วันอังคาร, กันยายน 09, 2568

บีบีซีไทยสรุป 10 เรื่องน่าสนใจ "คดีชั้น 14" ที่จำเลยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร



บีบีซีไทยสรุป 10 ประเด็นน่าสนใจใน "คดีประวัติศาสตร์"

ก่อนถึงวันตัดสิน "คดีประวัติศาสตร์" บีบีซีไทยขอสรุปเกร็ดน่าสนใจและบรรยากาศที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีที่ 1 ภายในศาลฎีกา สนามหลวง ซึ่งบีบีซีไทยเข้าร่วมรับฟังและสังเกตการณ์กระบวนการไต่สวนทุกนัด

1. ศาลฎีกาฯ ตั้งองค์คณะประกอบด้วยผู้พิพากษา 5 คนให้ดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ โดยมีผู้ซักถามหลัก ๆ 3 คนคือ หัวหน้าองค์คณะ มุ่งซักถามในภาพรวม, ผู้พิพากษาคนที่ 1 มุ่งซักถามข้อกฎหมาย, ผู้พิพากษาคนที่ 2 มุ่งซักถามข้อเท็จจริงเชิงลึก และผู้พิพากษาอีก 2 คนซักถามประเด็นทั่วไปหรือเก็บตกประเด็น

2. ศาลนัดไต่สวนทั้งหมด 7 ครั้ง เริ่มนัดแรก 13 มิ.ย., 4 ก.ค., 8 ก.ค., 15 ก.ค., 18 ก.ค., 25 ก.ค. และปิดท้ายที่ 30 ก.ค. จากนั้นองค์คณะใช้เวลาอีก 41 วันในการประชุม ปรึกษาหารือ และจัดทำคำพิพากษา ก่อนนัดฟังคำสั่ง 9 ก.ย.

3. ศาลเรียกพยานบุคคลมาไต่สวนทั้งสิ้น 31 ปาก
  • ในจำนวนนี้ มี 12 คนที่ถูกกล่าวหาคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งถูกไต่สวนในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
  • ในจำนวนนี้ มี 3 คนที่เป็นแพทย์ถูกสั่งลงโทษตามมติแพทยสภา กำหนดให้มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. โดยนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้เปิดเผยกลางศาลว่า เขายื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อขออุทธรณ์คำสั่งลงโทษแล้ว
  • ในจำนวนนี้ เป็นพยานฝ่ายจำเลยเพียง 1 คน
พยาน 2 ปากที่ขึ้นเบิกความต่อศาลเมื่อ 4 ก.ค. คือ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ และ นพ.นทพร ปิยะสิน จากทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์

4. ศาลใช้เวลาไต่สวนรวมทั้งสิ้น 20 ชม. 20 นาที (ไม่นับเวลาพักศาล) พยานที่ใช้เวลาเบิกความสั้นที่สุด ใช้เวลาเพียง 3 นาที ส่วนพยานที่ใช้เวลาเบิกความนานที่สุด ใช้เวลาถึง 1 ชม. 30 นาที
  • เบิกความสั้นที่สุด 2 คน คือ น.ส.จิราพร มีนวลชื่น และ น.ส.ณิชามล มากจันทร์ พยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยแพทย์ในการตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับเมื่อ 22 ส.ค. 2566 แต่ทั้งคู่ไม่ถูกเรียกใช้งาน จึงไม่มีส่วนร่วมในวันนั้น
  • เบิกความนานที่สุด 2 คน พ.ต.อ. นพ.ชนะ จงโชคดี แพทย์ รพ.ตำรวจ ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ของนายทักษิณ และนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คนปัจจุบัน
  • เบิกความเกิน 1 ชม. 7 คน นอกจาก พ.ต.อ. นพ.ชนะ และนายมานพ แล้ว ยังมีอีก 5 คน ได้แก่ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ผู้ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับ, นายจารุวัฒน์ เมืองไทย นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องขัง, นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ รองผู้อำนวยการทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์, นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวรเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันเกิดเหตุ, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา และอดีตคณบดีแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
5. การไต่สวนที่มีจำนวนผู้เข้าฟังในห้องพิจารณาคดีมากที่สุดคือนัดที่ห้า ซึ่งเป็นชุดผู้บริหารและแพทย์ รพ.ตำรวจ รวม 6 ปาก เนื่องจากพยานบางคนมีคณะผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีแพทย์/อาจารย์แพทย์จากมหาวิทยาลัยให้ความสนใจมาร่วมรับฟังด้วย

6. คำเบิกความของพยานมีทั้งที่เนื้อหาสาระสอดคล้องกันและย้อนแย้งกัน ข้อน่าสังเกตคือ ถ้าพยานชุดไหนขึ้นเบิกความในวันเดียวกัน คำตอบมักจะเหมือนหรือใกล้เคียงกัน แต่อาจไม่ตรงกับพยานชุดอื่นที่ศาลเรียกมาไต่สวนคนละวัน อาทิ
  • กลุ่มแพทย์ รพ.ตำรวจ ให้การไม่ตรงกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ "ผู้คุม" เฝ้าอยู่ที่ชั้น 14 เกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย
  • ผบ.เรือนจำในขณะนั้น กับ ผบ.เรือนจำคนปัจจุบัน ชี้แจงไม่ตรงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการส่งตัวผู้ต้องขังป่วยว่าจำเป็นต้องผ่าน รพ.ราชทัณฑ์ก่อน หรือสามารถส่งไปรักษาที่ รพ.ภายนอกได้เลย
  • แพทย์ รพ.ตำรวจ กับผู้บริหารกรมราชทัณฑ์/เรือนจำ ชี้แจงไม่ตรงกันเกี่ยวกับการติดตามนำตัวนักโทษที่รักษาอาการจนทุเลาแล้ว กลับไปรักษาต่อที่ รพ.ราชทัณฑ์ หรือกลับไปจองจำภายในเรือนจำ
สหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ (ซ้าย) กับ มานพ ชมชื่น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คือพยานอีก 2 ปากที่ศาลเรียกมาไต่สวน 15 ก.ค. และ 13 มิ.ย. ตามลำดับ

7. แม้ผู้ต้องขังคดีนี้เป็นบุคคลสำคัญที่มีตำแหน่งเป็นอดีตนายกฯ แต่เมื่อถูกถามถึงเหตุการณ์ที่พยานเข้าไปเกี่ยวข้อง บางปากตอบว่า "จำไม่ค่อยได้ชัดเจน" บางปาก "แสดงความสนใจเป็นช่วง ๆ เดี๋ยวจำได้ เดี๋ยวจำไม่ได้" บางปากระบุว่า "ไม่แน่ใจ" ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การคาดการณ์ในอนาคต พยานบางคนเบิกความเลี่ยงไปมา โดยพูดถึงกรณีทั่วไป แทนที่จะชี้แจงจำเพาะกรณีนายทักษิณ ทำให้ศาลต้องเตือนหลายคน-หลายครั้งว่า "พยานสาบานตนแล้วว่าจะเบิกความตามความเป็นจริง"

8. การขึ้นศาลน่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ของผู้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงเห็นหลายคนออกอาการประหม่า พยานรายหนึ่งเผลอยืนให้การต่อศาลในช่วงต้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะใช้จังหวะเหมาะสม กระซิบให้เขานั่งลง อีกรายขอให้ศาลทวนคำถามหลายข้อโดยบอกว่าไม่เข้าใจคำถาม อีกรายใช้จังหวะนั่งรอที่คอกพยานพลิกอ่านเอกสารข้อกฎหมายไปมาก่อนที่องค์คณะจะขึ้นบัลลังก์

แต่คนที่ออกอาการทั้งอึดอัดและอึกอักชัดเจนที่สุด หนีไม่พ้น แพทย์เจ้าของไข้ของนายทักษิณที่เริ่มต้นด้วยการเอ่ยปากขอกระดาษกับปากกามาจดคำถามศาล เพราะเกรงจะฟังไม่ทัน และยังยกมือไหว้ "ขอบคุณ" และ "ขอโทษ" องค์คณะเป็นระยะ ๆ เมื่อต้องขอแก้ไขคำตอบใหม่ ในระหว่างตอบคำถามศาล เกิดเดตแอร์เป็นบางช่วง และเมื่อการไต่สวนดำเนินไปถึงช่วงท้าย ๆ เขาถึงกับหลุดปากกลางศาลว่า "ผมมีหน้าที่แค่รักษา (เงียบ) ไม่ใช่ต้องมาขึ้นศาลแบบนี้" พลางยกมือปาดบริเวณใบหน้า ทว่าบีบีซีไทยนั่งอยู่ด้านหลังพยาน จึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้

9. อาการเจ็บป่วยของนายทักษิณถูกบันทึกไว้ในเอกสารหลายฉบับ เฉพาะที่ปรากฏในศาลระหว่างการเปิดไต่สวน 7 นัด มีเอกสารสำคัญอย่างน้อย 9 รายการ ถูกหยิบยกมาสอบถามพยาน

สำหรับเอกสารหลักฐานใหม่ที่ปรากฏกลางศาลเป็นครั้งแรก หลังจากหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกรณีชั้น 14 เคยขอเอกสารไปยังผู้เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ อาทิ
  • เอกสารประวัติการรักษาตัวในต่างประเทศของนายทักษิณ ศาลเรียกจากทางเรือนจำ แต่ทนายของนายทักษิณเป็นผู้ส่งมอบให้ศาลเอง
  • บันทึกคำสั่งการรักษาของแพทย์ รพ.ตำรวจ หรือเรียกย่อ ๆ ว่าใบสั่งแพทย์ หรือ "doctor order sheet" หลังมาตรวจเยี่ยมอาการของนายทักษิณที่ชั้น 14 ซึ่งศาลเรียกจาก รพ.ตำรวจ และได้มาในการไต่สวนนัดรองสุดท้าย ทั้งนี้มีข้อสังเกตคือ มีการบันทึกของแพทย์ในวันที่ 23, 24, 25 ส.ค. 2566 แต่วันที่ 26 หายไป แล้วโดดไปที่วันที่ 27 ส.ค. 2566 เลย
  • เอกสารค่ารักษาพยาบาลของผู้ต้องขังที่ รพ.ตำรวจ ในช่วง 6 เดือน (ส.ค. 2566 - ก.พ. 2567) ซึ่งปรากฏรายการ "ค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือด" จำนวน 9 ฉบับ จากทั้งหมด 27 ฉบับ
  • ภาพถ่ายทักษิณขณะรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ 2 ภาพ
เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้ ขนเอกสารประกอบการพิจารณาคดีเข้าไปยังพื้นที่ศาล

10. นอกจากคู่ความ สื่อมวลชน ยังมีนักวิชาการ อดีตนักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายต่อต้านนายทักษิณ เป็นกลุ่ม "ขาประจำ" ร่วมรับฟังการไต่สวนคดีนี้ ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อสรุปสาระสำคัญในแต่ละนัด และให้ความเห็นเพิ่มเติมในฐานะแพทย์ ทำให้ทนายความของนายทักษิณยื่นคำร้องต่อองค์คณะหลายครั้ง โดยมีทั้งขอให้ไต่สวนลับ หรือขอจำกัดผู้เข้าฟังการไต่สวนในห้องพิจารณาคดี แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากศาลคงไว้ซึ่งหลักการในการพิจารณาโดยเปิดเผย

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่เกาะติดการไต่สวนคดีนี้ เนื่องจากเขาเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณโดยมิชอบ แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในชั้นบังคับตามคำพิพากษา จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล อย่างไรก็ตามศาลได้เปิดไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีนี้เอง

ศาลสั่งให้คู่ความและผู้เข้ารับฟังการพิจารณาคดี "งดเว้นการเผยแพร่โฆษณาคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน" ในการไต่สวนนัดที่สอง เมื่อ 4 ก.ค. จากนั้นในการไต่สวนนัดที่สี่ 15 ก.ค. ศาลแจ้งว่า "ไม่อนุญาตให้จดบันทึกคำเบิกความ" แต่อนุญาตให้เข้าฟังได้ ทำให้สื่อมวลชนและผู้สนใจติดตามกระบวนพิจารณาคดีนี้ต้องอาศัยความจำล้วน ๆ ยกเว้นให้เฉพาะคู่ความที่จดบันทึกได้


คมสัน โพธิ์คง, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, นิติธร ล้ำเหลือ (จากซ้ายไปขวา) คือ "ขาประจำ" ในห้องไต่สวนคดีชั้น 14

ที่มา บีบีซีไทย
ส่วนหนึ่งของบทความ
10 เรื่องน่าสนใจจาก 20 ชั่วโมง ของการไต่สวน "คดีชั้น 14" ที่จำเลยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร

https://www.bbc.com/thai/articles/cm2z0j84gzvo