
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
17h ·
หลังเหตุลอบยิงเสธ.แดง ค่ำวันที่ 13 พ.ค. 53 สถานการณ์ตึงเครียดทั้งในที่ชุมนุม และพื้นที่โดยรอบ
กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามครบมือ ปิดล้อมเส้นทางเข้าออกแยกราชประสงค์ทุกจุด ประชาชนถูกยิงเสียชีวิตรายวัน แต่รัฐบาลยังเดินหน้าใช้กระสุนจริง ยิงระยะไกลด้วยปืนติดลำกล้อง
การเจรจาซึ่งเว้นไประยะหนึ่งกลับมาเริ่มต้นอีกครั้ง ในสภาพที่ทุกด้านถูกล้อม ผมต้องหลบออกจากที่ชุมนุมทุกวันช่วงค่ำ และหาทางกลับเข้ามาตอนดึกหลังจบการพูดคุยแต่ละวัน ตั้งแต่ 14 - 16 พ.ค.
ความปลอดภัยยืนยันแค่จะไม่จับกลางทางและกลางวง แต่เรื่องชีวิตคือวัดดวงรายวัน เข้าออกทางไหนต้องให้คนรู้เห็นน้อยที่สุด
15 พ.ค. 53 วันนี้เมื่อ 12 ปีที่แล้ว เลย 4 ทุ่ม ผมออกจากบ้านหลังหนึ่งย่านหัวหมาก หลังพูดคุยกับคุณกอรปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯจบ ทีมงานพานั่งรถไปจุดนัดหมาย มีรถอีกคันรอรับกลับราชประสงค์
สถานการณ์เปลี่ยน …
ทหารตั้งด่านตรวจเข้มรถทุกคัน ทีมเข้ามารอไม่ได้ จะนั่งรถคันเดิมก็เกรงตกเป็นเป้า ผมโทรหาพล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล 1 ขณะนั้น ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพฯ ตามหมายเลขที่ฝ่ายรัฐบาลให้ไว้ หากมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยระหว่างเส้นทาง แจ้งว่ารถคันนี้จะเข้าพื้นที่ทางแยกปทุมวัน
แล้วให้ทีมใช้เส้นทางสุขุมวิท ขับไปเรื่อยๆจนพบแถวแท็กซี่จอดรอผู้โดยสารอยู่ ผมและทีมอีก 3 คน ลงจากรถผลุบเข้าแท็กซี่คันที่จอดในมุมมืด ส่วนรถคันเดิมให้วนไปปทุมวัน
เรากระซิบแท็กซี่ให้ผ่านด่านตรงไปเรื่อยๆ โชเฟอร์ขยับมองผมผ่านกระจก
“ผมไปส่งเองพี่” เขาบอกสั้นๆ
ผมเอามือแตะหมวกที่สวมอยู่ แทนคำตอบรับ
แท็กซี่ผ่านด่านใต้ทางด่วนช้าๆ ทั้งคันเงียบกริบ ทหารก้มหน้าลงมองผ่านๆแล้วโบกให้รถไป ถึงแยกชิดลมทุกอย่างมืดสนิท แท็กซี่หักเลี้ยวขวาจะพาเราเข้าทางประตูน้ำ
บนถนนมืด เงียบ ไฟตึก ไฟทาง ไม่สว่างแม้แต่ดวงเดียว มองไปรอบๆไม่เห็นรถคันอื่น ผมบอกโชเฟอร์ขับไปเรื่อยๆ จนรถหยุดกึกลงกะทันหัน
แสงจุดสีแดง สีเขียว กลุ่มหนึ่ง พุ่งเข้าหาพวกเราในรถจาก 2 ข้างทาง ไม่มีใครแสดงตัว ไม่มีเสียงพูดคุย สถานการณ์ก้ำกึ่งเป็นตาย
ผมบอกให้พรรคพวกที่นั่งเบาะหน้าเปิดประตูรถ ค่อยๆเดินยกมือขึ้นเหนือหัวเข้าหาที่มาของแสงนั้น ครู่เดียวมีคนกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาที่รถ
“พี่เต้น พี่เต้น อยู่ไหนพี่” เสียงร้องถาม
“พี่เองน้อง จะเข้าเวที” ผมส่งคำตอบเพราะประเมินว่าเป็นพวกเรา
“มาเลยพี่ พวกผมนำไป”
เราลงจากแท็กซี่ตรงนั้น นั่งมอเตอร์ไซค์ของพวกเขาลัดเลาะไปโผล่ซอยตรงข้ามบิ๊กซี ถามได้ความว่าคนกลุ่มนี้เห็นรอบทางมืด ห่วงคนข้างในจะโดนบุกโดยไม่รู้ตัวจึงชวนกันมาเฝ้าดูไว้
นอนหมอบกันริมถนน ใครผ่านมาจะส่องแสงรบกวนตรวจสอบ ไม่ชอบมาพากลจะมีม้าเร็วไปแจ้งข่าวข้างใน พวกเขาทำกันเอง ไม่มีใครสั่ง ไม่มีอาวุธ มีแต่หัวใจห่วงพี่น้องหน้าเวที
การต่อสู้ของคนเสื้อแดงมีวีรบุรุษ วีรสตรีนิรนาม จำนวนมาก คิดเอง ทำเอง ตัดสินใจเสียสละเอง ด้วยเหตุผลหลักคือรักห่วงเพื่อนที่ร่วมต่อสู้ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายให้คนที่ส่วนตัวไม่เคยรู้จักกัน
คนเสื้อแดงจึงไม่ใช่เพียงแกนนำ ไม่ใช่แค่มวลชนร่วมชุมนุม ไม่เฉพาะแต่คนใส่เสื้อสีแดงออกมาสู้ แต่หมายรวมถึงคนร่วมศึก ร่วมอุดมการณ์ บางคนไม่เคยมาชุมนุม ไม่เคยมีเสื้อที่เป็นสัญลักษณ์ ไม่มีใครรู้จัก เป็นคนเล็กธรรมดาซึ่งร่วมต่อสู้ตามวิถีที่ทำได้ ร่วมหัวใจไม่เคยไหวหวั่น และยังมีกันและกันเสมอ
ข้อเสนอผมในการเจรจาคือ ให้รัฐบาลสั่งถอนกำลังทุกจุด แล้วผมจะไปชวนพี่น้องมาที่เวที หยุดการเผชิญหน้า หยุดความสูญเสีย แต่ศอฉ.เอาข้อเสนอนี้แถลงกล่าวหาว่าผมเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้ายตัวใหญ่
การฆ่ายังดำเนินต่อไป จนถึงค่ำวันที่ 19 พฤษภาคม
#ยุติธรรมไม่มี12ปีเราไม่ลืม
.....

มนุษย์กรุงเทพฯ
19h ·
“เฌอเป็นเด็กที่แอ็คทีฟและชอบแสดงออก ผมไม่ค่อยได้ห้ามอะไรเขาหรอก แค่ให้คำแนะนำบ้าง เหมือนเป็นการให้คู่มือ ส่วนเขาจะไปทำแบบไหนเป็นอีกเรื่อง เวลาผมไปทำงานอะไรก็มักชวนเขาไปด้วย ตอนทำงานธุรกิจเอกชน ผมพาเขาไปดูฟาร์มหมูฟาร์มไก่ ตอนทำงานรณรงค์ในองค์การระหว่างประเทศ ผมชวนเขาไปทำกิจกรรมด้วย ช่วงมีการชุมนุมของพันธมิตร ผมไปช่วยกลุ่มต่อต้านที่ทักษิณจะเซ็น FTA (เขตการค้าเสรี) ตอนนั้นก็หิ้วเขาไปด้วย พี่ๆ เห็นว่าเฌอหน่วยก้านดี เลยชวนไปเป็นตากล้องถ่ายทอดสดการชุมนุม พอมีการชูเรื่องมาตรา 7 ผมและเอ็นจีโอหลายคนถอยออกมา แต่หลังจากนั้นไม่นาน เฌอก็เข้าไปเป็นการ์ดของพันธมิตร
“เวลาผ่านไปจนมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 2553 ช่วงนั้นผมและเพื่อนๆ น้องๆ อยู่ด้วยกันที่สวนเงินมีมา คอยเก็บข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นผู้สังเกตการณ์โดยไม่ได้ประกาศตัว พอวันที่ 10 เมษายนมีการสลายการชุมนุมแล้วมีคนเสียชีวิต มีคนมาชวนจัดกิจกรรมรำลึกถึงคนตาย ชวนคืนนั้นแล้วจัดวันรุ่งขึ้น ผมก็โทรบอกให้เฌอเอากล้องวีดีโอมาให้หน่อย พร้อมกับชวนมาช่วยงานด้วย เขาก็ตกใจว่า ‘คนในนั้นจะจำได้หรือเปล่า ผมเคยเป็นการ์ดพันธมิตร’ ผมบอกไปว่า ‘ใครจะไปจำได้ อยู่ในม็อบใส่หมวกสกีปิดหน้าปิดตาตลอด' (หัวเราะ) หลายคนที่เจอเฌอก็ประทับใจ มองว่าเด็กคนนี้กระตือรือร้นฉิบหาย
“ถ้าเป็นแนวคิดทางการเมืองแบบซ้ายหรือขวา ตอนนั้นเฌอคงไม่ได้มีอุดมการณ์ไปทางไหน เขาเห็นประชาชนจำนวนมากตื่นตัวทางการเมือง ก็อนุมานไปตามวัยว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ประกอบกับเคยได้ยินแม่เล่าถึงประสบการณ์หนีตายในเหตุการณ์ปี 2535 คล้ายว่าในดีเอ็นเอมีเรื่องนี้อยู่ ช่วงนั้นเขาเรียนปัญญาภิวัฒน์ กำลังฝึกงานที่เซเว่น พอเดือนพฤษภาคม 2553 บรรยากาศเริ่มแรงมากขึ้น เขาเห็นคนไปร่วมชุมนุมเยอะก็ขอไปสังเกตการณ์ ขับมอเตอร์ไซค์ไปเจอรุ่นพี่ในที่ชุมนุมบ้าง บางครั้งก็ไปคนเดียว เข้าไปที่ราชประสงค์สัปดาห์ละ 2-3 วัน อยู่ในนั้นสัก 1-2 ชั่วโมงก็กลับ ชีวิตเป็นแบบนั้นอยู่เกือบเดือน
“15 พฤษภาคม 2553 มีการสลายการชุมนุมแล้วมีคนเสียชีวิต เช้าวันนั้นมีรุ่นน้องที่สนิทกับเฌอก็ได้รับโทรศัพท์ คนโทรมาบอกว่า ‘มีเบอร์นี้อยู่ในโทรศัพท์คนที่ถูกยิง’ พอบอกรูปประพรรณสัณฐาน เขาก็ส่งข้อความมาบอกข่าวกับผม ตอนนั้นผมเปิดเฟซบุ๊กแล้วเห็นภาพคนเสียชีวิตที่ซอยรางน้ำ แต่เป็นภาพที่เห็นไกลๆ เลยยังไม่ได้ดูละเอียด ผมรีบปิดคอม พอหยิบโทรศัพท์มาดูก็เห็นว่าเฌอโทรมาหาเมื่อคืนตอน 23.53 น. (คืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2553) คืนนั้นผมจัดกิจกรรมฉายหนังอยู่ที่สวนเงินมีมา พอโทรไปหาแม่ของเฌอ เขาก็เล่าว่า 'เห็นเฌอบอกจะแวะมาหาพ่อที่สวนเงินมีมา' เขาคงโทรมาบอกว่า ขอแวะที่ไหนก่อน แล้วผมไม่ได้รับสาย แต่สุดท้ายเช้าวันนั้นก็มีคนโทรมาหาผมโดยตรง แล้วบอกว่า ‘โทรศัพท์ของคนที่ถูกยิงเมมไว้ว่า พ่อ'
“พอผมเดินทางไปถึงซอยรางน้ำ ตอนแรกก็เข้าไปไม่ได้ มอเตอร์ไซค์วินบอกว่า 'ข้างในอันตรายนะ ยิงกันน่าดูเลย' ผมบอกว่า ‘ลูกอาจโดนยิงอยู่ข้างใน’ วินคนนั้นก็เสี่ยงขับเข้าไปส่งข้างใน ผมเข้าไปเจอพลเมืองดีคนหนึ่ง เขาถ่ายรูปคนที่ถูกยิงไว้ พอเปิดรูปให้ดู ใช่ คนนั้นคือเฌอ ใช่ทั้งหน้าตาและเครื่องแต่งกาย คนตรงนั้นบอกว่า กู้ภัยน่าจะย้ายศพไปวัดตะพานแล้ว พอผมเดินทางไปวัดตะพาน เขาแนะนำว่าน่าจะอยู่โรงพยาบาลราชวิถี แต่พอไปถึง กู้ภัยบอกว่าไปส่งที่โรงพยาบาลรามา ผมก็ไปที่นั่นต่อ พอบอกชื่อไปว่า ‘สมาพันธ์ ศรีเทพ’ ปรากฏว่าไม่มี ผมต้องกลับมาหากู้ภัยที่ราชวิถีอีกครั้ง เขาแนะนำให้บอกไปว่า ‘ชายไม่ทราบชื่อ’ ผมก็กลับไปบอกเจ้าหน้าที่ที่รามาแบบนั้น ถึงได้ดูแล้วยืนยันตัวตนว่าใช่
“วันรุ่งขึ้นผมโพสต์เฟซบุ๊กว่า 'อโหสิกรรมให้ทหาร' นักกิจกรรมหลายคนไม่พอใจกัน ผมอาจตีความคำนี้ไม่เหมือนคนอื่น มันคือสิ่งที่ทำไปแล้ว ผลเกิดขึ้นแล้ว การอโหสิกรรมคือการตัดความแค้นเพื่อให้ชีวิตของเราไปต่อได้ ส่วนการกระทำนั้นจะทำให้เขาได้เงินเดือนขึ้นเพราะยิงประชาชนตาย หรือต้องเข้าคุกเพราะยิงประชาชนตาย มันก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ ผมไม่สามารถไปควบคุมสิ่งนั้นได้ ตอนนั้นมีนักข่าวมาถามในงานศพ เป็นการถามนำเลยว่า 'คุณพ่ออยากให้ความสูญเสียจบที่เฌอใช่ไหม' ผมตอบไปว่า ‘มันไม่จบหรอกครับ เพราะวันนั้นก็ยังมีคนตายอีกหลายคน' ผมจะไม่พูดเด็ดขาดว่า ‘ขอให้เฌอเป็นศพสุดท้าย’ เพราะข้อเท็จจริงมันเป็นไปไม่ได้ ตราบที่คุณยังใช้ความรุนแรงกันแบบนี้
“คดีของเหตุการณ์ปี 2553 ถูกโอนไปให้ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) แต่ดีเอสไอไม่มีอำนาจยื่นให้ศาลไต่สวนการตาย เขาได้รับมอบหมายให้มาเป็นพนักงานสอบสวนเฉยๆ ผมเคยได้ดูสำนวนทั้งหมดจากเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ ตอนแรกผมนึกว่าจะเป็นการทำงานแบบเขี่ยๆ ไปอย่างนั้น ปรากฏว่าเขาทำละเอียดเลย มีการวัดระยะกระสุนปืนจากจุดที่เฌอโดนยิง แล้วชี้จุดว่าน่าจะมาจากตรงไหน เขาบอกแค่นี้ ไม่ได้บอกว่ากระสุนมาจากใคร แต่ทุกคนก็รู้ว่าจุดนั้นมีทหารตั้งด่านอยู่
“เคยมีตำรวจบอกผมว่า ‘สำนวนของคดีเฌอเสร็จแล้ว กำลังจะโอนกลับมายังท้องที่ (สน.พญาไท) เพื่อยื่นให้ศาลไต่สวนการตาย’ แต่เวลาผ่านไปไม่นาน ประเทศไทยก็เกิดการรัฐประหาร 2557 หลังจากนั้นมีข่าวว่ารัฐจะรื้อฟื้นคดีปี 2553 โดยเฉพาะคดี 6 ศพวัดปทุม มีนายทหารบางคนพยายามวิ่งเต้นให้กลายเป็นคดีที่เข้าสู่สำนวนมุมดำ หมายความว่าหาตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้ ตอนนั้นแม่ของน้องเกด (พะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมปี 2553) ก็มาชวนกันไปประท้วง จนถึงตอนนี้คดีเหล่านั้นก็เงียบไปเลย
“ใครยิงเป็นเรื่องปัจเจก ผมจบเรื่องนั้นไปหลังการอโหสิกรรมแล้ว แต่คุณใช้อาวุธของราชการมายิงประชาชนกลางถนน ความตายของเฌอเลยเป็นเรื่องสาธารณะ แน่นอนว่าเฌอเสียชีวิตก็เป็นเรื่องที่ครอบครัวเสียใจ แต่ความตายแบบนี้คือเรื่องส่วนรวม มันคือเรื่องเดียวกับการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน เป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างอำนาจ ลูกของเราไม่ได้รับความยุติธรรม ทุกวันนี้ก็มีเพื่อนๆ น้องๆ สูญเสียอิสรภาพ ผมคิดตั้งแต่เฌอเสียชีวิตใหม่ๆ เลยว่า ถ้าเรายังไม่ได้แก้ที่โครงสร้างอำนาจ ไม่มีทางหาความยุติธรรมในประเทศนี้ได้หรอก ขนาดคนใหญ่คนโตกว่าเฌอโดนยิงยังไม่เกิดอะไรขึ้นเลย
“เฌอเสียชีวิตตอนอายุ 17 ปี 2 เดือน เวลาสูญเสียคนใกล้ตัว สิ่งที่หลายคนมักคิดคือ ‘ถ้าได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากหน่อยคงดี’ แต่สำหรับเรามันเป็นไปได้ยาก ผมต้องไปทำงาน ส่วนลูกก็ไปเรียน ถึงวันนี้เหตุการณ์นั้นผ่านมา 12 ปีแล้ว ถ้ามีเรื่องที่เสียใจคือ เรามีเวลาได้ใช้ชีวิตด้วยกันไม่มากนัก ถ้าใครที่ยังได้อยู่กับคนที่รัก คุณก็ควรใช้เวลาต่อกันให้มากหน่อยและแคร์กันให้มากหน่อย”

Montakan Beatrix Ransibrahmanakul
13h ·
วันนี้ 15 พฤษภาคม
ครบรอบ 12 ปี เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดกับประชาชนบนถนน
ชาตินี้ไม่มีอภัย ไม่มีร่วมมือร่วมใจเพื่ออะไรทั้งสิ้น ไม่เผาผี ไม่ดูดำดูดี
ไม่มีอะไรทั้งนั้น
…
เช้าวันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2553 สิบสองปีก่อน ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพถ่ายมุมสูงที่เขาเป็นผู้ถ่ายลงมาเองจากห้องพักบนตึกริมถนนย่านราชปรารภ ภาพของประชาชนคนธรรมดาที่นอนระเกะระกะอยู่บนพื้นทางเท้าอันปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์เปรอะเปื้อน
ในภาพต่อๆ มาแสดงให้เห็นการเคลื่อนและถูกเคลื่อนออกไปของทั้งร่างที่ยังมีและไร้ชีวิตเหล่านั้น ท่ามกลางความเสี่ยงที่อาจจะถูกกระสุนซ้ำหรืออาจได้เปลี่ยนสถานะจากผู้เข้ามาช่วยเหลือเป็นเหยื่ออีกคน และอีกคน
ที่สุดแล้วจึงคงไว้แต่ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดเสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงิน-ขาว กับกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะที่ยังคงติดเท้าค้างอยู่อย่างนั้น แม้เจ้าของจะไม่มีวันกลับมาลุกขึ้นยืนและใช้งานมันได้อีกแล้ว เขานอนหงาย ใบหน้าเบี่ยงหันมาทางทิศของกล้อง มีสายน้ำสีเข้มไหลจากใต้ศีรษะของเขานองลงไปบนพื้นซีเมนต์และไหลต่อไปจนจรดขอบทางเท้า คดเคี้ยวยาวเหยียดยิ่งกว่าความสูงของตัวเขาเองเสียอีก
ในชั่วโมงแรกๆ รูปนั้นเป็นเพียงผู้โชคร้าย “ใครก็ไม่รู้” แต่ด้วยรูปร่าง การแต่งตัว และสำคัญที่สุดคือใบหน้าที่หันเข้าหาเลนส์กล้อง ไม่นานนักเพื่อนกลุ่มเล็กๆ ในเฟซบุ๊กก็เริ่มจดจำได้ว่า นั่นคือ สมาพันธ์ หรือ เฌอ เด็กหนุ่มอายุเพียง 17 ปี ลูกชายคนเดียวของ พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ นักกิจกรรม เพื่อนในเฟรนด์ลิสต์และในชีวิตจริง
ระหว่างที่ข่าวร้ายรู้ไปถึงพ่อแม่และทั้งคู่กำลังหาทางจะเข้าไปให้ถึงตัวลูกชาย มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นอยู่แล้วเสี่ยงเข้าไปหามร่างของเฌอเพื่อจะพาออกมาด้วยความหวังว่าจะยังสามารถกู้ชีวิตคืนมาได้ พวกเขาใช้ลำไม้ไผ่ที่มีลักษณะคล้ายบันไดพาดแบบเก่าสอดใต้ร่างเด็กหนุ่มต่างเปลหาม ช่วยกันยกขึ้นข้างละหลายคนแล้วเคลื่อนตัวอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ออกจากพื้นที่เกิดเหตุเพื่อหวังส่งคนเจ็บให้ถึงรถกู้ชีพที่เข้ามาจอดรอรับเหยื่อกระสุนในซอยแยกห่างออกไป
แต่แล้วเมื่อปรากฏว่ารถคันดังกล่าวขนคนเจ็บก่อนหน้าเดินทางออกไปแล้วและคันใหม่ยังมาไม่ถึง เสียงตะโกนเรียกหาเปลหามของชายคนหนึ่งที่ร่วมแบกเฌอออกมาด้วยจึงเต็มไปด้วยความเร่งเร้าเจ็บปวดด้วยกลัวว่าจะไม่ทันเวลา
ความเจ็บปวดทวียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อในที่สุดแล้วทั้งหมดรู้ว่าไม่เหลือสัญญาณชีวิตอยู่ในร่างที่เพิ่งช่วยกันหามออกมานั้นอีกแล้ว ความโกรธแค้นต่อผู้มีอำนาจสั่งการสลายชุมนุมกลั่นออกมาเป็นถ้อยสบถด่าทอ พลางเรียกหาสื่อและช่างภาพที่ตามถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวมาตั้งแต่เริ่มเคลื่อนย้ายให้เข้ามาบันทึกภาพเฌอไว้
นั่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ 12 ปีสังหารประชาชนในวันนี้
ในคลิปยาวต่อเนื่องของบันทึกนั้น มีเสียงบอกกันให้ช่วยปิดตาเฌอ ภาพปรากฏชายคนหนึ่งสนองตอบคำขอ ยื่นมือแตะเปลือกตาทั้งสองของเด็กหนุ่มนิ่งอยู่เป็นครู่จนปิดลงสนิท - - อย่างน้อยที่สุด ณ เวลาที่ถนนกลางกรุงกลายเป็นทุ่งสังหารอันเหี้ยมโหด เขาจะได้หลับลงอย่างสงบเป็นครั้งสุดท้าย ทิ้งสังคมที่ปลูกสร้างอยู่บนความไม่เห็นหัวประชาชนไว้เบื้องหลัง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น 11 เมษายน หนึ่งวันหลังความพยายามสลายการชุมนุม เป็นอีกครั้งที่เฌอตามพ่อแม่ไปร่วมกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การเข้าสลายชุมนุมนั้นก่อให้เกิดทั้งผู้บาดเจ็บและล้มตายจำนวนไม่น้อย “ถ้าไม่มาเห็นก็ไม่รู้หรอก” เขาบอกใครๆ อย่างนั้นหลังจากได้ดูคลิปวิดีโอประกอบคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ “ถ้าอยากรู้ ต้องมาดูว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร” เขายังบอกพ่อกับแม่ว่าสิ่งที่ได้เห็นได้ฟัง มันต่างกันมากกับสิ่งที่ข่าวทีวีกระแสหลักในขณะนั้นพยายามจะบอก
สมาพันธ์ หรือ เฌอ ไม่ได้เป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดง เขาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ตามความคุ้นชินที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมและการเมืองกับพ่อและแม่ พันธ์ศักดิ์และสุมาพร ศรีเทพ มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นั่นทำให้เขามักจะมีคำถามเสมอกับสังคมทันใดที่เห็นความไม่เป็นธรรม
บางคนถามพันธ์ศักดิ์ขณะนั้นว่า “ทำไมถึงอนุญาตให้ลูกออกไป” เขาตอบอย่างจริงใจ “เราไม่ได้อนุญาตให้เขาไป แต่การที่สอนเขามาให้เรียนรู้ ให้เขาได้ร่วมกิจกรรม นั่นคือการอนุญาตโดยที่นึกไม่ถึงว่าความรุนแรงเป็นเรื่องใกล้ตัวขนาดนั้น”
มีบางคนเล่าว่าเฌอแวะเข้ามาดูเหตุการณ์ และมาช่วยวางแนวยางป้องกันกระสุนให้กับประชาชนตั้งแต่คืนวันที่ 14 มีผู้ถูกยิงเสียชีวิตในบริเวณนั้นหลายคนรวมถึงเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพวชิรพยาบาลซึ่งอยู่ในหน้าที่ มีผู้พยายามเข้าไปช่วยก็ถูกยิงเสียชีวิตตามไปด้วย เฌอออกจากพื้นที่ไม่ได้เนื่องมาจากการซุ่มยิงหนาแน่นที่ว่านั้น และในที่สุดเขาเองก็กลายเป็นหนึ่งในเหยื่อกระสุนเมื่อเช้ารุ่งขึ้นมาถึง
มีข้อสันนิษฐานว่า สมาพันธ์ ศรีเทพ น่าจะถูกยิงตั้งแต่ช่วงเช้า เขาต้องนอนอยู่ในกองเลือดตัวเองโดยไม่มีใครกล้าฝ่าคมกระสุนเข้าไปช่วยเหลือจนกระทั่งหมดลมหายใจในราว 8.30-9.00 น.
จากการชันสูตร สมาพันธ์ถูกยิงเข้าที่ด้านหลังศีรษะด้วยกระสุนลูกโดด เนื้อสมองฉีกขาด
คำวินิจฉัยของศาลในการไต่สวนการตายของพลเรือนไล่ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภาคม 2553 มีอย่างน้อย 12 คำวินิจฉัยที่ระบุว่าผู้ตาย “เสียชีวิตจากกระสุนที่มาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการอยู่” ในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 4 คำวินิจฉัยที่ระบุชัดลงไปอีกว่า “เสียชีวิตจากกระสุนของเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่”
จากรายงานของ ศปช. ระหว่างเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรง มีการโฆษณาชวนเชื่อ ให้ข้อมูลที่บิดเบือนทั้งกับการสื่อสารภายในหน่วยงานรัฐ และสื่อมวลชน เช่น การแถลงข่าวของ ศอฉ. ที่ปฏิเสธการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมบริเวณถนนราชปรารภ
ทุกปี พ่อแม่รวมทั้งเพื่อนที่ใกล้ชิดจำนวนหนึ่งจะไปเยี่ยมจุดเกิดเหตุบนทางเท้าใกล้ราชปรารภ 18 เพื่อจุดเทียนรำลึก
ณ ที่นั้นมี ‘หมุดเฌอ’ แผ่นโลหะตัดเท่าขนาดกระเบื้องปูพื้นทางเท้าตรึงไว้แนบแน่น บนแผ่นหมุดมีรูปเหมือนของเขาปรากฏพร้อมข้อความกำกับว่า
“Cher laid down his life here. 15.05.2010 เฌอถูกทหารยิงเสียชีวิตที่นี่”
เมื่อเวลาผ่าน มีบางคำพูดที่ชอบบอกว่า พฤษภา 53 นั้นถ้าไม่ออกจากบ้านก็คงไม่ต้องมาตาย พ่อของเฌอเคยตอบกลับคำกล่าวนั้นว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใครออกมาแล้วถูกยิงตาย แต่มันอยู่ที่ ทำไมประชาชนธรรมดาออกมาแล้วถึงถูกยิงตายกลางถนน”