วันอังคาร, ตุลาคม 07, 2568

6 ตุลาปีนี้ คนเยอะขึ้น วันนี้เยอะจริงขนาดเป็นวันจันทร์ ที่น่าสนใจคือเป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่สูงขึ้นจนมีนัยยะสำคัญ 6 ตุลาไม่ใช่เช็งเม้ง เรามาส่งต่อให้คนรุ่นใหม่


Atukkit Sawangsuk 
13 hours ago
·
6 ตุลาไม่ใช่เช็งเม้ง
เรามาส่งต่อให้คนรุ่นใหม่

iLaw
14 hours ago
·
ช่วงเวลานี้ เรากำลังนับถอยหลังเพื่อมุ่งไปสู่ความท้าทายที่น่าตื่นเต้นที่สุดของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยครับ
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กำลังต้องกความร่วมไม้ร่วมมือ และพลังอันเข้มแข็งจากประชาชนที่เชื่อมั่นว่าอำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ขณะที่ถ้าเราเดินพลาดอีกสักครั้ง หรือถ้าเราไม่ได้จับมือก้าวเดินกันให้มั่นคง อาจจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่อาจย้อนกลับไปเยียวยาได้อีกแล้วนะครับ

ทุกท่านครับ สถานการณ์การเมืองในเดือนตุลาคม 2568 เป็นสภาพที่เราไม่อาจเห็นได้บ่อยนัก

เรามีรัฐบาลเสียงข้างน้อย มีรัฐมนตรีหน้าตาเดิมๆ เรามีฝ่ายค้านที่ใหญ่ และมีฝ่ายค้านที่คอยค้านฝ่ายค้านอีก

เรามีสส. ฝ่ายรัฐบาลที่พร้อมยกมือผ่านกฎหมายที่ฝ่ายค้านเสนอ ส่วนฝ่ายรัฐบาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับ สว.และเหล่าองค์กรที่ไม่ได้เป็นอิสระ

เรามีทั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการตั้งสสร. จากสามพรรคการเมืองใหญ่ รอพิจารณาอยู่ในสัปดาห์หน้า และเราก็มีร่างกฎหมายนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง รอพิจารณาวาระสองและสามอยู่ในสัปดาห์ถัดไป

ทุกท่านครับ ปฏิทินทางการเมืองถูกกำหนดขึ้นชัดแล้วเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ถ้าทุกอย่างเดินตามแผน วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 จะมีการเลือกตั้งใหม่ และมีการทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อนเลย

รัฐบาลใหม่ตั้งเป้าว่า จะทำประชามติสองประเด็น สามคำถาม

ประเด็นที่หนึ่ง เรื่องรัฐธรรมนูญใหม่

คำถามแรกถามว่า ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ... ถ้าถามกันแบบนี้ตรงๆวันนี้ ท่านจะตอบอะไรกันครับ??

คำถามที่สองถามว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับระบบการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และกรอบการร่างตามที่รัฐสภาพิจารณาผ่านมา … อันนี้เรายังไม่เห็น จึงยังตอบไม่ได้

ประเด็นที่สอง เรื่องข้อตกลงกิจการชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อนเลยนะครับ

รัฐบาลใหม่ประกาศว่า เมื่อประชาชนไปเข้าคูหา จะได้บัตรลงคะแนนสี่ใบ

ใบที่หนึ่ง เลือกสส. แบบแบ่งเขต
ใบที่สอง เลือกสส. แบบบัญชีรายชื่อ
ใบที่สาม ถามเรื่องรัฐธรรมนูญ อาจจะมีสองคำถาม หรือสามคำถามก็ได้
ใบที่สี่ ถามเรื่องกิจการชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อนเลย

นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทายมากนะครับ

การเลือกตั้งปี 2569 นั้นสำคัญมาก จะเป็นการเลือกตั้งครั้งที่สามภายใต้รัฐธรรมนูญหนึ่งฉบับ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน และหลังจากสภาชุดนี้ได้สลับสับขั้ว ข้ามไปข้ามมาจนเริ่มงง ว่าตกลงใครยืนอยู่จุดไหน ก่อรูปแบบการเมืองสามก๊กขึ้นมาอย่างชัดเจน และประชาชนกำลังจะได้ตอบคำถามว่า สิ่งที่พรรคการเมืองต่างๆ ตัดสินใจเลือกแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่าภายใต้สภาชุดนี้ จริงๆ แล้วประชาชนรับได้หรือรับไม่ได้กับการตัดสินใจไหนอย่างไร ข้อถกเถียงที่รุนแรงและรุงรังก็กำลังจะได้คำตอบ

การทำประชามติยิ่งสำคัญ เพราะหากเราสามารถเดินหน้าไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โอกาสที่จะยืนยันเสียงของเจ้าของประเทศ โอกาสที่จะออกแบบระบบการเมืองใหม่ โอกาสที่จะสร้างกลไกตรวจสอบอำนาจรัฐขึ้นใหม่ จะเปิดกว้างรออยู่
แต่ถ้าประชามติบอกว่า ไปต่อไม่ได้ ต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไป

… ขออนุญาตไม่พูด เพราะยังคิดไม่ออก … ไม่ค่อยอยากจะคิดถึงมันครับ

.

ลองชวนมองโลกในแง่ดีกันนะครับ

นี่จะเป็นโอกาสที่เราจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แทนที่ฉบับปี 2560 ซึ่งเรารณรงค์เรียกร้องเรื่องนี้กันมานาน หลายยก หลายกิจกรรมเหลือเกิน และโอกาสแบบนี้ไม่เคยมาถึงครับ
นี่จะเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำประชามติ และถามประชาชนหลายเรื่อง หลายคำถาม เพื่อคืนอำนาจให้เจ้าของประเทศได้ตัดสินใจ ว่าจะไปข้างหน้ากันต่ออย่างไร

นี่จะเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 100 ปี นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ประชาธิปไตย ที่เราจะได้เริ่มต้นก้าวไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญ ที่เปิดประตูได้โดยเสียงของประชาชนที่ไปออกเสียงกันโดยตรง จะไม่ใช่การริเริ่มยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหาร ไม่ได้มาจากผู้มีอำนาจต่อรองกันในรัฐสภา

โคตรเท่ห์เลยครับ เป็นเรื่องโคตรจะฝัน ที่จะได้มีชีวิตอยู่ร่วมในจังหวะที่สวยงามแบบนี้

แล้วลองมองโลกในแง่ร้ายกันบ้างนะครับ
การทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ช่วงเวลาก่อนถึงวันออกเสียง พรรคการเมืองก็จะใช้พลังทั้งหมดไปกับการขายนโยบาย ทุ่มเทหาเสียง สื่อมวลชนจะรายงานข่าวการเมือง โดยโฟกัสไปที่พรรคการเมือง การดีเบตว่าที่นายกฯ และกระแสการเลือกตั้ง ไม่แน่ใจว่าจะเหลือพื้นที่มากน้อยเท่าไรในการสื่อสารเรื่องการทำประชามติ และการรณรงค์ไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

การทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลผสมของฝ่ายสืบทอดอำนาจ มีคณะรัฐมนตรีผู้กำหนดรายละเอียดในการทำประชามติ ที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย ตามด้วยพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ​ และพรรคอื่นๆ อีกมากที่เข้าสู่อำนาจได้ด้วยความบิดเบี้ยวของกลไกในรัฐธรรมนูญนี้ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมัน พวกเขาจะคุมเกม คุมอำนาจในกระทรวงมหาดไทย ที่มีอำนาจบังคับบัญชาผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พวกเขาจะคุมอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการที่มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการครูในโรงเรียน พวกเขาจะคุมอำนาจในกระทรวงสาธารณสุข ที่มีอำนาจบังคับบัญชา หมอ พยาบาล สาธาณสุขประจำหมู่บ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย

การทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง โดยมีบัตรสี่ใบ จะเกิดขึ้นโดยการจัดการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต.​ ที่ตอนปี 66 มีบัตรสองใบยังจ่าหน้าซองส่งบัตรผิดเขต ตอนปี 62 มีบัตรใบเดียวยังนับคะแนนและรายงานผลคะแนนผิด โดยกกต. ห้าคนจากเจ็ดคนที่กำลังจะมาใหม่ จะมาโดยการคัดเลือกของสว. สีน้ำเงิน สว. ชุดที่โกงการเลือกเข้ามา เพื่อที่จะมาขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้อีกเช่นกัน

ยังไม่พอครับ การทำประชามติพร้อมเลือกตั้งโดยรัฐบาลนี้ ยังมีความคิดจะเอาเรื่องสนธิสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องปัญหาชายแดน ที่รัฐบาลใหม่ควรจะเข้ามาแก้ไขให้เรียบร้อยได้ภายในเวลาอันสั้น ยกมาเป็นเรื่องที่ต้องให้ประชาชนลงประชามติ ยิ่งจะทำให้ข้อถกเถียงบนโต๊ะกินข้าวของประชาชนกระจัดกระจาย ไปอยู่ที่เรื่องการปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติจาก ... จากอะไรสักอย่างก็ไม่แน่ใจ ... มากกว่าภาพฝันไปสู่วันที่มีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

นี่มองร้ายพอหรือยังครับ
เวลาที่เราลองมองในแง่ร้ายร้าย มักจะมองได้ยาวและเห็นภาพได้ละเอียด กว่าตอนที่มองโลกในแง่ดี ...

.

ทุกท่านครับ ผมเกิดไม่ทันเหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 49 ปีที่แล้ว และเมื่อ 52 ปีที่แล้ว จริงๆ ผมก็เกือบจะไม่ได้เกิดมาเพราะพ่อของผมก็อยู่ที่นี่ในคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2519 แต่ชีวิตผมอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อห้าปีที่แล้วครับ ซึ่งภาพ เรื่องราว ความรู้สึกมันยังสดใหม่ คงไม่ต่างกับที่อาจารย์ธงชัย รู้สึกกับเหตุการณ์ในปี 2519 ได้ชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้น

จากปี 2563 วันที่พวกเราจำนวนมากมายมหาศาลมาชุมนุมกันที่นี่ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ท้องสนามหลวง ในวันที่เราชูสามนิ้ว ทวงอำนาจคืนราษฎร วันนั้นผมตั้งโต๊ะถ่ายเอกสาร ให้คนมาลงชื่อเพื่อเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โจทย์เดียวกันกับวันนี้เป๊ะเลย เราได้มากกว่า 16,000 รายชื่อ พร้อมสำเนาบัตรประชาชน ในเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง เริ่มตั้งโต๊ะก่อนเที่ยงคนก็รีบมาเข้าคิวต่อแถวกันยาว พอจะกลับบ้านใกล้เที่ยงคืนคนก็ยังวิ่งมาขอลงชื่อไม่เคยขาดสาย

ต่อมาปี 2566 ครับ เรารวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอคำถามประชามติ Con for All มีคนจากที่ไหนก็ไม่รู้ปริ้นท์เอกสารไปยืนจากฝนขอรายชื่ออยู่หน้าสถานีรถไฟฟ้าหลายต่อหลายแห่ง แล้วก็มีคนจากไหนไม่รู้ที่เดินผ่านแล้วก็มาช่วยกันลงชื่อ จนเราได้มากกว่า 200,000 รายชื่อภายในเวลาแค่สามวัน นั่นคือวันที่ประชาชนผู้ไร้อำนาจลุกขึ้นมาทำสิ่งที่พอจะทำได้ด้วยสองมือนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภาพและความรู้สึกเหล่านั้นมันยังแจ่มชัดเจนในหัวสมองและหัวใจครับ

ช่วงเวลานั้น มองไปทางไหนก็มีแต่ความรู้สึกอบอุ่นครับ
ออกจากม็อบ จะเดินไปที่ไหน ทำกิจกรรม เปิดโต๊ะ ก็มีแต่คนมาช่วยกันต่อคิวสนับสนุน
รอบตัวมีแต่เพื่อนเต็มไปหมด

“เพื่อน” ที่หมายถึงคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คนที่เงยหน้ามอง “ดวงดาว” ดวงเดียวกัน และพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อบุกตะลุยฟันฝ่าอุปสรรคไปสู่เป้าหมายปลายทางเดียวกัน

แต่ทุกท่านครับ สองปีเศษๆ มานี้ ผมรู้สึกว่า เพื่อนหายไปเยอะเลย

หลายคนติดคุกอยู่ครับ หลายคนไปใช้ชีวิตในต่างประเทศครับ หลายคนตัดสินใจขอพักจากการเมืองที่หนักหนาไปก่อน แล้วเท่าที่ยังเหลือกันอยู่ ซึ่งก็น้อยลงๆ อยู่แล้ว ก็ยังอยู่ในบรรยากาศที่ไม่อาจไว้วางใจกันได้อีกต่อไป

เวลาจะพูดเรื่องการเมืองขึ้นมาสักเรื่องนึง ก็ต้องมองซ้ายมองขวา กลัวว่าถ้าขยับทับเส้นกันไปนิดหน่อย เดี๋ยวก็จะโดนทัวร์ลง แล้วเรื่องที่อยากจะสื่อสารก็จะถูกกลบลบหายไปด้วยคนที่สนใจแต่เรื่องทัวร์ หรือบางวันพูดหนึ่ง ไม่พูดสอง แล้วอีกวันก็พูดสอง ไม่พูดหนึ่ง ทั้งที่มันก็ถูกทั้งหนึ่งทั้งสอง แล้วก็กลับถูกตราหน้ากันว่าเป็นศัตรู ทันทีที่มีบางเรื่องไม่เข้าหู ก็กลายเป็นว่า ที่พูดเช่นนั้นเพราะเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ต้องถูกไล่ด่าไล่สาปแช่งกันเหมือนไม่อยากจะร่วมทางกันอีกต่อไป

นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ท้าทายและยากลำบากที่สุด
แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เราอ่อนแอที่สุด

อย่างไม่เคยคิดว่าจะมาถึงวันแบบนี้ได้

ที่เราอ่อนแอ ไม่ใช่เพราะเราไม่มีความสามารถหรือเพราะเรามีจำนวนน้อย แต่เพราะเราใช้พลังงานมากมายไปกับการด่ากันไปด่ากันมาในระหว่างประชาชน กองเชียร์และพรรคการเมือง แล้วเราก็เหลือพลังงานน้อยลงมาก ที่จะได้เอามาใช้กับการพูดเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ในระบอบประชาธิปไตย เราเห็นไม่เหมือนกันได้ เราคิดต่างกันได้
เราวิพากษ์วิจารณ์กันได้ เราชี้หน้าด่ากันได้
บางวันก็มีเหตุผลนำ บางวันใช้อารมณ์นำ ก็ได้ทั้งนั้น

แต่ผมไม่แน่ใจครับว่า เราเห็นต่างกันขนาดนั้นจริงไหม??

.

สำหรับคนที่เป็นเพื่อนร่วมทางกัน เงยหน้ามองดาวดวงเดียวกัน
บางครั้งเราอาจไม่ได้ชอบพรรคการเมืองเดียวกันครับ ไม่เป็นไร
บางครั้ง อาจมีคนด่าพรรคการเมืองที่เราชื่นชอบ ก็ไม่เป็นไรครับ
บางครั้ง อาจมีคนโยนความผิดทั้งหมด ให้พรรคการเมืองที่เราชื่นชอบ โดยที่คนพูด มันไม่ได้ดูตัวเองเลย ว่ามันดีกว่าเขาตรงไหน ... แต่ก็ไม่เป็นไรนิครับ

พรรคการเมือง และนักการเมือง เป็นเครื่องมือของประชาชนครับ
ในวันที่ต้องการแก้ไขปัญหาบางเรื่องด้วยระบบกลไกของสภา พรรคการเมืองก็จะทำหน้าที่เป็นยานพาหนะ นำความหวังของประชาชนที่ฝากฝังผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปทำให้เกิดขึ้นได้จริงในสภา
�ยานพาหนะ บางทีก็เลี้ยวผิด
ยานพาหนะ บางทีก็วิ่งอ้อม
ยานพาหนะ บางครั้งที่รู้ตัวว่า หลงก็ยังยูเทิร์นได้
มาถึงวันนี้ยานพาหนะ แต่ละลำต่างก็มีบาดแผล ไม่ได้เพอร์เฟก ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง�ในบางวันเราก็แค่จำเป็นต้องเลือกกระโดดขึ้นลำใดลำหนึ่ง อาจจะเป็นลำที่เราลำบากใจน้อยกว่า เพื่อที่ใช้เดินทาง เพราะเราจะเป็นต้องเดินทาง�

ในช่วงเวลาหนึ่ง เราอาจจะลุกขึ้นมาด่ายานพาหนะลำอื่นแบบจะเป็นจะตาย แล้วที่เราลุกขึ้นมาด่ากับคนที่ด่ายานพาหนะที่เราเลือกแบบจะเป็นจะตาย นั่นก็เพราะว่า เราอยากให้ยานพาหนะที่เราเลือกมันพาเราไปถึงเป้าหมายปลายทางได้ เพราะเราอยากจะไปไขว่คว้า “ดวงดาว” ดวงนั้น เราอยากจะเห็นวันที่อำนาจเป็นของประชาชน วันที่ประเทศนี้ไม่ได้ปกครองด้วยอำนาจนอกระบบ วันที่การเมืองทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรอย่างทั่วถึงเป็นธรรม ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันที่พวกเราทุกคนได้อยู่ดีกินดี

คนที่กำลังเลือกนั่งยานพาหนะ คนละลำกันในวันนี้
บางทีก็อาจจะกำลังมองไปหาดาวดวงเดียวกัน
จริงๆ แล้ว เราอาจจะไม่ได้กำลังคิดต่างกันในเป้าหมายปลายทาง ก็เป็นได้

.

ถ้าหากรัฐบาลชุดใหม่รักษาสัญญาตามกรอบเวลาที่ประกาศไว้ เวลาของเราก็กำลังนับถอยหลังครับ
อีกไม่ถึงหกเดือนข้างหน้า เรากำลังจะต้องเผชิญหน้าความท้าทายครั้งสำคัญที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดและอุปสรรคเต็มไปหมด แต่เราอาจจะต้องอ่อนแอลงไปอีกครับ เมื่อมีการเลือกตั้งพร้อมประชามติ พรรคการเมืองต่างๆ ก็จะออกมาหาเสียง และในสนามนี้ก็จะต้องโจมตีกันและกัน

พรรคการเมืองต้องทำหน้าที่ของพวกเขา โดยการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเต็มที่ เพื่อลากพาหนะที่เขาดูแลรับผิดชอบไปให้ได้ไกลที่สุด พรรคการเมืองและคนของพรรคการเมืองจะทะเลาะกันครับ เพราะระบบที่นักการเมืองหลายพรรคมาจากการเลือกตั้ง ออกแบบมาโดยจงใจให้พวกเขาต้องเห็นไม่เหมือนกัน ถึงจะเห็นเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ เป้าหมายปลายทางเดียวกัน ก็ยังต้องทะเลาะกันในส่วนที่เห็นต่างกันแม้จะส่วนน้อย เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขา

แต่สำหรับประชาชนคนที่ยังพอมีดวงดาวระยะไกลที่เหมือนกัน ไม่ได้มีหน้าที่ทะเลาะกันเรื่องพรรคการเมือง

ในวันออกเสียงประชามติ เราจะไม่ต้องเลือกยานพาหนะครับ และเราไม่ต้องมียานพาหนะแล้ว

ในการทำประชามติ จะมีแต่หลักการหนึ่งคน หนึ่งสิทธิ หนึ่งเสียง ที่จะต้องรวมกันเป็นจำนวนให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะฟันฝ่าอุปสรรคแล้วไปให้ถึงดวงดาวเท่านั้น และเมื่อไม่มียานพาหนะใดให้นั่งเพื่อจะเอาเสียงของเราไปส่งให้ถึงเป้าหมาย จึงมีแต่สองมือ สองเท้าของทุกคนเท่านั้นว่าจะร่วมกันเดินไปบนเส้นทางนี้��ในวันที่กระแสเลือกตั้งกำลังพุ่งแรง อาจจะไม่เหลือใครมากนักที่ลุกขึ้นมาบอกว่าจะต้องทำอย่างไรกับบัตรประชามติอีกสองใบ สามคำถาม จะทำอย่างไรไม่ให้บัตรเสีย จะทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าใจข้อมูลได้เต็มที่ก่อนเดินทางเข้าคูหา นี่ไม่ใช่หน้าที่ของยานพาหนะลำเดิมอีกต่อไป

ถ้าก่อนวันทำประชามติ มีข้อมูลเท็จ จงใจนำเสนอออกมาเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญนี้ ผมก็อยากเห็นคนจำนวนมากลุกขึ้นมาช่วยกันตอบโต้กันออกไปในทันทีว่า มันเป็นความเท็จ อย่าให้ใครไปหลงเชื่อ ไม่ได้อยากเห็นการไปมัวโทษกันว่าพรรคไหนกลุ่มไหนทำให้เกิดสิ่งนี้

ถ้าก่อนวันทำประชามติ มีกติกาอันแปลกประหลาดใดๆ ออกมาใช้ เพื่อหวังให้ผู้มีสิทธิเดินทางไปออกเสียงได้น้อย ผมก็อยากเห็นนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานเพื่อไปใช้สิทธิ อยากเห็นคนบ้านเดียวกันชวนกันติดรถกันไป อยากเห็นประชาชนลุกขึ้นมาช่วยเหลือกัน ส่งข่าวสาร ส่งข้อมูลต่อกัน ให้คนได้ไปใช้สิทธิกันให้ได้มากที่สุด

ถ้าก่อนวันทำประชามติ รัฐบาลไม่พยายามให้ความรู้ ให้ข้อมูล ให้เพียงพอต่อการตัดสินใจ หรือให้ข้อมูลได้ไม่เป็นกลาง การสื่อสารข้อมูลนี่แหละที่เป็นพื้นที่และโอกาสที่จะทำได้โดยประชาชนคนธรรมดาทั่วไป�
ถ้าวันทำประชามติ มีบัตรต้องกาหลายใบ มีคูหาต้องหยอดหลายกล่อง และมีคนหลักล้านถูกเกณฑ์กันมาให้ยืนนับคะแนนกันจนฟ้ามืดและแสงอาทิตย์หมดไป ผมก็หวังว่า พลังจากคนธรรมดาจะช่วยกันยกมือถือขึ้นมาส่องแสงไฟ ไปยืนดูการนับคะแนนที่หน้าคูหา ไปอยู่ยืนยันให้ทุกคะแนนถูกนับและถูกรายงานอย่างถูกต้อง ตั้งแต่คะแนนแรก จนยันคะแนนจากบัตรใบสุดท้าย

ถ้าก่อนวันทำประชามติ เรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่มีใครสนใจ
เราก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องใช้สองเท้าออกก้าวเดินไปบนท้องถนน
และป่าวร้องไปด้วยเสียงเท่าที่มีให้ดังที่สุด
เมื่อเราเลือกเส้นทางที่ต้องเดินโดยไม่มียานพาหนะใดๆ ก็หวังว่า จะมียังมี “เพื่อน” อีกมากมายที่มาออกเดินไปด้วยกัน�
โอกาสเดียวที่เราจะได้เห็นภาพฝันอันสวยงามในช่วงชีวิตนี้ หรือในรอบเกือบ 100 ปีนี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราจะหันซ้ายหันขวา แล้วได้เห็นสองมือสองเท้าของประชาชนที่ยังเดินไปด้วยกัน ประชาชนที่หมายถึงคนไม่ใช่พรรค ประชาชนที่ในภาพความทรงจำเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เคยร่วมกันออกแรง ลงไม้ลงมือ ด้วยกันอย่างเต็มที่ ประชาชนที่ในบางวันอาจจะเลือกขึ้นพาหนะลำเดียวกันเพื่อไปให้ถึงบางเป้าหมาย หรือในบางวันอาจจะเลือกขึ้นยานพาหนะคนละลำเพื่อเลือกทางวิ่งคนละเส้นทาง แต่สำหรับการทำประชามติที่จะต้องถามทุกเสียงของประชาชนโดยตรง เราจะต้องเดินเข้าคูหา เพื่อไปกาให้ถูกต้องในช่องเดียวกันนะครับ

.
ทุกท่านครับ ถ้าหากว่าวันนั้นมีประชามติถามแค่กว้างๆ เพียงว่า ท่านเห็นชอบหรือไม่ที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมจะโหวต YES เห็นชอบ ท่านจะโหวตยังไงดีครับ

ถ้ามีประชามติถามว่า เห็นชอบหรือไม่กับระบบการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ที่ให้ประชาชนได้ออกเสียงเลือกตัวแทนไปร่างรัฐธรรมนูญด้วย ผมจะโหวต YES เห็นชอบ ท่านจะโหวตยังไงดีครับ

ถ้ามีประชามติถามว่า เห็นชอบหรือไม่กับระบบการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ให้คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวเป็นผู้เลือก ประชาชนไม่ได้เลือก แต่สว. ชุดนี้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจะได้เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ผมจะโหวต NO ไม่เห็นชอบ ท่านจะโหวตยังไงดีครับ

ในวันที่ 6 ตุลาคม 2569 งานรำลึก 50 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ เราอาจได้มาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองกันได้อย่างไม่ต้องอายพี่ๆ วีรชน เพราะจะเป็นครั้งแรกที่ประชาชน กำลังเดินหน้าเขียนกติกาใหม่ด้วยมือของเราเองจริงๆ ครับ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1219681196872164&set=a.625664036273886