต่ต้องก้าวไปข้างหน้าเพื่อลูกหลานรุ่นหลัง” เพื่อย้ำถึง “ความกล้าหาญทางศีลธรรม” ในการปรองดอง
บทความยังเสนอแผน 5 ขั้นตอนสู่สันติภาพ:
1. เปิดด่านคลองลึก–ปอยเปตแบบค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้ผู้สังเกตการณ์อาเซียน
2. ปล่อยทหารกัมพูชา 18 นาย ที่ถูกจับระหว่างการปะทะเดือนกรกฎาคม
3. สร้างกลไกความมั่นคงร่วม เช่น ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และช่องทางสื่อสารระหว่างทหาร
4. ผลักดันสันติภาพในเวที ASEAN Summit ที่กัวลาลัมเปอร์ 26 ตุลาคมนี้
5. สร้าง “สวนสันติภาพเขาพระวิหาร” เป็นสัญลักษณ์การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
แต่บทความนี้กลับสร้างแรงกระเพื่อมในโลกออนไลน์ ฝั่งไทย หลายเสียงมองว่าบทความ “เอนเอียงเข้าข้างกัมพูชา” และละเลยการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง เช่น ปัจจัยทางทหารหรือเกมอำนาจภูมิรัฐศาสตร์
นักวิเคราะห์เตือนว่า “แม้บทความจะเรียกร้องสันติภาพ แต่กลับจุดไฟชาตินิยมในไทย—หากกัมพูชาไม่แสดงความจริงใจ Summit อาเซียนอาจล้มเหลว” ที่กำลังจะมีขึ้นก็อาจจะล้มเหลว.
มนุษยธรรมหรือกดดันฝ่ายเดียว?
บทความประวิทย์-เลียง เดลักซ์ ชู “มนุษยธรรม” เพื่อ “เปิดพรมแดน” และฟื้นความหวังชายแดน แต่การโจมตี “อนุรักษ์นิยมไทย” โดยไม่วิจารณ์ “การยั่วยุ” ของกัมพูชา (ทุ่นระเบิด-ฟ้อง ICJ) ทำให้ฝั่งไทยมองว่า “เลือกข้าง”
ASEAN Summit (26 ต.ค.) จะเป็นบททดสอบ—หากไทย-กัมพูชา “เปิดใจ” ได้ สันติภาพอาจเกิด แต่หากกัมพูชายัง “กวักมือ การแทรกแซงและหาเรื่อง”
การปรองดองอาจเป็นแค่ “ฝันกลางวัน”
14 ตุลาคม 2568 : คัดข่าว/หาดใหญ่
ที่มา: Cambodianess , Khaosod English , Thmey Thmey , Khmer Times , Bangkok Post , Prachatai , South China Morning Post , USIP , Xinhua , CSIS , The Diplomat , X .

https://www.facebook.com/cadkhao/posts/1368595601294005
.....


Pravit Rojanaphruk
16 hours ago
·
การเปิดใจและเปิดด่าน: เส้นทางสู่การปรองดองไทย–กัมพูชา
(บทความเขียนร่วมกัน 3 ภาษา ระหว่างนักข่าวไทยและกัมพูชาเพื่อสร้างสะพาน แทนที่จะสร้างกำแพง เพื่อเลือกเป็นเพื่อนบ้าน แทนที่จะเลือกเป็นศัตรู)

​โดย ประวิตร โรจนพฤกษ์ และ เหลียง เดอลุกซ์

​นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล อาจดูเหมือนเข้าข้างกลุ่มชาตินิยมสุดโต่ง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม เขาถามชาวบ้านว่า “ใครอยากให้เปิดด่าน ยกมือขึ้น” ก่อนจะสรุปหลังจากไม่มีใครยกมือว่า พวกสนับสนุนเปิดด่านควรระมัดระวัง เพราะ “เดี๋ยวถูกกระทืบตายนะ!”

แต่ในการเมืองไทย แทบจะไม่มีอะไรที่ตรงไปตรงมาเหมือนที่เห็น

​เบื้องหลังคำถามขวานผ่าซากนั้น อาจมีข้อความที่ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่อาจมุ่งไปที่กลุ่มชาตินิยมสุดโต่ง ซึ่งการแสดงออกที่คับแคบของพวกเขาได้ทำให้ประเทศไทยและกัมพูชาต้องติดอยู่ในวงจรของความขัดแย้ง

คำกล่าวของอนุทิน เมื่อตัดเอาความร้อนแรงที่ผิวเผินออกไป แท้จริงแล้วอาจถูกตีความเป็นการตั้งคำถาม – เป็นการเรียกร้องหาเหตุผลท่ามกลางกระแสชาตินิยมสุดโต่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ผู้คนมากมายมองไม่เห็นถึงต้นทุนที่แท้จริงของความขัดแย้งที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทั้งต่อประเทศไทยและกัมพูชา

​ภายใต้ถ้อยคำเหล่านั้น ดูเหมือนเขาจะส่งสัญญาณว่า ประเทศไทยจะสามารถแบกรับความเสียหายในระยะยาวที่ความขัดแย้งนี้สร้างต่อเศรษฐกิจระหว่างพรมแดน ต่อความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาที่เปราะบาง และต่อความน่าเชื่อถือของอาเซียนในฐานะพลังเพื่อเสถียรภาพของภูมิภาคไปได้อีกนานแค่ไหน?

​ในวันเดียวกันนั้น ที่กัมพูชา รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มานี ได้กล่าวถ้อยคำแห่งความนอบน้อมและความหวังว่า: “เราเจ็บปวด เราอับอาย แต่เราจำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าเพื่อเริ่มการปรองดอง และก้าวไปข้างหน้าเพื่อการอยู่ร่วมกันเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นหลัง” เขากล่าว

​นี่คือข้อความที่ไม่ได้สื่อถึงการยอมแพ้ แต่เป็นความกล้าหาญทางศีลธรรม – เป็นการเรียกร้องให้ก้าวข้ามความอับอายและฟื้นฟูศักดิ์ศรีผ่านการเจรจา

​ความรู้สึกเร่งด่วนเบื้องหลังการเรียกร้องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจกล่าวเกินจริงได้ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ประเทศไทยและกัมพูชาได้เข้าสู่ความขัดแย้งด้วยการใช้กำลังทหาร ในพื้นที่ชายแดนที่ขัดแย้งกันมาอย่างยาวนาน เป็นเวลาห้าวันที่น่าสะพรึงกลัว ทั้งสองฝ่ายได้ยิงปืนและโจมตีทางอากาศเข้าใส่กัน – เป็นการปะทะที่ร้ายแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ ภายในวันที่ 28 กรกฎาคม ภายใต้การไกล่เกลี่ยของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน และด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและจีน ทั้งสองประเทศได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อยุติการนองเลือด

​เส้นทางสายชีวิตกลายเป็นเมืองร้าง

​แต่สันติภาพบนหน้ากระดาษยังไม่ได้มาถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน ข้อตกลงหยุดยิงยังคงเปราะบาง และบรรดาด่านชายแดนยังคงปิดมาเป็นเวลาประมาณสามเดือนแล้ว

​แม้เสียงปืนจะเงียบไป แต่การปิดชายแดนก็ยังคงสร้างความเสียหายเงียบ ๆ ในแบบของมันเอง ในสถานที่อย่าง ตลาดชายแดนบ้านคลองลึก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและการค้าข้ามพรมแดน วันนี้แผงลอยกลับว่างเปล่า พ่อค้าผลไม้ชาวไทยที่เคยขายมังคุดและทุเรียนให้กับพ่อค้าชาวกัมพูชา ตอนนี้กลับนั่งอยู่หลังตะกร้าสินค้าที่ขายไม่ออก ส่วนด้านกัมพูชา ผู้หญิงที่เคยข้ามพรมแดนมาซื้อข้าวและน้ำมันทำอาหารทุกวัน พบว่าตัวเองไ่สามารถข้ามพรมแดน ในขณะที่เงินออมของครอบครัวเหือดหายน้อยลงทุกวันที่ปราศจากการค้าขาย

​ตลาดแห่งนี้ – เส้นทางสายชีวิตที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย – ได้กลายเป็น เมืองร้าง ครอบครัวที่เคยหารายได้เพียงพอส่งลูกไปโรงเรียน ตอนนี้กลับติดอยู่ในวงจรของหนี้สินและความหิวโหย

บรรดา​ผู้ปกครองเริ่มจำนำเครื่องประดับไปขายไปจำนำเพื่อซื้ออาหาร บางคนก็ต้องส่งลูกไปอยู่กับญาติที่ห่างไกลเพื่อหนีความไม่แน่นอน นี่ไม่ใช่โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นโดดเดี่ยว แต่พวกเขาเป็นเหยื่อที่มองไม่เห็นของความขัดแย้งทางการเมืองที่มิได้ปิดแค่ประตู แต่ปิดอนาคตของผู้คนมากมายในทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยและทำงานอยู่ตามแนวชายแดน

​การปิดด่านส่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็กอย่างหนักที่สุด ในชุมชนชายแดนตั้งแต่สระแก้วไปจนถึงบันทายมีชัย ผู้หญิงคือกระดูกสันหลังของการค้า พวกเธอเป็นเจ้าของแผงลอย เป็นคนขนของ เป็นคนแลกเปลี่ยนเงินตรา เป็นคนที่เดินทางข้ามพรมแดนทุกวันเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว

​เมื่อจุดผ่านแดนถูกปิด งานของพวกเธอ – ซึ่งมักเป็นงานนอกระบบ ที่ไม่มีการคุ้มครอง และไม่มั่นคงอยู่แล้ว – ก็อันตรธานหายไป เมื่อขาดรายได้ บางคนถูกบีบให้หันไปเป็นแรงงานที่นอกระบบ หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ ขณะที่เด็ก ๆ ที่ต้องออกจากโรงเรียน ก็มาช่วยครอบครัวหาอาหารแทนการเรียนในห้องเรียน

​ความทุกข์ทรมานเช่นนี้ไม่สามารถวัดได้จากการสูญเสียทางจีดีพี หรือสถิติการค้าจากองค์กรต่างชาติ หากวัดได้จากความหิวโหยของเด็ก ๆ จากความเงียบงันของตลาดที่เคยคึกคัก และจากความวิตกกังวลของครอบครัวที่ต้องแยกจากกันด้วยสาเหตุที่ไม่ควรจะกลายมาเป็นอุปสรรคตั้งแต่แรก เมื่อนโยบายของชาติเข้าตัดขาดความสัมพันธ์ของมนุษย์อย่างไม่เป็นธรรมชาติ ประชาชนทั้งสองประเทศจะสูญเสียมากกว่าแค่การค้า; พวกเขาสูญเสียความไว้วางใจ

​โอกาสในการเปลี่ยนเส้นทาง
​ขณะที่การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์กำลังใกล้เข้ามาในวันที่ 26 ตุลาคม ทั้งไทย และกัมพูชาต่างก็มีโอกาส – และมีความรับผิดชอบ – ที่จะเปลี่ยนเส้นทาง

ข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมเป็นเพียงก้าวแรก การปรองดองต้องการสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น: ความตั้งใจที่จะเริ่มต้นกันใหม่ ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางการทูต แต่เป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ความขัดแย้งได้ฉีกทำลายไป

​ขั้นตอนที่เร็วและเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดที่สุดคือการ เปิดจุดผ่านชายแดนอีกครั้ง โดยเริ่มที่บ้านคลองลึกและจุดคู่ขนานของกัมพูชาที่ปอยเปต การเปิดด่านเป็นระยะภายใต้การบริหารจัดการความปลอดภัยร่วมกันและการสังเกตการณ์ของอาเซียน จะช่วยให้พ่อค้ากลับค้าขายมาได้อย่างปลอดภัย และฟื้นฟูการไหลเวียนของสินค้า ผู้คน และความหวัง

​การเปิดด่านจะช่วยได้มากกว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น – มันจะเป็นการส่งสัญญานบอกชุมชนชายแดนทั้งสองฝั่งว่าชีวิตของพวกเขามีความหมาย ว่าความทุกข์ยากของพวกเขาได้รับการมองเห็น และสันติภาพมีตัวตนที่จับต้องสัมผัสได้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา

​ประเทศไทยสามารถเสริมความปรารถนาดีนี้ได้โดยการ ปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย ที่ยังคงถูกควบคุมตัวในไทยนับตั้งแต่การปะทะในเดือนกรกฎาคม การส่งพวกเขากลับบ้าน จะมีน้ำหนักเชิงสัญลักษณ์อย่างมหาศาล เป็นการแสดงออกที่ยืนยันถึงหลักการแห่งมนุษยธรรมเหนือความเป็นศัตรู ส่วนกัมพูชาเองก็สามารถให้คำมั่นอีกครั้งในการรักษาสัญญาหยุดยิงและจัดการกับข้อกังวลด้านความมั่นคงชายแดนผ่านการเจรจา นี่คือการกระทำเล็ก ๆ แต่มีความหมายที่สามารถเปิดเส้นทางสู่ความไว้วางใจซึ่งกันและกันในที่สุดได้อีกครั้ง

​เพื่อให้สันติภาพคงอยู่ ทั้งสองประเทศควรจัดตั้งกลไกการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอระหว่างหน่วยบัญชาการทางทหารและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ข้อตกลงหยุดยิงที่มาเลเซียเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ถือเป็นจุดเริ่มต้น การขยายไปสู่กรอบการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจที่กว้างขึ้น – โดยมีผู้สังเกตการณ์อาเซียนอำนวยความสะดวกในการเจรจาและระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อป้องกันข้อพิพาท – จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในอนาคต

​ในขณะเดียวกัน อาเซียนเองก็ต้องแสดงบทบาทของตนในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยและผู้ค้ำประกันสันติภาพในภูมิภาค ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาได้ทดสอบหลักการความเป็นศูนย์กลางของกลุ่ม – แนวคิดที่ว่าอาเซียนควรเป็นผู้นำในการจัดการกิจการของตนเอง

​การปรองดองที่ประสบความสำเร็จจะยืนยันหลักการนี้อีกครั้งในช่วงเวลาที่การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังกำหนดชะตากรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น การประชุมสุดยอดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์จึงต้องทำหน้าที่ไม่เพียงแต่เป็นเวทีสำหรับการทูต แต่เป็นช่วงเวลาแห่งความมุ่งมั่นร่วมกัน – เพื่อพิสูจน์ว่าเอกภาพของอาเซียนไม่ได้สร้างขึ้นจากคำขวัญ แต่จากการกระทำ

​แต่ในขณะที่ภาษาทางการทูตเป็นสิ่งที่จำเป็น ภาษาแห่งความเห็นอกเห็นใจต่างหากที่ต้องเป็นประทีปนำทางสู่การปรองดอง สันติภาพจะคงอยู่ก็ต่อเมื่อผู้คนทั้งสองฝ่ายเริ่มมองเห็นกันและกันเป็นเพื่อนบ้าน มิใช่เป็นศัตรู แต่เป็นเพื่อนบ้านที่ผูกพันด้วยความหวัง ความยากลำบาก และอนาคตร่วมกัน

​สันติภาพที่แท้จริงจะมาถึงเมื่อคนไทยและคนกัมพูชาเองได้ทวงคืนสิ่งที่การเมืองและกาทหารได้พรากไปจากพวกเขา – ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

เราจะต้องอาศัยความนอบน้อมเพื่อรับฟังความคับแค้นใจเก่า ๆ และกล้าหาญที่จะให้อภัย มีขันติและความอดทนที่จะเริ่มต้นกันใหม่ สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติที่ผู้คนมีอยู่แล้ว ซึ่งพิสูจน์ได้จากความยืดหยุ่นอย่างเงียบ ๆ ที่พวกเขาได้อดทนต่อความยากลำบากและความสูญเสียที่ผ่านมา

​พรมแดนและการเมืองอาจแบ่งแยกชาติ แต่ไม่สามารถแบ่งแยกความเป็นมนุษย์ร่วมกันได้ เมื่อคนธรรมดาในสองฝ่ายเลือกความเห็นอกเห็นใจเหนือความโกรธแค้น และความเมตตาเหนือความหยิ่งผยอง พวกเขาก็จะกลายเป็นสถาปนิกที่แท้จริงของการปรองดอง – และสำแดงให้ประจักษ์ว่าสันติภาพไม่ได้ถูกกำหนดจากเบื้องบน แต่เติบโตจากรากหญ้า

​การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการศึกษา การเจรจาของเยาวชนข้ามพรมแดน และโครงการริเริ่มด้านการท่องเที่ยวร่วมกัน สามารถช่วยเยียวยาบาดแผลเหล่านี้ได้ – ไม่ใช่ถ้อยคำที่ขาดความรับผิดชอบของกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งบนโซเชียลมีเดียที่กระตุ้นสัญชาตญาณพื้นฐานที่ต่ำสุดของเรา

ความพยายามร่วมกันในการปกป้องสิ่งแวดล้อมตามแนวเทือกเขาพนมดงรักและแม่น้ำโขง สามารถเปลี่ยนพื้นที่ความขัดแย้งในอดีตให้เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือได้

​มีเพื่อนบ้านดีกว่ามีศัตรู
​เราไม่ควรเพียงแค่ถามว่าอีกประเทศผิดอย่างไร แต่ควรไตร่ตรองด้วยว่าสังคมของเราเองได้ล้มเหลวอย่างไรบ้างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา – ทั้งต่อสังคมเราเอง และเพื่อนบ้าน – ในการพยายามแก้ไขความขัดแย้งด้วยจิตใจที่สงบ และเจตนาที่สันติ เราต้องต่อต้านสมมติฐานง่าย ๆ ที่ว่าฝ่ายของเราถูกต้องเสมอไป

​เราเป็นเพื่อนบ้านกัน มิใช่ศัตรู มันดีกว่ามากสำหรับผู้คนของทั้งสองชาติที่จะมี เพื่อนอยู่ข้างบ้านมากกว่ามีศัตรูที่คอยสาปแช่งอยู่ข้างรั้วบ้าน ยิ่งเราปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศของเราตกต่ำลงสู่ความวงจรแห่งเกลียดชังร่วมกันนานยิ่งขึ้นเท่าไหร่ การเยียวยาบาดแผล การสร้างความไว้วางใจใหม่ และการฟื้นฟูสันติภาพที่แท้จริงก็จะยิ่งกระทำยากขึ้นเท่านั้น

​ในขณะที่เราทั้งสองกำลังเขียนข้อความเหล่านี้ กลุ่มชาตินิยมสุดโต่งที่มองการณ์ไกลกำลังโพสต์ข้อความที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังบนโซเชียลมีเดีย ใส่กันและกันอย่างไม่หยุด ราวกับแข่งขันกันว่าใครจะแสดงความโหดร้ายและต่ำตมได้มากกว่ากัน – และเยาะเย้ยชะตารรมอันเลวร้ายของเพื่อนบ้าน พวกเขาละทิ้งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา มันได้กลายเป็นการแข่งขันไปสู่จุดต่ำสุด เป็นการแข่งขันว่าใครจะสูญเสียความเป็นคนได้มากกว่ากัน

​ผู้ที่ยังไม่ถูกครอบงำด้วยความคลั่งไคล้ในชาตินิยมแบบสุดโต่งมีทางเลือก: คุณอาจเลือกที่จะนิ่งเงียบในขณะที่คนไทยและคนกัมพูชาที่คลั่งชาติ ลากชาติของเราทั้งสองให้จมดิ่งลงสู่ความขัดแย้งและเกลียดชังมากกว่านี้ หรือคุณอาจเลือกที่จะลุกขึ้นมาพูด – และส่งเสียงต่อสาธารณะอย่างชัดเจนว่า เสียงแห่งความเกลียดชังเหล่านี้มิได้เป็นตัวแทนของเรา และเราปฏิเสธสัญชาตญาณต่ำตมเหล่านั้น

​สันติภาพไม่เคยเกิดจากชัยชนะ แต่เกิดจากความเข้าใจ เหตุการณ์ในเดือนกรกฎาคม 2568 ได้ทิ้งบาดแผลที่ไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยความหยิ่งผยอง อคติ หรือการกล่าวโทษกันและกัน แต่เราเลือกที่จะเปิดประตูแทนที่จะสร้างกำแพง เพื่อที่ทั้งสองชาติสามารถเดินผ่านความขัดแย้งไปด้วยกันได้ หากพวกเราเลือกการเจรจามากกว่าการแบ่งแยก

​ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศไทยและกัมพูชาสามารถเปิดประตูสู่การเริ่มต้นใหม่: การเปิดจุดผ่านแดนอีกครั้ง การฟื้นฟูการค้า การรวมครอบครัว และการยืนยันอีกครั้งว่าความเข้มแข็งของชาติต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ที่อาวุธของพวกเขา แต่อยู่ที่ความเต็มใจที่จะสร้างสันติภาพและอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ท่ามกลางความเห็นต่างและข้อพิพาท

​พรมแดนอาจแบ่งแยกสองประเทศ แต่สันติภาพ – เมื่อถูกสร้างขึ้นใหม่ – จะเป็นตัวเชื่อม และสามารถรวมภูมิภาคอาเซียนทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว

ปล. บทความนี้ถอดความจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ และเป็นความพยายามในการสร้างสะพาน แทนที่จะสร้างกำแพง ระหว่างไทย-กัมพูชา

​ประวิตร โรจนพฤกษ์ เป็นนักเขียนอาวุโสที่ข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ Khaosod English News ในกรุงเทพฯ
เหลียง เดอลุกซ์ (Leang Delux) เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาสื่อ Thmey Thmey Media ในกรุงพนมเปญ
#ป #ไทยกัมพูชา
Reopening Hearts and Borders: A Path Toward Thai–Cambodian Reconciliation

By Pravit Rojanaphruk and Leang Delux

(English and Khmer see link below)
https://www.facebook.com/photo?fbid=4359064740988010&set=a.1560000437561135