.jpg)
iLaw
10 hours ago
·
สว. เสียงข้างน้อยยืนยัน สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง-ยึดโยงกับประชาชน
.
หนึ่งในประเด็นหลักของการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 14-15 ตุลาคม 2568 คือ โมเดลผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ถึงแม้จะมี "ของแถม" จากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 ที่ว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง แต่สมาชิกวุฒิสภาเสียงข้างน้อยยังยืนยันว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องมาจากการเลือกตั้งและยึดโยงกับประชาชน
.
นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายว่าในอดีตวันที่ 14 ตุลาคม 2516 วีรชนได้ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย มาถึงวันนี้ เรายังยืนอยู่ที่เดิม เรายังต้องต่อสู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาชนเป็นผู้ร่าง ไม่ใช่ฉบับที่เนติบริกรยัดเยียดให้ใช้ ในวันนี้มีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาทั้งสิ้น 3 ร่างด้วยกัน หากเรายึดมั่นในหลักการ “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน” ก็จะมีเพียงสองร่างเท่านั้นที่เข้ากับหลักการ คือ ร่างของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ที่เปิดทางให้ประชาชนเลือก สสร. เพื่อเข้าสู่การคัดกรองของรัฐสภาในขั้นตอนสุดท้าย
.
“แม้ดิฉันจะมีเจตจำนงให้การเลือกสสร. มาจากประชาชนโดยตรง ไม่ต้องอ้อมกลับมาที่รัฐสภา แต่ก็ไม่มีร่างของพรรคไหนที่กล้าหาญจะยกร่างเช่นนี้ จึงถือว่าร่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนยึดโยงกับประชาชนเท่าที่จะเป็นไปได้ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”
.
แต่ในร่างของพรรคภูมิใจไทยนั้น นันทนาระบุว่า แม้จะเปิดให้ประชาชนสมัครเป็น สสร. แล้วให้รัฐสภาเป็นคนเลือกทั้งหมดนั้น เธอเห็นว่าเป็นร่างที่ประเมินประชาชน “ต่ำมาก” ไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมใดๆ ทุกอย่างเป็นไปตามเกมของรัฐสภา แม้จะเป็นที่ทราบว่า สว. ที่กำลังพัวพันในคดีโกงเลือกสว. ตลอดจนคดีอั้งยี่ฟอกเงิน มีอยู่ถึง 136 จาก 200 คน เมื่อรวมกับสส. รัฐบาลภูมิใจไทย ก็จะกลายเป็นเสียงข้างมากที่สามารถกำหนดตัวสสร. และทำให้ได้ “สสร. สีน้ำเงิน-รัฐธรรมนูญสีน้ำเงิน” หรือไม่ ในฐานะ สว. นันทนาคงไม่อาจรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่เห็นหัวประชาชนได้
.
นันทนากล่าวต่อไปว่า เธอยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อให้ได้มาซึ่ง สสร. และรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงสุดอีก 4 ประการ
.
ประการแรก ต้องทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน ดังนั้น “สภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ” ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ของพรรคประชาชนนั้น ไม่มีบทบาท ไม่มีพลัง ไม่ขลัง-ศักดิ์สิทธิ์ ควรใช้ชื่อว่า “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ให้ชัดเจน
.
ประการต่อมา ในร่างของพรรคเพื่อไทยกำหนดสัดส่วนให้ประชาชนเลือกว่าที่สสร. ต่อสัดส่วนที่รัฐสภาคัดกรองอยู่ที่ 3 ต่อ 1 หากปรับลดสัดส่วนลงมาเหลือ 2 ต่อ 1 จะสามารถเข้าใกล้เจตจำนงของประชาชนได้มากขึ้น
.
ประการที่สาม จะต้องมีการเปิดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อนำความเห็นของประชาชนไปประกอบการพิจารณายกร่างให้มากที่สุดในทุกประเด็น
.
และประการสำคัญที่สุดคือ “คำถามประชามติ” ที่อาจจะบิดเบือนเจตจำนงของประชาชน อย่างที่เคยเกิดขึ้นในคำถามพ่วงของการทำประชามติเมื่อ 7 สิงหาคม 2559 ที่สร้างความสับสนจากการใช้คำว่า ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี โดยคำถามควรจะตรงไปตรงมา โดยเธอหวังว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลจะต้องจริงใจให้การทำประชามติเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ และอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
:
ด้านนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. อภิปรายว่า เหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมากถึง 20 ฉบับ เป็นเพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้มีอำนาจรัฐไม่เคยเห็นหัวประชาชน และประชาชนก็ไม่เคยมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดกติกาสูงสุดของประเทศ
.
“ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศนี้ดังขึ้น คนกลุ่มน้อยที่ครองอำนาจก็จะหาทางฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วเขียนใหม่ด้วยมือพวกพ้องของตัวเอง และบังคับให้ประชาชนต้องยอมรับโดยไม่มีสิทธิเลือก รัฐธรรมนูญของเราจีงกลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจเท่านั้น ไม่ใช่เป็นกติกาที่ร่วมกันร่างโดยประชาชนทั้งประเทศ”
.
นรเศรษฐ์กล่าวว่า เมื่อย้อนกลับไปช่วงปี 2540 ประเทศไทยเพิ่งผ่านเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2535 กระแสประชาธิปไตยแบ่งบานทุกจังหวัด ทุกมหาวิทยาลัย ทุกวงเสวนา และในหัวใจคนไทย กระแสเหล่านี้ได้ผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เรียกกันว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะไม่ได้เลือก สสร. โดยตรง แต่การรับฟังความคิดเห็นของผู้คนในสังคม และการรณรงค์ที่กว้างขวาง ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ โดยเป็นครั้งแรกที่ผู้คนรู้สึกว่ารัฐธรรมนูญเป็นของเรา แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่ก็เป็นก้าวสำคัญของประชาธิปไตย แต่ความหวังดังกล่าวก็ถูกฉีกทิ้งในปี 2549 โดยคณะรัฐประหาร และมีรัฐธรรมนูญ 2550 ที่แม้จะผ่านการลงประชามติ
.
แต่หากพิจารณาลงไป ก็พบว่า เป็นประชามติที่ไม่มีทางเลือก เพราะอยู่ภายใต้คณะรัฐประหาร แม้เข้าสู่การรัฐประหาร 2557 และมีรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน เกิดขึ้นโดยคณะรัฐประหาร คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ผ่านประชามติที่อยู่บรรยากาศของความกลัว และมีกระบวนการที่มีข้อครหามากมาย แต่ประชาชนหลายล้านคนก็เรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่ที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนจริงๆ นำมาสู่การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวันนี้
.
“จากประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 90 ปี ของระบอบประชาธิปไตยไทย เรามีรัฐธรรมนูญมากถึง 20 ฉบับ แต่ไม่มีสักฉบับที่ประชาชนได้เลือกคนไปร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง เราถูกทำให้เชื่อว่ารัฐธรรมนูญคือเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ แต่ในความเป็นจริงรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใกล้ตัวที่กระทบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ปากท้องของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้น ต่อจากวันนี้ เราทุกคนในสภาแห่งนี้ต้องคิดร่วมกันว่า จะทำอย่างไร ให้กระบวนการการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความหมายจริง ไม่ใช่เป็นเพียงพิธีกรรมทางการเมืองเท่านั้น”
.
นรเศรษฐ์อภิปรายต่อไปว่า ประชามติที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นประชามติที่มีแค่บัตร หีบ และตัวเลขผู้มาใช้สิทธิเท่านั้น ต้องเป็นกระบวนการที่ประชาชนมีเสรีภาพในการรับรู้และตัดสินใจ มีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามโดยไม่หวาดกลัว เช่นเดียวกับการเปิดรับสมัครคนเข้าสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่จะต้องไม่เป็นการมีส่วนร่วม “ทิพย์” เหมือนการเลือกตั้ง สว. ที่ประชาชนไม่สามารถมีส่วนร่วมได้เลยหากไม่เสียเงินสมัครเอง
.
เขาย้ำว่า ขั้นตอนต่อจากนี้ไม่ใช้เพียงการถกเถียงเชิงเทคนิคข้อกฎหมาย แต่เป็นการเลือกเส้นทางอนาคตประเทศ โดยต้องทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เป็นรัฐธรรมนูญที่เห็นหัวประชาชน เปิดพื้นที่ให้คนทุกกลุ่มได้ส่งเสียงในกติกาที่กำหนดชีวิตประชาชน และเป็นสัญลักษณ์ของการคืนอำนาจให้ประชาชน ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนชื่อคณะกรรมการร่าง หรือตกแต่งกติกาเดิมเท่านั้น
.
นรเศรษฐ์ทิ้งท้ายว่า แม้เราจะมีผู้มีอำนาจที่ฉีกรัฐธรรมนูญกี่ครั้ง แม้จะพยายามจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชนมากน้อยเพียงใด แต่สุดท้ายประชาชนก็พร้อมจะลุกขึ้นสู้เพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกพรากไป เพราะอำนาจอธิปไตยไม่ได้อยู่กับขั้วอำนาจใด แต่อยู่ใน “หัวใจ” ของประชาชน และย้ำต่อสมาชิกรัฐสภาว่า การโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญในสองวันนี้ เป็นการโหวตให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยควรเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยสมควรได้รับรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และขอให้สมาชิกรัฐสภารับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ทั้งสามร่างด้วย
:
ขณะที่เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายว่า นี่เป็นการเดินทาง “มาราธอน” ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังจากที่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้เป็นต้นมา ซึ่งที่ผ่านมามีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 26 ฉบับ มีเพียงฉบับเดียวที่ผ่านรัฐสภา และใน 25 ฉบับที่ไม่ผ่านรัฐสภานั้น มีถึง 11 ฉบับที่ได้เสียงข้างมากของรัฐสภา แต่ติดล็อกที่เสียง สว. ไม่ถึง 1 ใน 3 มาโดยตลอด จนมีประเด็นที่ทำให้ สว. ชุดพิเศษ (250 คน) ได้รับการขนานนามว่าเป็น “องครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” แต่ด้วยที่มาของ สว. 2567 เขาเชื่อเหลือเกินว่า จะเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดโอกาสให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
เทวฤทธิ์กล่าวต่อไปว่า เราอาจจะกังวลกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ทั้งสามร่างก็พยายามหาทางอ้อมว่า จะทำอย่างไรให้ไม่ผิดไปจากคำวินิจฉัยดังกล่าว แต่เทวฤทธิ์ขอถามว่า พยายาม “น้อยไป” หรือเปล่า เพราะความในคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นความเห็นแถมของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็น “คำถาม” ที่รัฐสภาส่งไปด้วยซ้ำ
.
“ถ้าไปดูเปรียบเทียบทั้งย่อหน้าว่า ทำไมถึงได้ ‘ไม่อาจให้เลือกผู้ร่างได้โดยตรง’ มันสอดคล้องกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้บัญญัตินะครับว่าเปิดให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องจัดทำเป็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 15/1 ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเลยระบุว่า รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม หรือแสดงความต้องการได้ ผมยังคิดว่าในส่วนนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐสภา ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ก็ดี หรือเอาอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมไปให้กับประชาชนในการเลือก สสร. ก็ดี รัฐสภาทำได้เพียงเป็นผู้ริเริ่มหรือแสดงความต้องการ ดังนั้น รัฐสภาไม่สามารถดำเนินการกระทำโดยฝ่ายเดียว ผมยังคิดว่า เรายังเป็นผู้ริเริ่มหรือแสดงความต้องการในการให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งได้ โดยไม่ได้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” เทวฤทธิ์แสดงความเห็น
.
นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่าในคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พบว่า มีเพียง 2 คน ที่พูดชัดเจนว่า ประชาชนไม่สามารถเลือกผู้ร่างได้โดยตรง ส่วนอีก 1 คนเห็นพ้องกับอีก 2 คนก่อนหน้า แต่อีก 4 คนไม่มีความเห็นต่อเรื่องนี้ ดังนั้น เขายังหวังว่าหลังจากที่รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับแล้ว กรรมาธิการจะพิจารณาให้ประชาชนในฐานะผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ได้เลือก สสร. โดยตรง
.
เทวฤทธิ์ยังกล่าวอีกว่า ยังมีคำถามประชามติของ ConforAll ที่มาจากประชาชนกว่า 200,000 รายชื่อยังค้างอยู่ที่คณะรัฐมนตรีอยู่
.
“ในการทำประชามติที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนมีนาคม หากไม่มีอะไรผิดพลาดนะครับ เราก็ถามประชาชนไปเลยว่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ประสงค์จะเลือก สสร. โดยตรงหรือไม่ อีกคำถามหนึ่ง เข้าไปเป็นคำถามที่ 3 ให้รู้กันไปเลย” เทวฤทธิ์กล่าว
.
เขายังเสริมอีกว่า ตอนนี้ ราชกิจจานุเบกษายังไม่ประกาศร่างแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติที่ผ่านการยืนยันร่างจาก สส. แล้ว จึงขอถามผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ถ้าหากเราต้องจัดทำประชามติด้วยกติกาเดิม มีข้อกังวลใดบ้างที่เราจะต้องพิจารณา ทั้งเสียงข้างมากสองชั้น (Double Majority) และการจัดทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง แต่ประเด็นคือความยืดหยุ่นของการมีมติคณะรัฐมนตรีให้มีการออกเสียงประชามติ หมายความว่า ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 คณะรัฐมนตรีจะต้องมีมติให้ทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนสิ้นปี 2568 ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันกรอบเวลา 90 วัน ทั้งยังมีข้อกังวลต่อการออกเสียงทางไปรษณีย์ด้วย ดังนั้นจึงต้องอำนวยความสะดวกแก่การออกเสียงนอกเขตและออกเสียงล่วงหน้า ซึ่งคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องให้ความชัดเจนต่อกรณีนี้ด้วย
10 hours ago
·
สว. เสียงข้างน้อยยืนยัน สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง-ยึดโยงกับประชาชน
.
หนึ่งในประเด็นหลักของการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 14-15 ตุลาคม 2568 คือ โมเดลผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ถึงแม้จะมี "ของแถม" จากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 ที่ว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง แต่สมาชิกวุฒิสภาเสียงข้างน้อยยังยืนยันว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องมาจากการเลือกตั้งและยึดโยงกับประชาชน
.
นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายว่าในอดีตวันที่ 14 ตุลาคม 2516 วีรชนได้ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย มาถึงวันนี้ เรายังยืนอยู่ที่เดิม เรายังต้องต่อสู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาชนเป็นผู้ร่าง ไม่ใช่ฉบับที่เนติบริกรยัดเยียดให้ใช้ ในวันนี้มีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาทั้งสิ้น 3 ร่างด้วยกัน หากเรายึดมั่นในหลักการ “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน” ก็จะมีเพียงสองร่างเท่านั้นที่เข้ากับหลักการ คือ ร่างของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ที่เปิดทางให้ประชาชนเลือก สสร. เพื่อเข้าสู่การคัดกรองของรัฐสภาในขั้นตอนสุดท้าย
.
“แม้ดิฉันจะมีเจตจำนงให้การเลือกสสร. มาจากประชาชนโดยตรง ไม่ต้องอ้อมกลับมาที่รัฐสภา แต่ก็ไม่มีร่างของพรรคไหนที่กล้าหาญจะยกร่างเช่นนี้ จึงถือว่าร่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนยึดโยงกับประชาชนเท่าที่จะเป็นไปได้ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”
.
แต่ในร่างของพรรคภูมิใจไทยนั้น นันทนาระบุว่า แม้จะเปิดให้ประชาชนสมัครเป็น สสร. แล้วให้รัฐสภาเป็นคนเลือกทั้งหมดนั้น เธอเห็นว่าเป็นร่างที่ประเมินประชาชน “ต่ำมาก” ไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมใดๆ ทุกอย่างเป็นไปตามเกมของรัฐสภา แม้จะเป็นที่ทราบว่า สว. ที่กำลังพัวพันในคดีโกงเลือกสว. ตลอดจนคดีอั้งยี่ฟอกเงิน มีอยู่ถึง 136 จาก 200 คน เมื่อรวมกับสส. รัฐบาลภูมิใจไทย ก็จะกลายเป็นเสียงข้างมากที่สามารถกำหนดตัวสสร. และทำให้ได้ “สสร. สีน้ำเงิน-รัฐธรรมนูญสีน้ำเงิน” หรือไม่ ในฐานะ สว. นันทนาคงไม่อาจรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่เห็นหัวประชาชนได้
.
นันทนากล่าวต่อไปว่า เธอยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อให้ได้มาซึ่ง สสร. และรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงสุดอีก 4 ประการ
.
ประการแรก ต้องทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน ดังนั้น “สภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ” ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ของพรรคประชาชนนั้น ไม่มีบทบาท ไม่มีพลัง ไม่ขลัง-ศักดิ์สิทธิ์ ควรใช้ชื่อว่า “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ให้ชัดเจน
.
ประการต่อมา ในร่างของพรรคเพื่อไทยกำหนดสัดส่วนให้ประชาชนเลือกว่าที่สสร. ต่อสัดส่วนที่รัฐสภาคัดกรองอยู่ที่ 3 ต่อ 1 หากปรับลดสัดส่วนลงมาเหลือ 2 ต่อ 1 จะสามารถเข้าใกล้เจตจำนงของประชาชนได้มากขึ้น
.
ประการที่สาม จะต้องมีการเปิดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อนำความเห็นของประชาชนไปประกอบการพิจารณายกร่างให้มากที่สุดในทุกประเด็น
.
และประการสำคัญที่สุดคือ “คำถามประชามติ” ที่อาจจะบิดเบือนเจตจำนงของประชาชน อย่างที่เคยเกิดขึ้นในคำถามพ่วงของการทำประชามติเมื่อ 7 สิงหาคม 2559 ที่สร้างความสับสนจากการใช้คำว่า ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี โดยคำถามควรจะตรงไปตรงมา โดยเธอหวังว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลจะต้องจริงใจให้การทำประชามติเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ และอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
:
ด้านนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. อภิปรายว่า เหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมากถึง 20 ฉบับ เป็นเพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้มีอำนาจรัฐไม่เคยเห็นหัวประชาชน และประชาชนก็ไม่เคยมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดกติกาสูงสุดของประเทศ
.
“ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศนี้ดังขึ้น คนกลุ่มน้อยที่ครองอำนาจก็จะหาทางฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วเขียนใหม่ด้วยมือพวกพ้องของตัวเอง และบังคับให้ประชาชนต้องยอมรับโดยไม่มีสิทธิเลือก รัฐธรรมนูญของเราจีงกลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจเท่านั้น ไม่ใช่เป็นกติกาที่ร่วมกันร่างโดยประชาชนทั้งประเทศ”
.
นรเศรษฐ์กล่าวว่า เมื่อย้อนกลับไปช่วงปี 2540 ประเทศไทยเพิ่งผ่านเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2535 กระแสประชาธิปไตยแบ่งบานทุกจังหวัด ทุกมหาวิทยาลัย ทุกวงเสวนา และในหัวใจคนไทย กระแสเหล่านี้ได้ผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เรียกกันว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะไม่ได้เลือก สสร. โดยตรง แต่การรับฟังความคิดเห็นของผู้คนในสังคม และการรณรงค์ที่กว้างขวาง ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ โดยเป็นครั้งแรกที่ผู้คนรู้สึกว่ารัฐธรรมนูญเป็นของเรา แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่ก็เป็นก้าวสำคัญของประชาธิปไตย แต่ความหวังดังกล่าวก็ถูกฉีกทิ้งในปี 2549 โดยคณะรัฐประหาร และมีรัฐธรรมนูญ 2550 ที่แม้จะผ่านการลงประชามติ
.
แต่หากพิจารณาลงไป ก็พบว่า เป็นประชามติที่ไม่มีทางเลือก เพราะอยู่ภายใต้คณะรัฐประหาร แม้เข้าสู่การรัฐประหาร 2557 และมีรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน เกิดขึ้นโดยคณะรัฐประหาร คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ผ่านประชามติที่อยู่บรรยากาศของความกลัว และมีกระบวนการที่มีข้อครหามากมาย แต่ประชาชนหลายล้านคนก็เรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่ที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนจริงๆ นำมาสู่การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวันนี้
.
“จากประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 90 ปี ของระบอบประชาธิปไตยไทย เรามีรัฐธรรมนูญมากถึง 20 ฉบับ แต่ไม่มีสักฉบับที่ประชาชนได้เลือกคนไปร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง เราถูกทำให้เชื่อว่ารัฐธรรมนูญคือเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ แต่ในความเป็นจริงรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใกล้ตัวที่กระทบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ปากท้องของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้น ต่อจากวันนี้ เราทุกคนในสภาแห่งนี้ต้องคิดร่วมกันว่า จะทำอย่างไร ให้กระบวนการการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความหมายจริง ไม่ใช่เป็นเพียงพิธีกรรมทางการเมืองเท่านั้น”
.
นรเศรษฐ์อภิปรายต่อไปว่า ประชามติที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นประชามติที่มีแค่บัตร หีบ และตัวเลขผู้มาใช้สิทธิเท่านั้น ต้องเป็นกระบวนการที่ประชาชนมีเสรีภาพในการรับรู้และตัดสินใจ มีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามโดยไม่หวาดกลัว เช่นเดียวกับการเปิดรับสมัครคนเข้าสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่จะต้องไม่เป็นการมีส่วนร่วม “ทิพย์” เหมือนการเลือกตั้ง สว. ที่ประชาชนไม่สามารถมีส่วนร่วมได้เลยหากไม่เสียเงินสมัครเอง
.
เขาย้ำว่า ขั้นตอนต่อจากนี้ไม่ใช้เพียงการถกเถียงเชิงเทคนิคข้อกฎหมาย แต่เป็นการเลือกเส้นทางอนาคตประเทศ โดยต้องทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เป็นรัฐธรรมนูญที่เห็นหัวประชาชน เปิดพื้นที่ให้คนทุกกลุ่มได้ส่งเสียงในกติกาที่กำหนดชีวิตประชาชน และเป็นสัญลักษณ์ของการคืนอำนาจให้ประชาชน ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนชื่อคณะกรรมการร่าง หรือตกแต่งกติกาเดิมเท่านั้น
.
นรเศรษฐ์ทิ้งท้ายว่า แม้เราจะมีผู้มีอำนาจที่ฉีกรัฐธรรมนูญกี่ครั้ง แม้จะพยายามจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชนมากน้อยเพียงใด แต่สุดท้ายประชาชนก็พร้อมจะลุกขึ้นสู้เพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกพรากไป เพราะอำนาจอธิปไตยไม่ได้อยู่กับขั้วอำนาจใด แต่อยู่ใน “หัวใจ” ของประชาชน และย้ำต่อสมาชิกรัฐสภาว่า การโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญในสองวันนี้ เป็นการโหวตให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยควรเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยสมควรได้รับรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และขอให้สมาชิกรัฐสภารับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ทั้งสามร่างด้วย
:
ขณะที่เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายว่า นี่เป็นการเดินทาง “มาราธอน” ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังจากที่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้เป็นต้นมา ซึ่งที่ผ่านมามีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 26 ฉบับ มีเพียงฉบับเดียวที่ผ่านรัฐสภา และใน 25 ฉบับที่ไม่ผ่านรัฐสภานั้น มีถึง 11 ฉบับที่ได้เสียงข้างมากของรัฐสภา แต่ติดล็อกที่เสียง สว. ไม่ถึง 1 ใน 3 มาโดยตลอด จนมีประเด็นที่ทำให้ สว. ชุดพิเศษ (250 คน) ได้รับการขนานนามว่าเป็น “องครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” แต่ด้วยที่มาของ สว. 2567 เขาเชื่อเหลือเกินว่า จะเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดโอกาสให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
เทวฤทธิ์กล่าวต่อไปว่า เราอาจจะกังวลกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ทั้งสามร่างก็พยายามหาทางอ้อมว่า จะทำอย่างไรให้ไม่ผิดไปจากคำวินิจฉัยดังกล่าว แต่เทวฤทธิ์ขอถามว่า พยายาม “น้อยไป” หรือเปล่า เพราะความในคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นความเห็นแถมของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็น “คำถาม” ที่รัฐสภาส่งไปด้วยซ้ำ
.
“ถ้าไปดูเปรียบเทียบทั้งย่อหน้าว่า ทำไมถึงได้ ‘ไม่อาจให้เลือกผู้ร่างได้โดยตรง’ มันสอดคล้องกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้บัญญัตินะครับว่าเปิดให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องจัดทำเป็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 15/1 ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเลยระบุว่า รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม หรือแสดงความต้องการได้ ผมยังคิดว่าในส่วนนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐสภา ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ก็ดี หรือเอาอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมไปให้กับประชาชนในการเลือก สสร. ก็ดี รัฐสภาทำได้เพียงเป็นผู้ริเริ่มหรือแสดงความต้องการ ดังนั้น รัฐสภาไม่สามารถดำเนินการกระทำโดยฝ่ายเดียว ผมยังคิดว่า เรายังเป็นผู้ริเริ่มหรือแสดงความต้องการในการให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งได้ โดยไม่ได้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” เทวฤทธิ์แสดงความเห็น
.
นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่าในคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พบว่า มีเพียง 2 คน ที่พูดชัดเจนว่า ประชาชนไม่สามารถเลือกผู้ร่างได้โดยตรง ส่วนอีก 1 คนเห็นพ้องกับอีก 2 คนก่อนหน้า แต่อีก 4 คนไม่มีความเห็นต่อเรื่องนี้ ดังนั้น เขายังหวังว่าหลังจากที่รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับแล้ว กรรมาธิการจะพิจารณาให้ประชาชนในฐานะผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ได้เลือก สสร. โดยตรง
.
เทวฤทธิ์ยังกล่าวอีกว่า ยังมีคำถามประชามติของ ConforAll ที่มาจากประชาชนกว่า 200,000 รายชื่อยังค้างอยู่ที่คณะรัฐมนตรีอยู่
.
“ในการทำประชามติที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนมีนาคม หากไม่มีอะไรผิดพลาดนะครับ เราก็ถามประชาชนไปเลยว่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ประสงค์จะเลือก สสร. โดยตรงหรือไม่ อีกคำถามหนึ่ง เข้าไปเป็นคำถามที่ 3 ให้รู้กันไปเลย” เทวฤทธิ์กล่าว
.
เขายังเสริมอีกว่า ตอนนี้ ราชกิจจานุเบกษายังไม่ประกาศร่างแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติที่ผ่านการยืนยันร่างจาก สส. แล้ว จึงขอถามผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ถ้าหากเราต้องจัดทำประชามติด้วยกติกาเดิม มีข้อกังวลใดบ้างที่เราจะต้องพิจารณา ทั้งเสียงข้างมากสองชั้น (Double Majority) และการจัดทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง แต่ประเด็นคือความยืดหยุ่นของการมีมติคณะรัฐมนตรีให้มีการออกเสียงประชามติ หมายความว่า ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 คณะรัฐมนตรีจะต้องมีมติให้ทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนสิ้นปี 2568 ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันกรอบเวลา 90 วัน ทั้งยังมีข้อกังวลต่อการออกเสียงทางไปรษณีย์ด้วย ดังนั้นจึงต้องอำนวยความสะดวกแก่การออกเสียงนอกเขตและออกเสียงล่วงหน้า ซึ่งคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องให้ความชัดเจนต่อกรณีนี้ด้วย
https://www.facebook.com/photo?fbid=1227382912768659&set=a.625664036273886
https://www.facebook.com/watch/?v=1341275330728748
https://www.facebook.com/watch/?v=1516144139528107
https://www.facebook.com/watch/?v=793625743581963