
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร - Veerayooth Kanchoochat
9 hours ago
·
[ จับ 4 สัญญาณ เมื่อภาษีทรัมป์ 19% ส่งผลกับไทยแล้ว ]
.
สหรัฐอเมริกาเริ่มเก็บภาษีสินค้าที่ส่งออกจากไทยในอัตรา 19% หรือที่เรียกกันว่า Reciprocal Tariff ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เมื่อลงมาดูตัวเลขยอดส่งออกของไทยเดือนสิงหาคมที่เพิ่งออกมา เราเห็นสัญญาณที่สำคัญ 4 ข้อ
.
1. แรงสะเทือนของภาษีทรัมป์เริ่มนับหนึ่งแล้ว
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุดของไทย จากยอดส่งออกของทั้งหมดของเราในปี 2567 รวม 10 ล้านล้านบาท คิดเป็นการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ถึง 18% หรือเกือบ 1 ใน 5
โดยปีที่แล้วเราได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ถึง 1.2 ล้านล้านบาท มาชดเชยยอดขาดดุลกับจีนที่เราติดลบ 1.6 ล้านล้านบาท
การส่งออกไปสหรัฐฯ ยังเป็นตัวช่วยดันจีดีพีของเราในปีนี้ เพราะในแต่ละเดือนเติบโตระดับ 14–29% (YoY) มาตลอดครึ่งปีแรก ทำหน้าที่เป็น “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ที่มีพลังขับเคลื่อนแรงกว่าการบริโภคและการลงทุน
แต่แล้วเดือนสิงหาคมก็กลายเป็นจุดเปลี่ยน
จากที่ไทยเคยส่งออกไปสหรัฐฯ เดือนละกว่า 200,000 ล้านบาทมาตลอดช่วงพฤษภาคม–กรกฎาคม พอถึงเดือนสิงหาคมที่เริ่มถูกเก็บภาษีตอบโต้ ตัวเลขส่งออกของเราก็ตกลงมาเหลือแค่ 180,000 ล้านบาท
หากเทียบแบบ YoY ที่วัดจากช่วงเดียวกันในปีก่อน ก็พบว่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ เดือนสิงหาคมมีอัตราการเติบโตเหลือแค่ 0.7% เท่านั้น ลดลงจากที่เคยขยายตัวเกิน 20% มาหลายเดือน
แรงกระแทกจากภาษีทรัมป์ต่อเศรษฐกิจไทย เริ่มนับหนึ่งอย่างเป็นทางการ
.
2. กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังโตได้ แต่ก็ชะลอตัวลงเยอะ
ภายใต้ตัวเลขส่งออกรวมที่เริ่มไม่สดใส ก็ยังมีกลุ่ม “อิเล็กทรอนิกส์” ที่การเติบโตยังเป็นบวกอยู่ แต่ก็มีสัญญาณ “การเติบโตที่ชะลอตัวลง” อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ เราต้องแยกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือสินค้าที่โดนสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้แล้ว เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งแม้จะยังเติบโตได้ 9% แต่ก็ชะลอตัวจากช่วงก่อนที่เคยขยายตัวถึงเดือนละ 26–79%
ส่วนอีกกลุ่มคือ สินค้าที่ยังอยู่ในภาวะ “สุญญากาศ” เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาแนวทางการเก็บภาษี เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่ยอดส่งออกเดือนสิงหาคมของไทยยังขยายตัว 27% แต่ก็นับว่าชะลอตัวจากช่วงก่อนที่เคยขยายตัวสูงระดับ 40–90% ต่อเดือนเช่นกัน
เรียกว่ายังโตกันได้ แต่ค่อยๆ โตต่ำลงเหมือนเศรษฐกิจไทยภาพใหญ่
สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นหัวหอกสำคัญของการส่งออกไทย แค่หม้อแปลงกับอุปกรณ์คอมสองพิกัดนี้ก็นำเงินเข้าไทยปีละ 300,000 ล้านบาทแล้ว
.
3. อัญมณี ปลากระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง ยาง สิ่งทอ เริ่มเจ็บหนัก
กลุ่มที่ต้องติด “ธงแดง” กันจริงจังแล้ว คือกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์ เพราะยอดส่งออกหายไปแบบก้าวกระโดด
สินค้าสำคัญที่ยอดส่งออกเดือนสิงหาคม “วูบ” หายไปราว 1 ใน 3 ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ (–30%) ปลากระป๋อง (–29%)
อีกกลุ่มที่เจ็บรองมาเพราะยอดส่งออกหายไปราว 1 ใน 5 คือ ถุงมือยาง (–24%) เครื่องปรับอากาศ (–23%) ยางรถยนต์ (–23%) อาหารสัตว์เลี้ยง (–19%) และสิ่งทอ (–17%)
ในขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มักเป็นการผลิตโดยบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในไทย กลุ่มอัญมณี อาหารทะเล อาหารสัตว์เลี้ยง ยาง สิ่งทอ ที่เป็นกลุ่มธงแดงนี้จะมีสัดส่วนผู้ประกอบการไทยเป็นหลักและมีการจ้างงานเยอะ
เช่น บริษัทเครื่องประดับ (ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ) จ้างงานรวมกว่า 55,000 คน ส่วนบริษัทสิ่งทอ (ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ) ก็จ้างงานในประเทศถึง 120,000 คน
กลุ่มธงแดงนี้จึงควรเป็น target หลักที่รัฐบาลต้องรีบเดินหน้าเข้าหา
.
4. การส่งออกกลายเป็นตัวฉุดจีดีพีครึ่งปีหลังต่อไปถึงปีหน้า
สัญญาณที่น่ากังวลที่สุดก็คือ แนวโน้มการหดตัวของการส่งออกจะไม่ใช่การค่อยๆ ไหลลงแบบการขับรถลงสะพาน แต่เสี่ยงจะหล่นวูบทันทีและยาวนานเหมือนกับปรากฏการณ์ “ถนนทรุด”
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการส่งออกที่โตสูงลิ่วในช่วงครึ่งปีแรก ไม่ใช่การเติบโตแบบธรรมชาติ ที่ดีมานด์ขยายก่อนแล้วยอดผลิตก็เลยขยายตาม แต่เป็นเพราะบริษัททั้งหลายต่างพากัน “เร่งส่งออก” เอาสินค้าไปสต็อกไว้ที่สหรัฐฯ ให้เยอะที่สุด หนีความไม่แน่นอนก่อนจะโดนเก็บภาษี หรือที่เรียกกันว่า Front-loading
เพราะดีมานด์จริงแต่ละเดือนไม่ได้สูงเท่าปริมาณที่ส่งออกไป
พอเราเร่งใช้แต้มบุญไปล่วงหน้าแล้ว ครึ่งปีหลังและต่อเนื่องไปถึงปี 2569 จึงเสี่ยงที่การส่งออกจะทรุด กลายสภาพจากตัวดึงจีดีพีขึ้นเป็นตัวฉุดลงแทน จนหลายสำนักประมาณการจีดีพีไทยปี 69 ไว้ระดับ 1.5% เท่านั้น
มีแต่ต้องรีบขยับปรับนโยบายรับแรงกระแทกให้เร็วที่สุดเท่านั้น เราจึงสามารถหนีภาวะ worst case ข้างต้นได้
ทั้งนี้ เราสามารถอาศัยกลไกรัฐประสานเอกชนอย่าง Reinvent Thailand ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มนโยบายใหม่ที่ตั้งต้นไว้เมื่อเดือนกันยายน เพื่อเชื่อมภาคธุรกิจ ภาคการเงิน และภาครัฐ เข้าด้วยกัน
สามารถเดินหน้าด้วยเป้าหมายเยียวยา-สนับสนุนกลุ่มผู้ผลิตสินค้าธงแดงได้ทันที
ข้อดีคือ ตอนนี้เราเห็นกลุ่ม “ธงแดง” ที่ได้รับผลกระทบหนักแล้วว่าอยู่ในกลุ่มไหนบ้าง มาตรการเยียวยา–สนับสนุน รวมถึงการหาตลาดส่งออกใหม่ จึงสามารถทำแบบ “พุ่งเป้า” ได้
เพราะการเยียวยาและหาตลาดใหม่ให้ “ปลากระป๋อง” ย่อมไม่เหมือนกับการเยียวยา-หาตลาดใหม่ให้ “อัญมณีเครื่องประดับ” จึงต้องใช้แนวทางคนละแบบ
และจะยิ่งดี หากเราถือโอกาสใช้แรงสะเทือนจากภาษีทรัมป์เป็นจุดเริ่มต้นปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ทั้งด้านการผลิต แรงงาน และเทคโนโลยี ครั้งใหญ่ เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าต้องปรับกันใหม่ทั้งระบบเพื่อเตรียมรับอนาคตที่มีแต่จะผันผวนยิ่งกว่าเดิม
https://www.facebook.com/photo/?fbid=122208712016124432&set=a.122096928734124432